ตอนที่ 230-2 เข้าเยี่ยมท่านตา ซาลาเปาน้อยมาแล้ว
รถม้าแล่นเข้าไปในปราสาทเฮ่อหลัน
สีหน้าไซน่าฮูหยินดูย่ำแย่ยิ่งนัก “น่ารังเกียจเหลือเกิน! น่ารังเกียจเกินไปแล้ว! ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าต้องมีคนทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้! เหอจั๋วใกล้จะไม่ไหวเต็มที พวกเราคิดจะสร้างผลงานให้เหอจั๋วได้เห็นกันทั้งสิ้น แต่การหาหลานสาวตัวปลอมมาหลอกเหอจั๋วก็ไม่อาจให้อภัยได้จริงๆ! ข้าละอยากจะเห็นนักว่าใครกินดีหมีเข้าไป ถึงได้กล้าปลอมตัวมาเป็นบุตรสาวของจั๋วหม่าเช่นนี้!”
เฉียวเวยลูบปลายคง ดูจากสถานการณ์แล้วคงไม่ได้มีเพียงไซน่าตระกูลเดียวที่ตามหาตัวนาง…
ตอนแรกนางยังไม่อยากพบหน้าอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ดูๆๆๆ นางไม่อยากพบ แต่ดันมีบางคนอยากพบแทนนาง ทั้งยังไม่ลังเลที่จะปลอมตัวเป็นนางเสียด้วย
พูดตามตรงนางเองก็อยากรู้มากเช่นกันว่าคนที่ปลอมตัวเป็นนางจะเป็นสตรีเช่นไร
ไซน่าฮูหยินเดินนำเฉียวเวยเข้าไปในโถงประชุมของปราสาทเฮ่อหลัน ห้องโถงโอ่อ่ากว้างขวางและน่าเกรงขาม ฮูหยินรองของเหอจั๋ว เยียนซื่อกับผู้อาวุโสห้าท่านรวมถึงผู้นำแต่ละพื้นที่มาถึงกันแล้ว แต่ยังมีเก้าอี้หลายตัวที่ว่างอยู่ ดูท่าคงไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์ทุกคนที่มาถึงแล้ว
ไซน่าฮูหยินเดินเข้าไปด้วยความดุดันและหัวเสีย ทุกคนพอได้ยินเสียงฝีเท้าที่เจือความขุ่นเคืองของนางก็พากันหันไปมองทางประตู
สายตาทุกคู่พลันถูกสตรีด้านหลังไซน่าฮูหยินดึงดูดไปโดยพลัน ก่อนทุกคนจะเผยสีหน้าตื่นตะลึงออกมาให้เห็น
ไซน่าฮูหยินสังเกตเห็นสีหน้าทุคนจึงยืดอกเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “เป็นอย่างไร ตกใจกันมากกระมัง บุตรสาวของจั๋วหม่าเหมือนจั๋วหม่าเมื่อในอดีตมากเลยใช่หรือไม่ ข้าได้ยินว่ามีคนวิ่งโร่มาอ้างตัวเป็นบุตรสาวของจั๋วหม่า ข้าไม่สนว่าคนผู้นั้นเป็นใคร แต่เวลานี้ข้าคิดว่าทุกคนคงรู้แล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นบุตรสาวตัวจริงของจั๋วหม่า!”
ทุกคนมองหน้ากัน
เฉียวเวยกวาดตามองสีหน้าทุกคน ดูจากท่าทาง พวกเขาคงตื่นตะลึงในรูปลักษณ์ของนางมากจริงๆ แต่เหตุผลที่ตื่นตะลึงนั้นดูเหมือนจะไม่เหมือนที่ไซน่าฮูหยินคิดสักเท่าไร
เยียนฮูหยินหันไปสนทนากับหัวหน้าผู้อาวุโสที่อยู่ข้างๆ พักหนึ่ง หัวหน้าผู้อาวุโสพยักหน้า เอ่ยกับไซน่าฮูหยินว่า “ข้าว่า พวกเจ้าลองได้เห็นหน้าบุตรสาวของจั๋วหม่าก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกทีเถิด”
ไซน่าฮูหยินตบมือทั้งสองข้างลงกับโต๊ะ เอ่ยอย่างไม่ยอมผ่อนปรนว่า “ข้าบอกแล้วว่านี่ต่างหากคือบุตรสาวของจั๋วหม่า! พวกเจ้าอย่าได้คิดว่าเมื่อประมุขตระกูลไซน่าไม่อยู่แล้ว จะรังแกข้าอย่างไรก็ได้นะ!”
หัวหน้าผู้อาวุโสไม่ต่อล้อต่อเถียงกับนาง หันไปกวักมือให้คนที่อยู่ในห้องด้านข้าง ไม่นานสตรีสาวที่รูปโฉมงดงามก็จูงเด็กสองคนเดินออกมาจากด้านใน สิ่งที่ทำให้เฉียวเวยและไซน่าฮูหยินตื่นตะลึงเหลือแสนก็คือ สตรีนางนั้นถึงแม้จะอยู่ในชุดอย่างชาวจงหยวน แต่ใบหน้านั่น ใบหน้านั่น…กลับเหมือนเฉียวเวยราวกับแกะ!
ไซน่าฮูหยินตะลึงค้างไปทันที
อย่าว่าแต่ไซน่าฮูหยินเลย แม้แต่เฉียวเวยก็ตกใจจนเกือบพูดอะไรไม่ออก เหตุใดถึงมีคนหน้าตาเหมือนนางเช่นนี้ คิ้วนั่น คางนั่น ปากนั่น แม้แต่รูปร่างความสูงก็ยังใกล้เคียงกันยิ่งนัก มีลักษณะท่าทางที่ไม่เหมือนนัก เพียงแต่คนเหล่านี้ไม่เคยพบเห็นนางมาก่อน ลักษณะท่าทางจะเหมือนหรือไม่ก็ไม่ต่างกันไม่ใช่หรือ
ขอเพียงมีใบหน้าเหมือนเฮ่อหลันชิงสมัยยังสาวเช่นเดียวกับนางก็พอ แค่รูปลักษณ์นี้ของนางก็พอที่จะทำให้ผู้อาวุโสทั้งหลายเชื่อได้แล้ว
“นางใส่หน้ากากหนังคนอยู่หรือไม่” เฉียวเวยถาม
หัวหน้าผู้อาวุโสเอ่ยอย่างสัตย์ซื่อว่า “พวกเราตรวจสอบแล้ว นางไม่ได้ใส่ ทุกคนไม่มีใครใส่ทั้งสิ้น”
ทุกคน?
สายตาของเฉียวเวยมองไปยังเด็กน้อยทั้งสอง ชายคนหญิงคน นี่ใช่ “จิ่งอวิ๋น” กับ “วั่งซู” หรือไม่ ท่าทางเหมือนเด็กอายุห้าขวบยิ่งนัก ในมือยังอุ้มเพียงพอนไว้คนละตัวอีกด้วย
แม้แต่เจ้าไป๋ทั้งสองยังทำสำเนามาด้วย สุดยอดจริงๆ!
ที่สุดยอดไปกว่านั้นอยู่หลังจากนี้ ความตกใจนี้ของเฉียวเวยยังไม่ทันหายไป ในห้องก็มีชายวัยกลางคนที่ท่าทางเป็นบัณฑิตงามสง่าเดินออกมา ด้านหลังเขายังมีลิงตัวน้อยเดินตามมาอีกด้วย
“ท่านพ่อ” สตรีนางนั้นทำความเคารพให้บุรุษวัยกลางคน
พวกเด็กๆ พากันเรียกว่า “ท่านตา”
พ่อเจ้าแม่เจ้าช่วย!
นี่เล่น copy ไปถึงท่านพ่อนางกับจูเอ๋อร์เลยหรือ!
นอกจากสตรีนางนั้นที่มีใบหน้าละม้ายเฉียวเวยราวกับแกะแล้ว คนอื่นๆ กลับไม่เหมือนพวกจิ่งอวิ๋นสักเท่าไร แต่คนอื่นๆ ในชนเผ่าไม่รู้จักพวกเขานี่ แค่มีใบหน้าอย่างเฉียวเวยก็พอแล้ว
สตรีนางนั้นกอดบุตรข้างกายไว้แน่น ขมวดคิ้วเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงต้องปลอมตัวเป็นข้า”
แม่เจ้า ใครปลอมตัวเป็นใครกันแน่
เฉียวเวยไม่นึกเชื่อว่าในโลกนี้จะมีคนที่ใบหน้าเหมือนกันทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นแฝดกันเช่นนี้ ยิ่นอ๋องกับหมิงซิวที่หน้าตาคล้ายคลึงกันนั่น ยังเหมือนเพียงเจ็ดแปดส่วนเท่านั้น มีที่ไหนที่เหมือนกับแม่นางผู้นี้ที่แทบจะถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกัน!
เฉียวเวยหรี่ตาก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วยื่นมือไปสำรวจใบหน้านาง
สตรีนางนั้นร้องด้วยความตกใจ องครักษ์ในโถงประชุมก็กรูกันเข้ามาดึงตัวเฉียวเวยออกไป
ชั่วขณะที่ถูกดึงตัวออกมานั้น เฉียวเวยแตะถูกใบหน้าอีกฝ่าย แต่กระนั้นที่เกินความคาดหมายก็คือนางไม่ได้ใส่หน้ากากอยู่จริงๆ
เฉียวเวยงงงัน นี่มันเรื่องอะไรกัน คงไม่ใช่ว่าท่านแม่นางลอบสวมเขาให้ท่านพ่อลับหลังกระมัง
หัวหน้าผู้อาวุโสเอ่ยเสียงเข้มว่า “ไซน่าฮูหยิน ข้าเห็นแก่นายท่านไซน่ากับท่านพ่อของเจ้า ข้าจะไม่ถือสาหาความพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้ายังจะไร้มารยาทเช่นนี้ต่อไป ข้าก็จะไม่ใจอ่อนยอมปราณีพวกเจ้าแล้วเช่นกัน พวกเจ้าไปเสียเถิด!”
ไซน่าฮูหยินยังจมอยู่ในความตกใจ จึงยังไม่หลุดจากภวังค์
องครักษ์ลากตัวเฉียวเวยออกมา เฉียวเวยสลัดพวกเขาจนหลุด นางหันไปหาเฉียวเวยตัวปลอมแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ในโลกหล้านี้เหตุใดถึงมีคนที่หน้าตาเหมือนกันเช่นนี้ พวกท่านไม่แปลกใจเลยหรือ”
หัวหน้าผู้อาวุโสถาม “คงไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนที่ใส่หน้ากากกระมัง”
เฉียวเวยเชิดหน้าขึ้น “ท่านมาตรวจดูสิ!”
หัวหน้าผู้อาวุโสทำสัญญาณมือให้องครักษ์ องครักษ์เข้าไปตรวจตรงหลังหูนางแล้วส่ายหน้าให้หัวหน้าผู้อาวุโส
เฉียวเวยคิดในใจว่า โชคดีที่นางมาเอง หากเป็นเฟิ่งชิงเกอคงถูกจับได้ไปแล้ว เพียงแต่ดูเหมือนสถานการณ์ของนางก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไร เจ้าของเลียนแบบนี้ช่างเลียนแบบได้ดีเกินไปจริงๆ
หัวหน้าผู้อาวุโสโบกมือ “พาตัวไป”
เฉียวเวยทำสีหน้าจริงจัง “ช้าก่อน! พวกท่านรู้จักเฉียวเวยมากน้อยพียงใดกันแน่ นางแต่งงานกับใคร บิดานางเป็นใคร บุตรของนางเป็นใคร มีเอกลักษณ์ตรงใดบ้าง พวกท่านรู้กันหรือไม่”
หัวหน้าผู้อาวุโสมองเฉียวเวยด้วยท่าทางสงบนิ่ง สายตาคล้ายผิวน้ำที่ไร้ระลอกคลื่น “แน่นอน พวกเราสืบข้อมูลนางมาโดยละเอียดแล้ว นางแต่งงานกับนายน้อยตระกูลจี มีบุตรฝาแฝดชายหญิง บุตรชายชื่อจิ่งอวิ๋น บุตรสาวชื่อวั่งซู จิ่งอวิ๋นฉลาดหลักแหลมแต่กำเนิด อายุห้าขวบก็ได้ชื่อว่าเป็นทั่นฮวาแห่งวัยเยาว์แล้ว บุตรสาวนิสัยธรรมดาทั่วไป บิดาของเฉียวเวยเป็นประมุขจวนเอินปั๋ว ฝีมือการแพทย์เป็นเลิศ”
เฉียวเวยยิ้มเยาะ “บุตรสาวข้าไม่ได้ธรรมดาทั่วไปเสียหน่อย นางเก่งมากทีเดียว!”
บรรดาผู้อาวุโสกระซิบพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว คล้ายกำลังวิเคราะห์ว่าที่เฉียวเวยพูดเป็นความจริงหรือไม่
สตรีนางนั้นกระซิบบอกอะไรกับบุตรสาวสักอย่าง บุตรสาวตัวน้อยเหลือบมองเฉียวเวยด้วยสายตาเยือกเย็น ก่อนจะเดินเข้าไปหน้าเก้าอี้ตัวหนึ่ง ยกมือขึ้นสับเก้าอี้ตัวนั้นจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
เด็กน้อยคนนั้นหันมาส่งสายตาได้ใจให้เฉียวเวย
เฉียวเวยสูดอากาศเย็นๆ เข้าไป กำหมัดแน่นมองเด็กน้อยคนนั้นก่อนจะหันไปมองเด็กชายแล้วยิ้มเรียบๆ เอ่ยว่า “ข้าว่าเด็กสองคนนี้ไม่มีใครหน้าตาเหมือนเจ้าเลยนี่”
สตรีนางนั้นคล้ายคิดไว้อยู่แล้วว่าเฉียวเวยจะถามเช่นนี้ จึงเอ่ยด้วยสีหน้าสบายๆ ว่า “พวกเขาหน้าเหมือนพ่อของพวกเขา”
พ่อเขากับผีน่ะสิ!
ไซน่าฮูหยินดึงแขนเสื้อเฉียวเวย เอ่ยเบาๆ พอให้ได้ยินกันสองคนว่า “เจ้ามาคนเดียว คนเขาเตรียมตัวพร้อมแล้วถึงได้มา โอกาสชนะของเจ้าน้อยเกินไป เวลานี้ทำได้เพียงเรียกสามีของเจ้ามา ให้เขายืนยันฐานะของเจ้า”
สตรีนางนั้นเอ่ยกับเหล่าผู้อาวุโสว่า “เดิมทีข้าคิดจะให้สามีข้ามาด้วยกัน แต่ด้วยช่วงนี้สุขภาพเขาไม่สู้ดีนัก จึงปิดประตูครองสันโดษอยู่เจ้าค่ะ”
แม่เจ้า!
เฉียวเวยข่มอารมณ์ที่ปะทุขึ้นในใจเอาไว้ เอ่ยสีหน้าจริงจังว่า “หากว่ากันที่รูปลักษณ์แล้ว พวกเราสองคนเหมือนกันราวกับแกะ เหตุใดพอนางบอกว่านางเป็นบุตรสาวของท่านแม่พวกท่านถึงเชื่อ แต่พอเป็นข้าบอกพวกท่านกลับไม่เชื่อเล่า หรือเพราะว่าข้าไม่ได้พาคนในครอบครัวมาด้วย”
หัวหน้าผู้อาวุโสบอกว่า “เพราะนางมีของดูต่างหน้ามาด้วย”
“ของดูต่างหน้า?” เฉียวเวยสงสัย
สาวใช้คนหนึ่งเดินถือถาดเข้ามา เฉียวเวยเพ่งสายตามอง นั่นไม่ใช่ของที่นางทำหล่นตอนอยู่ในน้ำหรอกหรือ สมุดบันทึกของท่านแม่กับจดหมายที่นางเขียนด้วยลายมือตนเอง
เมื่อเทียบกันแล้ว ในตัวนางมีเพียงจดหมายที่บิดานางเขียนให้ท่านแม่ แต่คนชนเผ่าลึกลับก็ไม่รู้จักลายมือบิดานางอยู่ดี จดหมายฉบับนี้มีเพียงท่านแม่นางเท่านั้นที่แยกออกว่าเป็นของจริงหรือของปลอม แต่ท่านแม่นางก็ปิดประตูครองสันโดษอยู่อีก…ไม่อาจออกมาเป็นพยานได้
ครานี้นางคงต้องกลับไปมือเปล่าเสียแล้ว
ไซน่าฮูหยินโกรธไม่น้อย พอกลับไปถึงปราสาทตระกูลไซน่าก็คว้าตัวไซน่าอิงมาต่อว่าทันที “เจ้าไม่ได้จับมาผิดตัวจริงๆ กระมัง”
ไซน่าอิงเอ่ยตอบอย่างหนักแน่นว่า “ข้าไม่ได้จับมาผิดตัวจริงๆ ข้าได้พบคุณชายตระกูลจีตอนอยู่ในวังหลวง และเคยเห็นหน้าบุตรสาวของจั๋วหม่ามาก่อน เยียนเฟยเจวี๋ยกับอี้เชียนอินก็เคยประมือกันมาหลายครั้ง ข้าไม่มีทางจำคนผิดแน่”
ไซน่าฮูหยินกำหมัดทุบโต๊ะ “แต่ตอนอยู่ในวังยังมีบุตรสาวจั๋วหม่าอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย!”
ไซน่าอิงตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดว่า “เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่มีทางรับมาผิดตัว!”
หากเฉียวเวยไม่ได้จับตัวเฟิ่งชิงเกอไปก่อน เจ้าอาจจะรับมาผิดตัวไปแล้ว
เฉียวเวยมองพวกเขาแม่ลูกทีหนึ่ง ก่อนจะกลับห้องไปพร้อมกับจีหมิงซิว อี้เชียนอินกับจีอู๋ซวงตามพวกเขาไปด้วย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” จีหมิงซิวถาม
เฉียวเวยเล่าเรื่องที่ตนได้พบเห็นตอนอยู่ในวังหลวงให้พวกเขาฟังรอบหนึ่ง “… ‘ข้า’ ‘จิ่งอวิ๋น’ ‘วั่งซู’ ‘ท่านพ่อข้า’ ‘ต้าไป๋’ ‘เสี่ยวไป๋’ ‘จูเอ๋อร์’ มากันพร้อมเลย! แล้วยังมีของดูต่างหน้าของข้าด้วย!”
อี้เชียนอินกับจีอู๋ซวงต่างทำหน้าไม่อยากเชื่อ
น้อยครั้งที่จีอู๋ซวงจะเป็นฝ่ายเอ่ยอะไรกับเฉียวเวย “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
เฉียวเวยหน้าบึ้งตึง “ข้าก็อยากรู้เหมือนกัน คนในครอบครัวข้ามากันพร้อมหน้าทีเดียว หากนายน้อยของพวกเจ้าไม่ได้บอกฮ่องเต้ว่าจะปิดประตูครองสันโดษจึงไปปรากฏตัวไม่ได้ หาไม่แล้วจะเป็นการหลอกลวงเบื้องสูง ไม่อย่างนั้นน่ากลัวว่าคงมีคุณชายใหญ่ตระกูลจีโผล่มาอีกคน!”
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างเยือกเย็น “จุดสำคัญมีสองเรื่อง หนึ่งคือเหตุใดนางถึงได้หน้าตาเหมือนเจ้าราวกับแกะ สองคือเหตุใดของดูต่างหน้าของเจ้าถึงไปอยู่ในมือนาง”
อี้เชียนอินเอ่ยกับเฉียวเวยว่า “เฟิ่งชิงเกอ ใช่ว่านางใส่หน้ากากหนังคนเช่นเดียวกับเจ้าหรือไม่”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ข้าลองดูแล้ว นางไม่ได้ใส่”
“ไม่ได้ใส่?” อี้เชียนอินพึมพำ
จีหมิงซิวชะงักไป หันไปพูดกับอี้เชียนอินว่า “เช่นนั้นก็คงเหมือนเจ้า ที่ฝึกวิชาแปลงตัว?”
อี้เชียนอินนิ่งใคร่ครวญแล้วพยักหน้า “เป็นไปได้มาก”
เฉียวเวยนึกถึงเมื่อตอนนั้นที่อี้เชียนอินใช้วิชาแปลงตัวเป็นเฉียวเจิง แต่หากนางจำไม่ผิด วิชานี้จะมีเวลาจำกัด?
อี้เชียนอินพยักหน้า “จำกัดจริงๆ อย่างน้อยๆ สิบวัน อย่างมากก็ครึ่งเดือน นานที่สุดก็ไม่มีทางเกินหนึ่งเดือน หลังจากนั้นคนที่ใช้วิชานี้จะถูกพลังสะท้อนกลับอย่างรุนแรงจนไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้อีก ทั้งยังต้องปิดประตูครองสันโดษเพื่อรักษาตัวอีกด้วย”
“ต้องรอนานเพียงนั้นเชียวหรือกว่าจะเปิดโปงเจ้าตัวปลอมผู้นั้นได้” แม้แต่ให้เฟิ่งชิงเกอปลอมตัวเป็นนาง นางยังรับไม่ได้ นับประสาอะไรกับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง เฉียวเวยเม้มปาก “หากพวกเขาใช้เวลาหนึ่งเดือนนี้หลอกเอาทรัพย์สมบัติของตระกูลท่านตาข้าไปจนหมดจะทำอย่างไร”
อี้เชียนอินงงหนัก “ท่านตาเจ้า?”
เฉียวเวยเอ่ยแก้ให้ “ท่านตาของฮูหยินน้อยน่ะ!”
จีอู๋ซวงไม่ได้สนใจรายละเอียดเหล่านี้ เวลานี้ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย สำคัญที่สุดคือต้องหาที่มาของพวกตัวปลอมเหล่านี้ให้ได้เสียก่อน “เรื่องของดูต่างหน้านั่นเป็นมาอย่างไร”
เฉียวเวยจิบชาอึกหนึ่งแล้วส่งเสียงหึเย็นๆ “จะเป็นมาอย่างไรได้อีก แปดส่วนคงเป็นฝีมือของเซวียหรงหรงผู้นั้นล่ะมัง! นางลงมาในบ่อน้ำพร้อมกับพวกเรา ทุกคนถูกน้ำพัดกระจายกันไปหมด แต่สุดท้ายก็ตามกลับมากันได้ครบ มีเพียงนางกับของดูต่างหน้าของข้าที่หายไปด้วยกัน เวลานี้ของดูต่างหน้าของข้าไปอยู่ในมือตัวปลอมผู้นั้น เรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับเซวียนหรงหรงได้หรือ”
จีอู๋ซวงเอ่ยอย่างใช้ความคิด “ประจวบเหมาะเกินไปจริงๆ”
พอเขาเอ่ยจบ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็กลับมาพอดี
หนวดของเยี่ยนเฟยเจวี๋ยยังยาวออกมาแล้ว สภาพจิตใจดูหดหู่ยิ่งนัก
เฉียวเวยระบายยิ้มเรียบๆ “หาเซวียหรงหรงไม่เจอกระมัง”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพยักหน้าอย่างเศร้าสลด เดินเข้าห้องตนเองไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก
อี้เชียนอินมองแผ่นหลังของเขาแล้วได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“เวลานี้ควรทำเช่นไร” จีอู๋ซวงกลับมาที่ประเด็นสำคัญอีกครั้ง
จีหมิงซิว “มีสองวิธี หนึ่งคือรอให้แม่ของเฉียวเวยกลับออกมา ความเสี่ยงของวิธีนี้คืออาจจะรอนานเพียงนั้นไม่ไหว”
เฉียวเวยรีบเอ่ยว่า “ถูกต้อง ไซน่าฮูหยินบอกว่าท่านแม่ข้ากำลังปิดประตูครองสันโดษอยู่ ต้องอีกเป็นเดือนกว่าจะออกมาได้ ซึ่งนานเกินไป! นานกว่าให้นางเผยพิรุธออกมาเองเสียอีก!”
จีหมิงซิว “เช่นนั้นก็คงทำได้เพียงวิธีที่สองแล้ว รับตัวจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูมาที่นี่ วั่งซูหน้าตาเหมือนเสี่ยวเวยมาก แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นหลานของเฮ่อหลันชิง ต่อให้เท่านั้นอาจยังไม่พอทำให้ผู้อื่นเชื่อ แต่ที่บ้านยังมีของของเฮ่อหลันชิงอยู่อีกมากไม่ใช่หรือ เอามาอีกสักสองสามชิ้นก็ได้แล้ว”
…
ภายในห้องลับที่เย็นยะเยือก สตรีนางหนึ่งยืนอยู่ใต้แสงสว่าง หันเข้าหาฉากกั้นที่วางอยู่ตรงหน้า “ผู้อาวุโสเชื่อพวกเราแล้ว แต่ข้ายังมีเรื่องกังวลอยู่เล็กน้อย หากพวกเขาไปรับตัวเจ้าเด็กสองคนนั่นมาจะทำอย่างไร เจ้าเด็กสองคนนั่นได้ยินว่านางหน้าเหมือนเฮ่อหลันชิงมากเช่นกัน”
ด้านหลังฉากกัน น้ำเสียงที่ฟังไม่ออกว่าเป็นสตรีหรือบุรุษดังลอยมา “เจ้าวางใจเถอะ ข้าเตรียมการไว้อยู่แล้ว”
…
ท้องฟ้าเริ่มมีหิมะตกลงมาอีกครั้ง เด็กน้อยทั้งสองออกไปปั้นหิมะกันที่ลาน หลิวเกอร์นั่งอยู่บนเก้าอี้ มือซ้ายกอดเจ้าไป๋ตัวหนึ่ง มือขวากอดเจ้าไป๋อีกตัวหนึ่ง
“ข้าอยากปั้นท่านแม่!” วั่งซูปั้นหิมะเป็นก้อนกลมใหญ่
“เช่นนั้นข้าจะปั้นท่านพ่อ” จิ่งอวิ๋นก็เอาบ้าง แต่แรงเขาสู้น้องสาวไม่ได้ ปั้นอยู่นานก็ยังได้เพียงลูกเล็กๆ
หรงมามาเดินออกมาจากในห้อง เหลือบมองพวกเด็กๆ แล้วระบายยิ้ม “ได้เวลากินข้าวแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าไม่อยากกิน” หลิวเกอร์ยังเล่นสนุกไม่พอ
จิ่งอวิ๋นปัดหิมะในมือพลางลุกขึ้นยืน “กินแล้วค่อยกลับมาเล่นเถอะ”
วั่งซูพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ท่านพ่อท่านแม่ไม่อยู่ แต่ทั้งสองเป็นเด็กดีมาก เพราะท่านย่าเลยบอกไว้ว่าหากพวกเขาเป็นเด็กดี ท่านพ่อกับท่านแม่จะกลับมากันเร็วขึ้น
ทั้งสองจูงมือกันเดินเข้าไปในห้อง
เจ้าไป๋ทั้งสองก็กระโดดเข้าห้องไปด้วย
เมื่อไม่มีเจ้าไป๋ หลิวเกอร์ก็ทำหน้าบึ้ง “ข้าก็จะเข้าข้างในด้วย”
หรงมามาอุ้มเขาเข้าไปในห้อง ตั้งแต่ที่เจ็บคราก่อน เด็กคนนี้ยังไม่ยอมลงไปเดินเองอีกเลย
จีเหล่าฮูหยินกับเด็กทั้งสามนั่งกินข้าวเย็นด้วยกัน วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นไม่เลือกกิน มีอะไรให้กินก็กินอย่างนั้น ซ้ำยังกินอย่างเอร็ดอร่อยเสียด้วย จีเหล่าฮูหยินเพียงมองอยู่เฉยๆ พวกเขาก็กินข้าวกันไปกว่าครึ่งถ้วยแล้ว
พอกินข้าวเสร็จเด็กทั้งสองก็วิ่งออกไปเล่นที่ลานต่อ หิมะตกลงมาเต็มพื้น แต่ร่างกายของเด็กทั้งสองแข็งแรงจนน่าประหลาด เมื่อเป็นเช่นนี้จีเหล่าฮูหยินจึงเลิกห้ามไปเอง
พวกเด็กๆ เล่นกันอยู่พักหนึ่ง ด้านนอกก็มีเสียงตีกลองอึกทึกดังขึ้น วั่งซูกะพริบตาใสเป็นประกายของตน “พี่ นั่นเสียงอะไรน่ะ”
จิ่งอวิ๋นตั้งใจใคร่ครวญก่อนตอบว่า “วันแต่งงานของท่านแม่กับท่านพ่อข้าก็ได้ยินเสียงเช่นนี้ ดูเหมือนจะเชิดสิงโตกระมัง”
วั่งซูกระโดดดึ๋งดั๋งด้วยความตื่นเต้น “ข้าอยากดูๆ!”
จีเหล่าฮูหยินให้หรงมามา ตงเหมยกับสาวใช้หญิงรับใช้ที่ใช้การได้หลายคนพาเด็กทั้งสามไปที่หน้าประตู
ช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปีมักจะมีการเชิดสิงโตเช่นนี้ เชิดไปทั่วบ้านทุกหลัง ปีนี้ดูเหมือนจะเร็วกว่าปีที่ผ่านมาอยู่เล็กน้อย แต่กลับคึกคักกว่าที่ผ่านมา แค่สิงโตก็มีถึงสามคู่ แล้วยังมีขบวนเชิดมังกรอีก เป็นมังกรตัวเล็ก มีห้าหกคนถือไม้เชิดกันอยู่ มังกรสีสันสดใสเลี้ยวลดไปมาตามถนนที่กว้างขวาง ทั้งตีฆ้อง ลั่นกลอง เป่าปี่ เป็นที่รื่นเริงยิ่งนัก
หรงมามาอายุมากแล้ว ทนฟังเสียงอึกทึกเช่นนี้ไม่ไหวจึงเอามือปิดหู
เด็กน้อยทั้งสองปรบมือร้องชมด้วยความตื่นเต้น
แต่แล้วจู่ๆ สิงโตขบวนหนึ่งก็กระโดดมาตรงหน้าเด็กทั้งสอง
จิ่งอวิ๋นมองมันด้วยความแปลกใจ มันทำท่าก้มตัวลงมา
จิ่งอวิ๋นกะกริบตา “จะให้ขึ้นไปนั่งหรือ”
ตงเหมยเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ใช่แล้วเจ้าค่ะ คุณชาย”
หรงมามาจึงบอกว่า “อย่าให้ตกลงมาก็พอ”
ตงเหมยเอ่ยยิ้มๆ “ไม่มีอะไรหรอก หรงมามา เขามือฉมังกันทั้งนั้น! เมื่อปีก่อนหลิวเกอร์ก็เคยนั่งมาแล้ว ใช่ไหมเจ้าคะ”
หลิวเกอร์พยักหน้า
ตรงเหมยอุ้มจิ่งอวิ๋นขึ้นไปนั่ง
วั่งซูกระโดดอยู่กับที่ “ข้าก็อยากนั่ง! ข้าก็อยากนั่ง!”
ใต้ตัวสิงโต บุรุษที่เป็นหัวหน้ากระตุกมุมปากอย่างมาดร้าย หันไปส่งสายตากับขบวนเชิดสิงโตอีกขบวนหนึ่ง
ขบวนเชิดสิงโตอีกขบวนหนึ่งเดินเข้าไปหาวั่งซู วั่งซูไม่จำเป็นต้องให้คนอุ้ม พอขาน้อยๆ ก้าวขึ้นเหยียบก็นั่งลงได้ทันที!
เดิมทีคนเชิดสิงโตคิดว่าพอย่ำเท้าได้ก็จะวิ่งหนีไปทันที แต่ก็จนใจที่ยังไม่ทันได้ก้าวออกไป ก็ได้ยินเสียงแผละก่อนจะล้มลงกับพื้น!
แม่เจ้า เจ้าเด็กนี่ตัวหนักเพียงนี้เชียว…