ท่านหญิงหงสยาหลินถง เป็นบุตรีคนเล็กของไต้โจวโหวหลินหย่วนถิง น้องสาวขององค์หญิงจยาผิง ท่านหญิงได้รับความรักและถูกเอาใจมาตลอด บิดามารดาพี่ชายพี่สาวต่างเห็นนางเป็นสมบัติล้ำค่า ทว่าท่านหญิงชื่นชอบสวมอาภรณ์ผู้ฝึกยุทธ์ออกไปข้างนอกตามลำพัง พกคันศรมีดดาบออกล่าสัตว์
รัชศกหลงเซิ่งปีที่หนึ่งของต้ายง หรือรัชศกหรงเซิ่งปีที่ยี่สิบสี่ของเป่ยฮั่น องค์หญิงจยาผิงเดินทางไปช่วยทำศึกที่ชิ่นโจว เผ่าคนเถื่อนบุกตีด่านเยี่ยนเหมินสถานการณ์วิกฤตยิ่ง ยามนั้นหลินหย่วนถิงล้มหมอนนอนเสื่อ พี่ชายคนรองเฉิงเอ่อร์ตายในสนามรบ ไต้โจวไร้ผู้บัญชาการ ท่านหญิงจึงก้าวออกมาแบกรับหน้าที่ นำไพร่พลต่อต้านพวกคนเถื่อน แม้ท่านหญิงอายุน้อย ทว่าบารมีและความกล้าหาญชาญชัยมิด้อยกว่าบิดาและพี่สาว ดังนั้นจึงถูกทุกคนสนับสนุนให้ขึ้นเป็นแม่ทัพเพื่อต้านพวกคนเถื่อน
…พงศาวดารต้ายง ประวัติท่านหญิงหงสยา
หลินถงสวมอาภรณ์แดงยืนถ่ายทอดคำสั่งอย่างว่องไวอยู่บนกำแพงด่านเยี่ยนเหมิน ออกคำสั่งให้ต่อต้านเผ่าคนเถื่อนที่กำลังโหมกำลังบุกตีกำแพงเมือง แม้พวกเขามิมีอาวุธพรั่งพร้อมในการตีเมือง ทว่าอาศัยข้อได้เปรียบเรื่องความกล้าหาญชำนาญศึกกับจำนวนคนที่มากกว่าทำให้ด่านเยี่ยนเหมินตกอยู่ภายใต้แรงกดดันมหาศาล
เพื่อสังหารศัตรูได้อย่างมีประสิทธิภาพ หลินถงเลือกจังหวะราดน้ำร้อนกับทุ่มก้อนหินอย่างแม่นยำ การโจมตีของศัตรูรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้พวกคนเถื่อนมีจุดเด่นที่การขี่อาชายิงศร ทว่าหลังจากต่อสู้รบรากับกองทัพไต้โจวมาหลายปี พวกเขาก็เรียนรู้ทักษะในการบุกตีเมืองแล้วเช่นกัน การใช้บันไดพาดกำแพงกับรถยิงหินทำให้พวกเขามีโอกาสในการทลายด่านมากขึ้น พวกคนเถื่อนที่ชำนาญในการเหวี่ยงบ่วงบาศบางคนถึงกับใช้เชือกปีนขึ้นมาบนกำแพง
หลินถงรับรู้ได้ว่าหลายวันนี้กำลังพลของพวกคนเถื่อนมากมายมหาศาลขึ้นเรื่อยๆ เผ่าคนเถื่อนน่าจะรวบรวมกำลังคนทั่วทั้งทุ่งหญ้ามาร่วมมือกันบุกตีด่าน หากตีด่านเยี่ยนเหมินแตก พวกเขาคงกรูตรงดิ่งเข้าไปปล้นสะดมจนมิเหลือ เพื่อจะใช้ชีวิตผ่านพ้นความลำบากของการขาดแคลนเสบียงอาหารยามวสันต์ปีนี้ ในที่สุดพวกคนเถื่อนที่เสียหายอย่างหนักก็เริ่มล่าถอย
หลินถงพรูลมหายใจออกมา นางทราบว่าอีกมินาน พวกคนเถื่อนก็จะรวบรวมกำลังพลขึ้นใหม่และบุกมาโจมตีอีกหน แม้เป็นเช่นนี้ แต่อย่างน้อยก็ได้เวลาพักชั่วครู่สั้นๆ เพียงพอให้ปลอบประโลมหัวใจ
การทำศึกตรากตรำหลายวันทำให้ดวงหน้างามของหลินถงผุดผาดน้อยลง แต่สีหน้าของนางกลับนิ่งสงบ เพื่อปลุกขวัญกำลังใจของทหาร สามวันสามคืนที่ผ่านมานางมิลงจากกำแพงเมืองแม้แต่ก้าวเดียว อาภรณ์สีแดงบนร่างของนางประหนึ่งดวงเพลิงลุกโชติช่วงอยู่บนกำแพงตั้งแต่ต้นจนจบ ปลุกกำลังใจของเหล่าทหารหาญที่กำลังต่อสู้ชโลมเลือด
นับตั้งแต่พี่ชายออกจากด่านไปแล้วถูกดักซุ่มจนถูกศรปักร่างสิ้นใจที่หน้าด่าน บิดาก็ล้มป่วยลุกไม่ขึ้น พี่ใหญ่หลินเฉิงอี๋ทำเป็นแต่ฆ่าฟัน กลศึกโง่เขลา ทั้งยังมีนิสัยบุ่มบ่าม แม่ทัพทั้งหลายในกองทัพจึงเป็นกังวล ต้องยกหลินถงขึ้นมาเป็นแม่ทัพใหญ่อย่างไร้ทางเลือก แต่เดิมนี่เป็นเพียงแผนการเฉพาะหน้า แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าหลินถงกลับใช้เรือนร่างบอบบางคุมสถานการณ์เอาไว้ได้อยู่หมัด นางบัญชาการกองทัพให้ทำศึกอย่างเป็นระบบเป็นระเบียบ มิด้อยกว่าแม่ทัพผู้กรำศึกร้อยสนามรบ ดังนั้นเพียงไม่กี่วัน ทหารและประชาชนไต้โจวจึงมองหลินถงเป็นแม่ทัพใหญ่ที่มารับช่วงต่อจากหลินปี้แล้ว
หากจะกล่าวไปแล้ว ก่อนหน้านี้แม้หลินถงมิเคยบัญชาการทัพทำศึก แต่นางฉลาดเฉลียวมาแต่กำเนิด ชื่นชอบขี่อาชายิงธนู แล้วยังสนอกสนใจเรื่องการทำสงครามบนสนามรบอย่างยิ่งมาแต่เดิม แม้บิดามารดาพี่ชายพี่สาวร่วมมือกันมิยอมให้นางยุ่งเกี่ยวการศึก แต่ปกตินางก็ชอบติดตามหลินปี้เดินทางไปที่ต่างๆ เป็นที่สุด เมื่อได้ยินได้เห็นบ่อยเข้า ย่อมพอมีความรู้เรื่องกลศึกอยู่บ้าง
หลังจากเรื่องในตงไห่ หลินถงก็เติบใหญ่ขึ้นฉับพลัน ยิ่งใส่ใจศึกษากลศึกอย่างยิ่ง ผนวกกับเมื่อหลายวันก่อนนางอยู่ข้างกายหลินหย่วนถิงระหว่างที่เขาบัญชาการกองทัพบนกำแพงเมืองด่านเยี่ยนเหมิน พรสวรรค์ ความรู้และความมิทะนงตน ทำให้หลินถงกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้มีคุณสมบัติเพียบพร้อมภายในเวลาอันสั้น แม้จะมีข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง แต่เมื่อมีท่านลุง ท่านน้าและท่านพี่ทั้งหลายในกองทัพไต้โจวช่วยเหลือก็เพียงพอจะชดเชย
ยิ่งไปกว่านั้น หลินถงเป็นคนมีไหวพริบมาตั้งแต่เกิด นางจับจังหวะสถานการณ์บนสนามรบได้พอเหมาะพอดีอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านหญิงหงสยาสร้างชื่อเป็นวีรสตรี แน่นอนว่าเวลานี้หลินถงมิสนใจสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงและยิ่งไม่รู้สึกตัวด้วยว่าทุกคนมองนางเป็นตัวแทนของพี่สาวแล้ว นางเพียงพยายามจะคิดหาวิธีจัดการกับพวกคนเถื่อนเท่านั้น
หลินถงลากขาอันหนักอึ้งเดินลาดตระเวนบนกำแพงเมืองอย่างมิอนาทรต่อความเหน็ดเหนื่อย นางมองสำรวจการป้องกัน ไถ่ถามปลอบประโลมพลทหารที่บาดเจ็บ จนกระทั่งจัดการงานในกองทัพเสร็จสิ้น นางจึงหาช่องกำแพงช่องหนึ่งนั่งพิงกำแพง จับผ้าคลุมกันลมมาห่มกาย สองมือกอดเข่า เตรียมจะหลับสักงีบ ไม่นานนักหลินถงก็เข้าสู่ห้วงฝัน เวลานี้นางย่อมมิทราบว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองนางอยู่เงียบๆ
พลทหารกับทหารเกณฑ์ที่เฝ้ากำแพงด่านแบ่งออกเป็นสองผลัด ผลัดนี้ลงไปพักแล้ว พลทหารกับทหารเกณฑ์ที่ต้องเปลี่ยนมาเฝ้ากำแพงก็เริ่มเข้าประจำตำแหน่งป้องกัน ทหารเกณฑ์ชาวไต้โจวได้รับการฝึกฝนมาตามมาตรฐานของกองทัพ พวกเขาแบ่งออกเป็นกลุ่ม ดำเนินทุกสิ่งไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ทว่ามีอยู่กลุ่มหนึ่งในนั้นกลับผิดแผกจากกลุ่มอื่น การเคลื่อนไหวของพวกเขาเห็นชัดว่าหละหลวมอยู่เล็กน้อย พวกเขาคือกลุ่มชาวบ้านจากอำเภอรอบนอกที่ถูกกองทัพไต้โจวเกณฑ์มา
ทุกปียามเผ่าคนเถื่อนรุกราน กองทัพไต้โจวก็จะเกณฑ์ชายหนุ่มจากอำเภอรอบนอกมาเข้าร่วมกองทัพ แล้วควบคุมไว้ด้วยกฎทหาร ประการที่หนึ่งเพราะกังวลว่าในหมู่พวกเขาจะมีสายลับของพวกคนเถื่อน ประการที่สองเพื่อเพิ่มกำลังรบ คนเหล่านี้จะถูกจัดเป็นหมู่เป็นกอง แล้วให้ทหารเก่าของไต้โจวเป็นหัวหน้า หากเป็นผู้กล้าเปี่ยมพละกำลังจะได้ขึ้นไปบนกำแพงด่านต่อต้านศัตรู หากอ่อนแอไร้ความสามารถก็อยู่ด้านล่างรับหน้าที่หาบน้ำขนน้ำ ทหารเก่าของไต้โจวที่รับผิดชอบสั่งการจับตาดูพวกเขาล้วนเป็นทหารกล้าแห่งสนามรบที่มีประสบการณ์พรั่งพร้อม ดังนั้นทหารเกณฑ์จากข้างนอกเหล่านี้ขี้ขลาดรักตัวกลัวตายได้ แต่จะมิมีโอกาสทำหน้าที่สายลับเป็นอันขาด
ทหารเกณฑ์ราวหนึ่งร้อยคนกองนี้คือพวกที่ค่อนข้างกล้าหาญและมีความสามารถในหมู่ชายหนุ่มที่ถูกเกณฑ์มาหนนี้ แม้ต้องเข้าร่วมทัพสังหารศัตรูก็มิกลัวเกรง ดังนั้นจึงถูกส่งมาบนกำแพงด่านเพื่อช่วยทหารและประชาชนไต้โจวป้องกันเมือง ผู้ที่รับผิดชอบสั่งการกองพลร้อยคนกองนี้มีนามว่าหลินหย่วนฉง ปีนี้อายุสามสิบเก้าปี เป็นลูกหลานตระกูลสายรองของตระกูลหลินแห่งไต้โจว หากนับรุ่นอาวุโส เขาถือเป็นอาของหลินปี้กับหลินถง แม้ชั้นเชิงกลศึกจะดาษๆ แต่มีชีวิตรอดผ่านศึกอันโหดร้ายมาได้หลายปี เป็นนายทหารยศล่างที่โดดเด่น อีกทั้งเป็นคนละเอียดยิ่งนัก เหมาะกับการสั่งการและจับตาดูคนจากอำเภอด้านนอกที่ค่อนข้างกล้าหาญเหล่านี้ที่สุด
เขาบัญชาการให้ทุกคนเริ่มวางแนวป้องกัน แม้จะสับสนอยู่บ้าง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่รับได้ อีกอย่างคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนฝีมือดี ประเดี๋ยวเดียวก็ทำประโยชน์ให้การรักษาด่านได้ไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างพอใจ สายตาของหลินหย่วนฉงเลื่อนไปจับบนร่างชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายหนุ่มนามหวังต้าหลางคนนี้เป็นคนที่เขาสนใจที่สุด เขาเป็นคนแกล้วกล้า แม้มิอาจเทียบเคียงทหารกล้าแห่งไต้โจว แต่ยามรบราฆ่าฟันเขาทั้งมิหวาดกลัวเกินไปและมิมีอาการคึกคะนองบุ่มบ่าม แม้การกระทำหลายวันนี้ของเขาน่าชมเชย แต่ลางสังหรณ์จากการผ่านสนามรบมานานปีทำให้หลินหย่วนฉงรู้สึกว่าตัวเขามีกลิ่นอายอันตรายอยู่จางๆ ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้คนผู้นี้ เขามักรู้สึกถึงความกดดันบางประการ
เขาลอบสังเกตชายหนุ่มผู้นี้อย่างมิเผยร่องรอย ความจริงเมื่อพินิจอย่างละเอียดแล้วเครื่องหน้าของชายหนุ่มผู้นี้ก็ดูหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา แต่มิรู้เหตุไฉนพอผสมรวมกันแล้วกลับกลายเป็นธรรมดาสามัญ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความรู้สึกเศร้าหมองหดหู่บางประการแฝงอยู่ ใบหน้าขาวผ่อง ดูคล้ายบัณฑิตอ่อนแออยู่บ้าง แต่ผิวที่แลดูหยาบหนากับร่างกายอันปราดเปรียวมีพละกำลังก็ทำให้ผู้อื่นทราบว่าเขามิใช่คนอ่อนแอ แม้ยามปกติจะมิโดดเด่น แต่ยามทำศึกมักจะทำงานได้ยอดเยี่ยม ทำตามคำสั่งทหาร ช่วยเหลือสหายร่วมรบ ปราบทหารกล้าของกองทัพศัตรูได้สำเร็จ นี่ล้วนเป็นจุดเด่นของผู้ที่ใช้ชีวิตในค่ายทหารมาก่อน เวลาปกติเขาเงียบขรึม แต่ยามสำคัญคำพูดแต่ละประโยคเสียงดังสนั่นสะเทือนหู ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ชายหนุ่มผู้อ้างว่ามายังด่านเยี่ยนเหมินเพื่อตามหาญาติเมื่อหลายวันก่อนจนถูกเกณฑ์มาดูมีม่านหมอกแห่งความลึกลับปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
แน่นอนว่าหลินหย่วนฉงมิมีทางเชื่อว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นสายลับของพวกคนเถื่อน ดูจากความโหดหี้ยมยามเขาสังหารศัตรูกับความสุขุมนิ่งสงบยามช่วยตนสั่งการพรรคพวก หากพวกคนเถื่อนมิโง่เง่ากันเสียหมดก็คงมิมีวันส่งคนเช่นนี้มาเป็นสายลับ แต่คงให้เขานำกองทัพบุกตีด่านเสียมากกว่า หลินหย่วนฉงมองชายหนุ่มกอดดาบยาว หลับตานั่งพักเอาแรงอยู่ตรงนั้น นี่ก็เป็นจุดที่ไม่สอดพ้องกับตัวตนของเขาอีกอย่างหนึ่ง มีเพียงนักรบที่ผ่านสมรภูมิมานานเท่านั้นจึงจะรู้จักถนอมกำลังกายให้ได้มากที่สุดในช่วงที่ปล่อยให้พักผ่อนตามใจ มิเหมือนพวกลูกเจี๊ยบอีกหลายคนที่เอาแต่กังวลชะเง้อมองไปด้านนอก เป็นกังวลว่าศัตรูจะบุกมาโจมตี
หลินหย่วนฉงรั้งสายตากลับมา มิว่าตัวตนของคนผู้นี้จะมีลับลมคมในประการใด ขอเพียงเขามิใช่สายลับของพวกคนเถื่อน สิ่งอื่นล้วนมิสำคัญ เรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้ รอให้ขับไล่พวกคนเถื่อนออกไปได้แล้วจึงจะมีเวลาเหลือมาขบคิด