บทที่ 706-3 ความจริงในตอนนั้น (3)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 706 ความจริงในตอนนั้น (3)

ใต้เท้ารองจิ่งถอนหายใจ “ให้ข้าเริ่มต้นยังไงดี อันที่จริงแล้วเดิมราชาม้าเฮยเฟิงไม่ได้เป็นม้าของตระกูลหัน แต่มันเป็นม้าศึกที่ตระกูลเซวียนหยวนเลี้ยงดูมากับมือ”

“เคยได้ยินมาเหมือนกัน” กู้เจียวเอ่ย “หลังจากที่ตระกูลเซวียนหยวนล่มสลาย อำนาจทหารจึงถูกแบ่งกระจายเป็นสี่ส่วน ตระกูลหันได้ม้าศึกจำนวนมากไปครอบครอง”

“เจ้ารู้เรื่องประวัติศาสตร์ของแคว้นเยี่ยนเป็นอย่างดีเลยนะ”

กู้เจียวไม่ปฏิเสธ

ใต้เท้ารองจิ่งแค่ออกปากชมตามมารยาทและไม่ได้มองว่าอีกฝ่ายจะคิดมากอะไร เขาจึงเล่าต่อ “ในบรรดาม้าศึกทั้งหมด มีเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้นที่จะได้ถูกเลือกให้เป็นราชาม้าเฮยเฟิง ตามหลักแล้ว ม้าที่ได้รับเลือกมักจะเป็นตัวผู้ มีแค่ราชาม้าเฮยเฟิงตัวเดียวที่เป็นม้าตัวเมีย ราชาม้าเฮยเฟิงเกือบจะไม่มีชีวิตรอดเพราะแม่ของมันอยู่ในภาวะคลอดยาก ภายหลังมันได้รับการดูแลอย่างดีโดยพี่เขยของข้าและนายพลเซวียนหยวน หรือกล่าวได้ว่าเจ้าม้าตัวนี้นายพลเซวียนหยวนบ่มเพาะเลี้ยงดูมันเองกับมือของเขา”

กู้เจียวถามต่อ “พี่เขยของท่านก็คือ…”

“พี่เขยของข้าก็คือพี่เขยของพี่ใหญ่ข้า! เซวียนหยวนเฮ่า!”

กู้เจียว “ไม่ใช่ว่าเขาเปลี่ยนชื่อเป็นเซวียนหยวนเฉิงแล้วหรอกรึ”

ใต้เท้ารองจิ่งถึงกับสะดุ้ง “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

“ก็แค่เคยได้ยินน่ะ” กู้เจียวตอบ

เดี๋ยวนะ คนรอบตัวของเจ้าเป็นคนแบบไหนกันถึงได้รู้เรื่องของตระกูลเซวียนหยวนลึกขนาดนี้ ไม่กลัวถูกทางการจับเอารึ

ใต้เท้ารองจิ่งกลอกตาบนใส่หนึ่งที ก่อนจะเอ่ยต่อ “จะว่าไปแล้ว ราชาม้าเฮยเฟิงกับยินยินก็อายุไล่เลี่ยกันเลยนะ”

“ยินยินรึ” กู้เจียวพึมพำ พลางนึก เป็นชื่อที่คุ้นหูราวกับเคยได้ยินจากในความฝัน

ใต้เท้าจิ่งไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร จึงมองว่ากู้เจียวแค่ถามเฉยๆ เขาจึงอธิบายให้ฟัง “ยินยินคือบุตรสาวของพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ เกิดปีเดียวกันกับราชาม้าเฮยเฟิง ตอนที่เกิดเรื่องกับตระกูลเซวียนหยวน พวกเขามีอายุได้แค่สองขวบ ตระกูลหันได้รับชัยชนะในศึกใหญ่ ฝ่าบาทจึงยกราชาม้าเฮยเฟิงให้กับตระกูลหัน เฮ้อ นี่ก็ผ่านมาสิบห้าปีแล้ว”

แปลว่าวันนี้ราชาม้าเฮยเฟิงกลับไปหาเจ้าของของมันรึ

มันยังคงรอคอยเจ้าของของมันกลับมาอยู่งั้นหรือ

กู้เจียวนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนตัดสินใจถามพวกเขาตรงๆ “ตระกูลเซวียนหยวนก่อกบฏจริงหรือ”

เอ่ยจบ บรรยากาศทั้งห้องก็เงียบสงัด

ใต้เท้ารองจิ่งได้แต่ยืนตัวแข็งไม่กล้าตอบ

ขณะที่อันกั๋วกงพยายามใช้แรงทั้งหมดที่มีจุ่มนิ่วลงไปในถ้วยชาและพยายามเขียนคำขึ้นมา

เมื่อเห็นคำว่า ‘ใช่’ น่าแปลกที่กู้เจียวไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจอย่างใด

เขายังอยากเขียนต่อ แต่ไม่มีแรงเหลือแล้ว

ใต้เท้ารองจิ่งมองผู้เป็นพี่ที่กำลังตัวสั่นราวกับของเข้าจึงรีบเอ่ยเตือนด้วยความเป็นห่วง “ไม่ต้องเขียนแล้วพี่ใหญ่ เดี๋ยวข้าจะเล่าให้เขาฟังเอง!”

พวกเขาเจอกู้เจียวเพียงไม่กี่ครั้ง ตามหลักแล้วพวกเขาไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่ระวังตัวกับเด็กคนนี้เลย

“ใช่แล้ว ตระกูลเซวียนหยวนก่อกบฏขึ้นจริงๆ แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่มีทางเลือกและถูกบีบบังคับ จึงลงเอยแบบนั้น คนที่อยู่เบื้องหลังโศกนาฏกรรมครั้งนี้คือพวกคนในตำหนักกั๋วซือ!”

“พวกกั๋วซือทำอะไรไว้รึ” กู้เจียวถาม

เขาตอบกลับด้วยแววตาที่เย็นชา “ก็เจ้ากั๋วซือจอมไร้สาระนั่นบอกกับตระกูลเซวียนหยวนว่าจะมีคนในตระกูลมีดวงของดาวจื่อเวยหรือดาวเหนือ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของคนที่จะได้ขึ้นมาเป็นจักรพรรดิ โชคชะตาบ่งบอกชัดเจนว่าตระกูลเซวียนหยวนมีจิตวิญญาณของจักรพรรดิ ฮ่องเต้องค์ใดฟังแล้วจะรู้สึกสบายใจได้อย่างไรเล่า เพื่อพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะก่อกบฏ ตระกูลเซวียนหยวนจึงเสนอที่จะส่งมอบอำนาจทางทหารให้”

“ทว่าหลังจากส่งมอบได้ไม่นานก็เกิดเรื่องขึ้นที่ชายแดน แคว้นจิ้นกับแคว้นเหลียนร่วมมือกันบุกโจมตีชายแดนแคว้นเยี่ยน ตอนแรกฮ่องเต้ไม่คิดจะใช้กองทัพของตระกูลเซวียนหยวน และเป็นผลทำให้พวกเขาประสบความพ่ายแพ้หลายครั้งติดต่อกัน ขวัญกำลังใจของราษฎรลดลง ขวัญกำลังใจของกองทัพไม่มั่นคง จนในที่สุดก็ทรงยอมขอความช่วยเหลือจากตระกูลเซวียนหยวนอีกครั้ง”

“จากนั้นนายพลเซวียนหยวนและลูกชายคนโตก็ได้เป็นผู้นำทัพ เริ่มจากโจมตีกองทัพของแคว้นจิ้นก่อน จนพวกเขายึดเมืองกลับคืนมาในคราวเดียว ต่อมาน้องชายคนรองของนายพลเซวียนหยวนและลูกของเขาได้นำกองทหารเข้าล้อมและปราบปรามกองทัพเหลียง พวกเขาอดทนและไม่พ่ายแพ้ต่อสถานการณ์ จนในที่สุด พันธมิตรระหว่างแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียงก็เป็นอันสิ้นสุดลง ราษฎรที่ชายแดนพากันหลั่งน้ำตาด้วยความซาบซึ้ง เมื่อตระกูลซวนหยวนถอนทหารออกไป ผู้คนทั้งเมืองก็เดินขบวนแห่ส่งพวกเขากลับเมืองหลวงกันยกใหญ่”

“เรื่องนี้ทำให้ฝ่าบาทรู้ซึ้งถึงพลังของตระกูลเซวียนหยวน รวมถึงพวกเขาสามาถเข้าไปอยู่ในใจของราษฎรได้ ถึงแม้ตระกูลเซวียนหยวนจะมอบอำนาจทางทหารให้แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าดวงจักรพรรดิของตระกูลเซวียนหยวนจะไม่มีวันเกิดขึ้น นอกเสียจาก…”

“นอกเสียจาก กำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก” กู้เจียวพูดเสริม

ใต้เท้ารองจิ่งพยักหน้า “แล้วก็เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่วันที่ตระกูลเซวียนหยวนเดินทางกลับมาถึงเมืองหลวงพร้อมกับชัยชนะ ฝ่าบาทก็ทรงเอาแต่คิดหาวิธีกำจัดพวกเขา ทว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำเช่นนั้น นายพลเซวียนหยวนเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของแคว้นมาเป็นเวลาสองรัชศก ที่แคว้นเยี่ยนได้ขึ้นเป็นแคว้นระดับบนนั้นต้องยกความดีความชอบให้กับนายพลเซวียนหยวน แน่นอนว่าตำหนักกั๋วซือก็เช่นกัน แล้วมีหรือที่พวกศัตรูจะยอมเห็นแคว้นเยี่ยนทะยานขึ้นไปต่อหน้าต่อตา ทหารของตระกูลเซวียนหยวนต้องเสียสละเลือดเนื้อไปเท่าไหร่กับการสู้รบถึงจะกำราบคนพวกนั้นได้ ถ้าแคว้นเยียนไม่ได้ตระกูลเซวียนหยวนคอยปกป้องดินแดน ป่านนี้แคว้นเยี่ยนได้ล่มสลายไปนานแล้ว”

“แน่นอนว่าฝ่าบาทเองก็ทรงเกรงกลัวความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลเซวียนหยวน แต่เขาไม่อาจกำจัดพวกเขาอย่างซึ่งๆ หน้าได้ ฝ่าบาทยังคงต้องพึ่งพาพวกเขา ฝ่าบาทจึงคิดอุบายเพื่อทำให้ตระกูลเซวียนหยวนกลายเป็นอัมพาตก่อน ต่อมาฮองเฮาเซวียนหยวนได้ให้กำเนิดองค์หญิง ฝ่าบาทแต่งตั้งให้พระองค์ขึ้นเป็นองค์หญิงทันที ทรงรักและเอ็นดูองค์หญิงด้วยความเอาใจใส่อย่างยิ่ง และทรงตอบสนองต่อคำร้องขอของตระกูลเซวียนหยวนมาตลอดสิบปี จุดประสงค์ของฝ่าบาทคือต้องการที่จะปลูกฝังให้ตระกูลเซวียนหยวนมีนิสัยเอาแต่ใจและหยิ่งยโส ทว่าเป็นเรื่องยากเพราะพวกเขามีกฎเกณฑ์ของตระกูลที่เข้มงวด วิธีของฝ่าบาทจึงทำอะไรพวกเขาไม่ได้เลย”

กู้เจียวถามต่อ “ความผิดเล็กๆ น้อยๆ คงไม่สามารถเอาผิดพวกเขาได้หรอก”

“อะแฮ่ม จริงอย่างที่เจ้าว่า” ใต้เท้ารองจิ่งเอ่ย

กู้เจียวร้องอ๋อ “ดังนั้นฮ่องเต้ไม่ได้จงใจจะให้พวกเขาก่อเรื่องอะไร เพียงแต่ทรงอยากแสดงให้ราษฎรเห็นว่าทรงปฏิบัติดีกับตระกูลเซวียนหยวนมากเพียงใด หากวันใดวันหนึ่ง พวกเขาเกิดแปรพักตร์ขึ้นมา ราษฎรจะเป็นผู้ลงโทษพวกเขาเอง”

ใต้เท้าจิ่งยกมือเกาศีรษะ “อ้อ แบบนี้เองรึ ที่เจ้าพูดก็ฟังดูมีเหตุผล”

กู้เจียวเข้าประเด็นต่อ “แล้วเหตุใดตระกูลเซวียนหยวนถึงถูกบังคับให้ก่อกบฏรึ”

ใต้เท้ารองจิ่งนิ่งเงียบไปชั่วขณะ กำหมัดจนแน่นพร้อมกับเอ่ยด้วยสีหน้าที่สับสน “ข้าลืมรายละเอียดไปแล้ว จำได้เพียงว่าเกี่ยวข้องกับองค์หญิง พี่ใหญ่ของข้ารู้เรื่องนี้ แต่เจ้าก็รู้ว่าพี่ใหญ่ไม่สามารถพูดได้”

“คนที่อยากให้ตระกูลเซวียนหยวนล่มสลายคงมีไม่น้อยเลยสินะ” กู้เจียวเอ่ยถาม

ใต้เท้ารองจิ่งพยักหน้า “ไม่แปลกที่จะมีคนอิจฉาตาร้อนบทบาทและอำนาจของพวกเขารวมถึงความสามารถในการสู้รบอันเป็นที่ประจักษ์ ตระกูลเซวียนหยวนไม่เคยสยบให้ผู้ใด มีแต่ทั้งโลกที่ต้องยอมสยบให้พวกเขา”

ฟ้าฝนดูไม่มีทีท่าจะหยุดตก เสียงเม็ดฝนที่กระทบหลังคายังคงดังสนั่นต่อเนื่อง

ใต้เท้ารองจิ่งเล่าเรื่องเสียจนเริ่มหิว จึงออกไปที่ครัวเพื่อหาอะไรกิน

ในห้องเหลือแค่กู้เจียวและกั๋วกงสองคน

กู้เจียวยกเก้าอี้เข้ามานั่งใกล้ๆ อันกั๋วกงแล้วบรรจงนวดฝ่ามือของเขาเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ

“ท่านไม่กลัวข้าจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นรึ” กู้เจียวถาม

อันกั๋วกงเคาะนิ้วลงบนที่วางมือสองที

สองทีแปลว่าไม่

กู้เจียวเข้าใจความหมายที่เขาสื่อ

ระหว่างที่นวดมือให้เขา กู้เจียวก็ถามต่อ “เหตุใดท่านถึงไม่กลัวล่ะ พวกเราเจอกันแค่ไม่กี่ครั้งเอง และข้าก็ไม่ใช่คนดีอะไร”

อันกั๋วกงเคาะนิ้วสามที

ไม่ ใช่ หรอก

กู้เจียวเลิกคิ้วขึ้น “แล้วท่านจะรู้ได้อย่างไร”

เขาเคาะตอบห้าครั้ง

ข้า รู้ ว่า ไม่ ใช่

ครั้งแรกที่เขาเจอกู้เจียวตอนที่นางแอบเข้ามาหลบในห้อง เขาก็รู้สึกได้ในทันทีถึงความเป็นมิตรของอีกฝ่าย

เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรถึงคิดแบบนั้น

รู้สึกราวกับได้มีคนสำคัญกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง