ตอนที่ 214-2 ประชันปัญญา ประชันความกล้า
จีหมิงซิวมองนาง แววตาฉายแววอ่อนโยนอย่างที่น้อยครั้งจะมี “กลัวว่าเจ้าจะติดอยู่กลางทางเดินทางต่อไมได้ จึงมาดูสักหน่อย”
หัวใจของเฉียวเวยมีความอบอุ่นผุดขึ้นมา ริมฝีปากยกขึ้นน้อยๆ “เกือบจะติดอยู่กลางทางแล้วเหมือนกัน ต่อมาข้าเห็นหิมะตกหนักจึงคิดว่าอย่าดีกว่า แล้วก็อยู่ต่อ” นางเงยหน้ามองเข้าไปในดวงตาลึกล้ำของเขา “ไม่ใช่ว่าท่านเดินทางมาตลอดคืนหรอกนะ”
จีหมิงซิวกุมมือเย็นเฉียบของนางไว้ “นั่งอยู่ในรถม้า”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยยกมือขึ้น “ฮ่าๆ ตรงนี้มีคนที่ไม่ได้นั่งในรถม้าอยู่หนึ่งคนนะ!”
เกือบจะแข็งเป็นน้ำแข็งแท่งอยู่แล้ว!
เฉียวเวยยิ้มอย่างเก้อเขิน “ลำบากลุงเยี่ยนกับพี่ชายทั้งหลายแล้ว รีบขึ้นเขากันเถิด ข้าจะต้มน้ำแกงร้อนๆ ให้พวกท่าน!”
คนทั้งขบวนเดินไปทางตีนเขา
ก่อนจะขึ้นเขา ตาเฒ่าซวนจื่อก็วิ่งลนลานเข้ามาหา “เสี่ยวเฉียวเอ้ย! เสี่ยวเฉียว!”
คนทั้งขณะหยุดฝีเท้า เฉียวเวยหันไปมองเขา “ปู่ซวนจื่อ มีอะไรหรือ”
ตาเฒ่าซวนจื่อมองคนสูงศักดิ์ข้างกายเฉียวเวยแล้วเอ่ยว่า “ท่านนี้คือ…”
เฉียวเวยยิ้มละไม “สามีของข้าเอง”
“อ้อ ใต้เท้า!” ตาเฒ่าซวนจื่อรีบค้อมกายคำนับอย่างประดักประเดิด เขาเคยเห็นจีหมิงซิวแล้วแต่ไม่แน่ใจนักเท่านั้น
จีหมิงซิวผงกศีรษะเล็กน้อย “ท่านลุงมาหาภรรยามีธุระอันใดหรือ”
ตาเฒ่าซวนจื่อได้ยินคำนี้ก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล แต่เดิมอยากจะเปิดอกเล่า แต่ตอนนี้กลับไม่กล้าเล่าอยู่บ้างแล้ว
เฉียวเวยเห็นความอึดอัดของเขาก็หัวเราะบอกว่า “ปู่ซวนจื่อท่านพูดมาเถิด เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
ตาเฒ่าซวนจื่อรวบรวมความกล้า “ซวนจื่อน่ะ! เขาไปเข้าส้วมตอนเที่ยงคืนแล้วสะดุดล้ม ไม่รู้ว่าล้มจนขาหักหรือไม่…ตอนนี้ก็ยังเจ็บปวดแทบจะทนไม่ไหว! เจ้าไปดูหน่อยได้หรือไม่”
“ได้” เฉียวเวยพยักหน้า แล้วบอกจีหมิงซิวว่า “พวกท่านขึ้นเขาไปก่อน เดี๋ยวข้าค่อยตามไป”
จีหมิงซิวกุมมือนาง “ข้าไปกับเจ้าด้วย”
เฉียวเวยคิดว่าไม่มีอะไรหนักหนา จึงให้พวกเยี่ยนเฟยเจวี๋ยขึ้นเขาไปก่อน ตนเองกับหมิงซิวไปที่บ้านซวนจื่อ
ซวนจื่อนอนอยู่บนเตียง เจ็บปวดจนหน้าซีด
ได้ยินว่าหลังจากหกล้มเมื่อวาน เขาก็เดินกลับมาห้องด้วยตนเอง รู้สึกว่าเจ็บจึงทาเหล้าดองสมุนไพรของตาเฒ่าซวนจื่อเล็กน้อย
หากเขากระดูกหักจริงแต่ไม่ได้จัดการอย่างทันท่วงที ผลที่ตามมาย่อมร้ายแรงนัก
“มีเลือดออกหรือไม่” เฉียวเวยถาม
ซวนจื่อส่ายหน้า “ไม่มีเลือด”
เฉียวเวยจับหน้าแข้งของเขา “ตรงนี้เจ็บหรือไม่”
“ไม่เจ็บ”
เฉียวเวยขยับขึ้นมา เคาะที่หัวเข่าของเขา “ตรงนี้เล่า”
“นิดหน่อย”
เฉียวเวยพับขากางเกงของเขาขึ้นมา
จีหมิงซิวมุ่นคิ้ว
“หัวเข่ามีรอยช้ำ แต่กระดูกยังดีอยู่” เฉียวเวยตอบ แล้วกดต้นขาของเขา “ตรงนี้เล่า”
“อ้าก…เจ็บๆ !” ซวนจื่อร้องลั่น
เฉียวเวยพยักหน้า “ถอดกางเกงออก”
ทุกคนตกตะลึง
จีหมิงซิวยึดข้อมือของนางไว้ “เจ้าจะทำอันใด”
เฉียวเวยตอบว่า “กระดูกของเขาไม่เป็นอะไร น่าจะบาดเจ็บภายนอก ข้าต้องตรวจดูขั้นต่อไป”
จีหมิงซิวเอ่ยเสียงเข้ม “ถึงอย่างนั้นก็จะถอดกางเกงของเขาไม่ได้ บุรุษกับสตรีแตกต่างกัน”
“ข้าเป็นหมอ!”
“แล้วก็เป็นฮูหยินของอัครมหาเสนาบดีด้วย หากเล่าลือกันออกไปว่าเจ้าถอดกางเกงผู้อื่น เจ้าจะให้พู่กันของผู้ตรวจการเขียนว่าอย่างไร” จีหมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
ผู้ตรวจการย่อมไม่ทราบเรื่องเล็กน้อยเท่าเมล็ดถั่วเมล็ดงาเช่นนี้ ต่อให้ทราบก็ไม่มีทางจับพู่กันประณามเฉียวเวย เพราะไม่ว่าอย่างไรเฉียวเวยก็เป็นหมอจริงๆ นางไปช่วยชีวิตคน ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นเมาหัวราน้ำเสียหน่อย ผู้ตรวจการทั้งหลายได้รับการศึกษาระดับสูงมาแล้ว พวกเขาย่อมไม่คร่ำครึถึงขั้นนั้น
แต่ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีทนไม่ได้
ผู้หญิงของเขาถอดได้แต่กางเกงของเขาเท่านั้น!
ถอดของคนอื่น ฝันไปเถิด!
จีหมิงซิวหันไปมองซวนจื่อแล้วบอกด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ข้าจะให้องครักษ์ไปเชิญหมอในเมืองสักคนมาเดี๋ยวนี้ เจ้าพักผ่อนสักครู่”
“…ขอรับ! ขอรับ!” ซวนจื่อเห็นดวงตาที่เหมือนจะอ่อนโยน แต่ความจริงจิตสังหารล้นทะลักนั่นของจีหมิงซิวก็ค้านไม่ออกแม้แต่คำเดียว
เฉียวเวยออกจากบ้านของซวนจื่อก็ยกมือขึ้นจับติ่งหู “ถอด…ถอดกางเกงไม่ได้หรือ”
จีหมิงซิวหรี่ตาลง ท่าทางอันตราย “เจ้าเคยถอดมาก่อนแล้วหรือ”
“ไม่มีแน่นอน!” เฉียวเวยทำหน้าจริงจัง “ข้าไม่ค่อยจะได้รักษาคนในหมู่บ้านนัก มีแต่พ่อของข้า ข้าไปตระกูลจีก็ตรวจแต่พวกสาวใช้กับหญิงรับใช้ในจวนชั้นใน ข้าจะไปถอดกางเกงผู้ใดเล่า”
จีหมิงซิวส่งเสียง ‘หึ’ ออกมาอย่างเย็นชา “ทางที่ดีอย่าให้เคยมีก็แล้วกัน”
เจ้าสำนักเฉียวลูบจมูก
ทั้งสองคนขึ้นมาบนเขา
จีหมิงซิวสั่งให้องครักษ์คนหนึ่งไปเชิญหมอในเมือง
องครักษ์ควบม้าจากไป
ปี้เอ๋อร์ต้มน้ำแกงเนื้อ จากนั้นยิ้มตาหยียกน้ำแกงสองถ้วยออกมา “ท่านเขยมาแล้ว! รีบดื่มน้ำแกงเนื้อสักถ้วยอบอุ่นร่างกายเร็วเจ้าค่ะ!”
จีหมิงซิวนั่งลงในห้องโถง รับน้ำแกงที่ปี้เอ๋อร์ยกมาให้ พอเห็นในถาดยังมีอีกชามหนึ่ง แต่ทุกคนกำลังดื่มกันหมดแล้ว จึงถามขึ้นมาว่า “ถ้วยนี้ให้ผู้ใด”
ปี้เอ๋อร์ชี้ไปที่ห้องของเฉียวเจิง “ให้…”
“แน่นอนว่าให้ข้าสิ!” เฉียวเวยกน้ำแกงเนื้อขึ้นมาซดอึกๆ คำโต แต่ไม่รู้ว่าจะร้อนขนาดนี้ ลิ้นจึงถูกลวกจนเกือบหงิก!
ดวงหน้างามของปี้เอ๋อร์ตกใจจนหน้าถอดสี
จีหมิงซิวรีบวางชามลง แล้วรินชาเย็นถ้วยหนึ่งให้ “อมไว้”
เฉียวเวยอมชาเย็นคำหนึ่งจากมือเขา แล้วมองเขาอย่างน่าสงสาร
จีหมิงซิวตำหนิเสียงเบา ทั้งปวดใจและรู้สึกจนปัญญา “เจ้าจะรีบร้อนเช่นนี้ทำอันใดเล่า”
เฉียวเวยอมน้ำชาอยู่ในปาก พูดไม่ได้จึงส่งสายตาให้ปี้เอ๋อร์อย่างบ้าคลั่ง
ปี้เอ๋อร์ไม่เข้าใจ “ฮูหยิน ตาท่านเส้นเอ็นกระตุกหรือเจ้าคะ”
จีหมิงซิวหันไปมองดวงตาของนาง
นางถลึงตา กลืนน้ำชาลงไปแล้วบอกว่า “มีฝุ่น”
“ข้าดูซิ” จีหมิงซิวประคองใบหน้าของนาง มือข้างหนึ่งพลิกหนังตาของนางดู “ไม่เห็นนะ หลุดไปแล้วหรือเปล่า”
“อาจจะใช่! ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว” เฉียวเวยจับมือของเขาออกแล้วลุกขึ้นยืน “ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในตู้ของข้ายังมียาอยู่นิดหน่อย ข้าจะไปหยิบ รอประเดี๋ยวให้ปี้เอ๋อร์ส่งไปให้ซวนจื่อ”
จีหมิงซิวพยักหน้า “ข้าจะไปดูลูกๆ”
ปี้เอ๋อร์จึงบอกว่า “จิ่งอวิ๋นตื่นแล้วกำลังอ่านหนังสืออยู่ วั่งซูกับหลิวเกอร์ยังหลับอยู่เจ้าค่ะ”
“หลิวเกอร์ก็อยู่ด้วยหรือ” จีหมิงซิวประหลาดใจเล็กน้อย
ปี้เอ๋อร์ยิ้มตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ หลิวเกอร์ก็มาด้วย”
จีหมิงซิวเดินเข้าไปในห้อง
เฉียวเวยรีบลากปี้เอ๋อร์ไปด้านข้าง แล้วยกแขนกักนางไว้กับกำแพง กดเสียงเบาบอกอย่างข่มขู่คุกคาม “เรื่องทูตหนานฉู่ ห้ามเจ้าปูดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ!”
ดวงตาทรงเมล็ดซิ่งของปี้เอ๋อร์เบิกโต “หา”
เฉียวเวยขู่ “หาอะไรเล่า ไม่ได้ยินหรือ หากไม่ได้ยิน ข้าจะจับเจ้าแต่งงาน! เจ้าบ่าวไม่ใช่เสี่ยวเว่ยด้วย!”
ปี้เอ๋อร์ปิดปาก พยักหน้าอย่างเชื่อฟังยิ่ง
เฉียวเวยปล่อยปี้เอ๋อร์แล้วเดินไปห้องของเฉียวเจิง
แม่ทัพน้อยมู่นั่งอยู่บนรถเข็น รถเข็นคันนี้เป็นตัวที่เฉียวเจิงเคยใช้ เฉียวเวยเคยคิดจะขายมันทิ้ง แต่ก็หาคนซื้อที่เหมาะสมไม่ได้ จึงเก็บเอาไว้ก่อน คิดไม่ถึงว่าหนนี้จะได้ใช้ประโยชน์อีก
แม่ทัพน้อยมู่ดันรถเข็นมาถึงข้างหีบใบใหญ่ แล้วเปิดหีบออกมุดศีรษะไปรื้อด้านใน
เฉียวเวยปิดประตูแล้วเดินเข้าไปถามว่า “เจ้าหาอะไร”
แม่ทัพน้อยมู่ตอบว่า “เสื้อที่เจ้าให้ข้ามาไม่พอดีตัว ข้าเลยจะหาชุดที่พอดีตัวสักชุด”
ไร้สาระ เจ้ากับบิดาของข้าหุ่นไม่เหมือนกันก็ต้องไม่พอดีตัวสิ! รื้อออกมาร้อยชุดก็ไม่มีที่พอดีตัวหรอก!
“ข้าจะบอกเจ้า…”
เฉียวเวยเพิ่งจะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอันคุ้นเคยดังขึ้นตรงทางเดิน เฉียวเวยเลิกคิ้ว แล้วจับแม่ทัพน้อยมู่ยัดลงไปในหีบ
ปั้บ! ปิดฝาหีบสนิท!
จีหมิงซิวผลักประตูเข้ามา ในอ้อมแขนมีวั่งซูที่ร้องไห้จนน้ำมูกไหล “เจ้าดูสิ ท่านแม่ไม่ได้อยู่ที่นี่หรือ”
วั่งซูไม่ร้องไห้หาเฉียวเวยมานานแล้ว แต่เมื่อครู่นางฝันร้ายจึงหวาดกลัวยิ่งนัก อยากหาท่านแม่อย่างยิ่ง
เฉียวเวยยิ้มแย้มเดินเข้าไปหา ทันใดนั้นหีบด้านหลังก็ขยับ เฉียวเวยถอยกลับมาก้าวหนึ่ง ทิ้งก้นนั่งลงบนฝาหีบแล้วยื่นมืออกมาหาวั่งซู “มาหาแม่มา”
วั่งซูบิดร่างเล็กน้อยดิ้นลงไปที่พื้น แล้ววิ่งตึงตังมาข้างกายเฉียวเวย เฉียวเวยอุ้มนางขึ้นมา นางกอดคอเฉียวเวยออดอ้อนอยู่พักหนึ่ง ออดอ้อนจนพอใจก็ยกมือปิดก้นเล็กๆ ไปตามหากระโถนใบน้อยของตนเองเพื่อปลดเบาอย่างว่าง่าย
เฉียวเวยยิ้มมองไปทางจีหมิงซิว ยังไม่ไปอีกหรือ
จีหมิงซิวตีความรอยยิ้มงดงามของนางเป็นอีกความหมายหนึ่ง เขาก้าวเข้ามาในห้องอย่างแผ่วเบาแล้วปิดประตู ขัดกลอนเสร็จสรรพ
หัวใจของเฉียวเวยกระตุกเสียงดัง
จีหมิงซิวเดินเข้าห้องมาก็กวาดสายตามอง ทันใดนั้นก็สงสัยเล็กน้อย “ที่นี่มีคนอยู่หรือ”
“ไม่มี!”
“ถ้วยยาบนโต๊ะยังอุ่นอยู่”
เฉียวเวยกะพริบตา “ของ…ของปี้เอ๋อร์! เมื่อคืนวานนางนอนที่นี่ แต่วันนี้จะไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่นับว่ามาอยู่ อย่าให้ท่านพ่อข้ารู้เชียว เขาไม่ชอบให้ผู้อื่นมาอยู่ในห้องของเขานัก”
จีหมิงซิวสูดจมูก “มีกลิ่นคาวเลือด”
เฉียวเวยเกาคอ ยิ้มแห้งๆ ตอบว่า “ปี้เอ๋อร์…ระดูมา! ปวดท้องจนทนไม่ไหว เมื่อเช้าเพิ่งจะหายปวด! ป่วยไข้เล็กน้อยเช่นนี้ ความจริงข้ารู้สึกว่าไม่ต้องกินยาก็ได้ แต่นางถูกตามใจมากเกินไปจึงจนหนทาง ต้องให้ข้าลุกขึ้นมาต้มยาถ้วยหนึ่งให้นางตั้งแต่เช้า”
จีหมิงซิวเหยียบถูกเสื้อตัวนอกตัวหนึ่งจึงก้มลงไปเก็บมันขึ้นมา แล้วหันไปมองเสื้อผ้าที่วางระเกะระกะอยู่รอบๆ “เสื้อผ้าของพ่อเจ้าเหตุไฉนจึงมาอยู่บนพื้นเสียหมด”
แม่ทัพน้อยมู่น่าตาย รื้อของก็ทำไม่เป็น เละเทะไปหมดแล้ว นางจะแก้ตัวอย่างไรดี
เฉียวเวยหัวเราะแห้งๆ สองที แล้วตอบด้วยท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง “ปี้เอ๋อร์สาวน้อยคนนั้น ข้าบอกนางตั้งกี่หนแล้วว่าเวลาหาของให้หาดีๆ อย่ารื้อจนเละเทะกระจุยกระจาย นางก็ไม่ฟัง!”
จีหมิงซิวยังจะเปิดปากต่อ แต่เฉียวเวยกระโดดลงมาที่พื้น อ้าแขนกอดเขาแล้วเขย่งปลายเท้า ปิดปากของเขาไว้
“หลิวเกอร์ยังนอนหลับอยู่” จีหมิงซิวอุ้มนางขึ้นมาวางบนหีบ แล้วปิดริมฝีปากอันอ่อนนุ่มของนาง
ตึง!
ทันใดนั้นหีบก็สะเทือนเบาๆ
ร่างกายของทั้งสองคนหยุดชะงัก จีหมิงซิวผละออกจากริมฝีปากของนาง แล้วมองไปยังหีบข้างใต้ร่างนางอย่างแปลกใจ “ข้างในใส่อะไรไว้”
“ไม่มีอะไรทั้งนั้น! เท้าของข้าเอง! ท่านดูสิ!” เฉียวเวยยิ้ม แล้วใช้เท้าเตะหีบ ‘แรงๆ’ หนสองหน
หีบใบเล็กคับแคบ เสียงไม่มีที่ให้ลอยหนีไป แก้วหูของแม่ทัพน้อยมู่สะเทือนจนเกือบขาด
เฉียวเวยยกแขนเรียวกลมกลึงขึ้นมาโอบลำคอของจีหมิงซิว “พวกเราไปห้องรับแขกกันเถอะ นี่เป็นห้องของบิดาข้า”
ตอนที่แววตาของจีหมิงซิวตอบปฏิเสธเฉียวเวยนั่นเอง วั่งซูก็ผลักประตูเข้ามา สิ่งที่สมควรบอกสักหน่อยก็คือแม้ว่าประตูจะถูกใส่กลอนอยู่ แต่การทำกลอนประตูหัก สำหรับวั่งซูแล้วไม่ต่างจากการหักขนมสักชิ้น
วั่งซูเอ่ยเสียงนุ่มนิ่ม “หิมะตกหนักนักเชียว ท่นาพ่อ ท่านแม่ พวกเราไปปั้นตุ๊กตาหิมะกันเถิด!”
“ได้สิ!” เฉียวเวยดันจีหมิงซิวออก “ให้ท่านพ่อไปเล่นกับเจ้าก่อน แม่ไปห้องครัวทำอาหารเช้าให้พวกเจ้า!”
“ท่านพ่อๆ!” วั่งซูวิ่งเข้ามา จับมือใหญ่ของจีหมิงซิว “พวกเราไปปั้นตุ๊กตาหิมะกัน!”
จีหมิงซิวถูกวั่งซูลากออกไป
เฉียวเวยพรูลมหายใจยาวแล้วเดินไปที่ประตู มองออกไปข้างนอกเล็กน้อย เมื่อแน่ใจแล้วว่าสองพ่อลูกย่อตัวลงไปกอบหิมะแล้วจึงหันเท้าเดินกลับมาเปิดฝาหีบ มองแม่ทัพน้อยมู่ผู้จิ้มนิ้วชี้เข้าไปในรูหูของตนเอง “ทางที่ดีเจ้าว่าง่ายๆ หน่อย หากปล่อยให้เขารู้ว่าเจ้าอยู่ที่บ้านข้าล่ะก็”
แม่ทัพน้องมู่ถลึงตาใส่นางอย่างโกรธเคือง “เจ้าก็บอกเขาว่าเจ้ารักษาอาการบาดเจ็บให้ข้าก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
เฉียวเวยยกฝ่ามือขึ้นตบศีรษะของเขา “พูดเหมือนในหมู่บ้านยังมีหมอคนที่สอง!”
สตรีนางนี้กินอะไรโตมากันแน่ สมองเกือบจะถูกตบกระจายแล้ว
“ท่านแม่!”
เสียงวั่งซูเรียกดังมาจากด้านนอก
“มาแล้ว”
เฉียวเวยขานตอบ แล้วถลึงตาใส่แม่ทัพน้อยมู่ “เชื่อฟังหน่อย อย่าออกมา ประเดี๋ยวพวกเราก็ไปแล้ว เจ้าฝืนทนอย่างมากก็แค่ผ่านเช้านี้เท่านั้น!”
แม่ทัพน้อยมู่ไม่พอใจ
แม่ทัพน้อยมู่ถลึงตาใส่นางอย่างโหดเหี้ยม แล้วปิดฝาหีบลงมา!
เฉียวเวยจัดการเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปที่ลานบ้านราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ในลานบ้าน มีวั่งซูอยู่เพียงคนเดียว
“บิดาของเจ้าเล่า” เฉียวเวยถาม
วั่งซูตอบว่า “ท่านพ่อไปหยิบของเจ้าค่ะ”
แม่ทัพน้อยมู่นั่งอยู่ในหีบ ทั้งตัวเจ็บปวดเหมือนจะตาย ในใจก่นด่าบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเฉียวเวย สาบานว่าเมื่อเขาหายดีแล้ว สตรีนางนั้นจะได้เห็นดีกัน!
ปั้บ!
ฝาหีบถูกเปิดออก