ภาค 1-2 บทที่ 95

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เป็นจดหมายของที่บ้านรึ

บรรดาสหายปัดความสงสัยลงไป

“มีจดหมายของที่บ้านอีกแล้วหรือ” พวกเขายิ้มเอ่ยขึ้น “หลายวันนี้เจ้าได้จดหมายจากที่บ้านไม่ขาด เจ้าก็ไม่ได้ออกจากบ้านครั้งแรกแล้ว ท่านลุงท่านป้าไม่วางใจเช่นนี้ได้อย่างไร?”

“เพราะปีหน้าจะสอบใหญ่แล้ว…” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ยขึ้น พลางรับจดหมายมา “ข้าจะเก่งกล้าสามารถสักเท่าไร ในสายตาบิดามารดาก็ยังเป็นลูกโง่ๆ คนหนึ่งเท่านั้น”

บรรดาสหายหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้นมา

หนิวอวิ๋นเจาผู้เก่งกล้าสามารถคนนี้กลับไม่ถือตัว เก่งนักในการผูกสัมพันธ์กับคน ไม่เสียทีเป็นลูกหลานที่เกิดมาในตระกูลหนิงแห่งเป่ยหลิว

พวกเขาไม่จี้ถามต่อคุยเล่นกลับมายังที่พัก หนิงอวิ๋นเจากลับมาถึงห้องของตน นั่งลงด้านหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ

บนโต๊ะเขียนหนังสือ หนังสือกองอยู่เต็มจนพู่กันหมึกกระดาษที่ฝนหมึกเบียดอยู่ได้หวุดหวิด ยังมีตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งรวมถึงโคมไฟลวดลายดวงหนึ่ง

เด็กรับใช้ยกน้ำชามา

หนิงอวิ๋นเจาไม่ทันสนใจดื่มชา หยิบจดหมายออกมากวาดทีหนึ่งสิบบรรทัดก่อน สีหน้าประหลาดใจแล้วเคร่งเครียดท้ายที่สุดก็หัวเราะตามจดหมาย

หลังจากนั้นถึงพรูลมหายใจเบาๆ ยกน้ำชาขึ้นดื่มหลายคำ อ่านอย่างตั้งใจทีละตัวๆ ใหม่อีกครั้ง

“คุณชาย ข้าถามมาแล้ว” เสี่ยวติงยืนอยู่ที่ด้านหน้าโต๊ะเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ที่เล่าลือกันในหยางเฉิงล้วนเป็นครั้งนั้นฟางเต๋อซางช่วยจักรพรรดิได้ราชโองการมา ตระกูงฟางไม่เกิดเรื่อง ทั้งหมดเหมือนเดิม ก็ไม่รู้ว่านี่จริงหรือไม่จริง”

หนิงอวิ๋นเจาวางจดหมายลงแล้วยิ้ม

“ราชโองการเป็นของจริง เช่นนั้นเรื่องอื่นย่อมเป็นจริงด้วย” เขาว่า สีหน้าทอดถอนใจอยู่บ้าง มือค้ำผิวโต๊ะ “คิดไม่ถึงตระกูลฟางถึงกับมีราชโองการ”

เด็กรับใช้พยักหน้า

“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ” เขาเอ่ย “ตอนแรกหากพวกนางหยิบราชโองการออกมา บังคับตระกูลเราให้ยอมรับสัญญาหมั้นระหว่างท่านกับคุณหนูจวินจะทำอย่างไร?”

หนิงอวิ๋นเจาเงยหน้ามองเขา

เด็กรับใช้กระดากอาย

เช่นนั้นย่อมจัดการง่ายแล้ว

เช่นนั้นคุณชายก็ไม่ต้องเป็นเช่นตอนนี้ห่วงหาแต่ไม่อาจถามโจ่งแจ้ง ได้แต่เกาะหน้าต่างปีนประตูสืบถามข่าวคราว

“ตระกูลพวกเขามีราชโองการ สื่อถึงเรื่องมากมายที่คิดไม่ถึง”

หนิงอวิ๋นเจามองเด็กรับใช้ อดทนเอ่ยขึ้น

“เรื่องคิดไม่ถึงเหล่านี้เกี่ยวพันด้านต่างๆ มากมาย เจ้าอย่าคิดเพียงความรักชายหญิงเรื่องเล็กน้อยของหนุ่มสาว ตระกูลฟางเป็นตระกูลที่จะหยิบราชโองการมากระทำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”

เด็กรับใช้ขานรับ ตั้งใจคิด

“แต่ว่า” เขายื่นมือเกาศรีษะ สีหน้าสงสัยไม่คลาย “เพราะไปเก็บสมุนไพรไม่บอกคนที่บ้านค่ำมืดไม่กลับที่พักก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนะขอรับ”

เปรียบเทียบกันแล้ว งานแต่งงานกับคุณชายของตนกลับสำคัญกว่าอยู่หน่อยกระมัง

“นางไม่กลับบ้านคืนหนึ่งเป็นเรื่องไม่กลับบ้านคืนหนึ่งหรือ?” หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น ตบโต๊ะ “เวลานี้ นางอยู่ดีๆ หายตัวไป เป็นเรื่องใหญ่มาก!”

เด็กรับใช้รีบพยักหน้า

สำหรับคุณชายแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ไหมเล่า

“ขอรับ ขอรับ คุณหนูจวินหายไป เป็นเรื่องใหญ่” เขาเอ่ยหลายครั้ง

หนิงอวิ๋นเจาย่อมมองออกว่าเด็กรับใช้คิดอะไร เขาจะอธิบายก็รู้สึกว่าคนโง่พูดไปย่อมไม่กระจ่าง ยังคงอย่าเสียเวลาดีกว่า

“แต่คุณชาย ถ้าอย่างนั้นตอนนี้นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายขอรับ?” เด็กรับใช้เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังอีกครั้ง “ตระกูลฟางเคยช่วยอดีตฮ่องเต้ไว้จริงหรือ?”

หนิงอวิ๋นเจามองจดหมายบนโต๊ะ กุมถ้วยชา

“ลาภเคราะห์เคียงคู่ เรื่องดีอาจเป็นเรื่องร้าย เรื่องร้ายก็อาจเป็นเรื่องดี” เขาว่า “ส่วนที่ตระกูลฟางเคยช่วยอดีตฮ่องเต้นี่เป็นเรื่องดีมาก กับตระกูลฟางก็ดี กับอดีตฮ่องเต้ก็ดี”

ดี?

“ถ้าเช่นนั้นสรุปแล้วเป็นจริงหรือหลอกล่ะขอรับ?” เด็กรับใช้เอ่ยถามไม่เข้าใจ

หนิงอวิ๋นเจายิ้ม วางถ้วยชาลง

“ในเมื่อเป็นเรื่องดี ใยต้องถกจริงลวง” เขาเอยขึ้น

เด็กรับใช้ฟังไม่เข้าใจจึงไม่คิดต่ออีกเสียเลย

“คุณชาย จะบอกว่าคุณหนูจวินพวกนางจะไม่มีเรื่องแล้วสินะขอรับ?” เขาเอ่ยถามขึ้นตรงๆ

หนิงอวิ๋นเจาครุ่นคิดครู่หนึ่ง

“ไม่เป็นไร” เขาว่า “เรื่องนี้ตอนนี้คลี่คลายเช่นนี้สำหรับทุกคนล้วนค่อนข้างดีแล้ว”

อย่างน้อยตอนนี้ก็ค่อนข้างดี

เด็กรับใช้โล่งอกยื่นมือเช็ดเหงื่อ

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี ถ้าเช่นนั้นก็ดีแล้ว…” เขาเอ่ยขึ้น

หนิงอวิ๋นเจามองเขาแล้วยิ้ม

“เอาล่ะ ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าก็รีบไปพักผ่อนเถิด” เขาว่า

“คุณชายก็พักผ่อนดีๆ นะขอรับ” เด็กรับใช้เอ่ยขึ้น “คุณชายวางใจ คนหยางเฉิงด้านนั้นข้าจัดการอย่างเหมาะสมที่สุด มีข่าวคราวอันใดจะส่งมาทันที”

ไม่รอหนิงอวิ๋นเจาเอ่ยวาจาอีก วิ่งเริงร่าออกไปแล้ว

หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะอับจนปัญญาอยู่บ้าง

“คนหนอ มักจะคิดมากเสมอ” เขาเอ่ยขึ้น สายตาจับอยู่บนโคมไฟลวดลายที่หัวโต๊ะ “นายน้อยตระกูลฟางถึงกับรักษาหายดีแล้ว”

เขาคิดครู่หนึ่ง พบว่านึกหน้าตาของเด็กสาวคนนั้นไม่ออกแล้ว

เหมือนกับครั้งยืนถือโคมไฟอยู่ท่ามกลางราตรีมืดสลัวในเทศกาลโคมไฟ แล้วเหมือนกับครั้งยื่นมือส่งสาลี่ในจวนตระกูลฟางยามเที่ยงคืน มักจะกั้นขวางด้วยราตรีสลัวมองไม่ชัดอยู่เสมอ

ไม่ว่าความมั่งคั่งของตระกูลฟางนี้จะคับฟ้าหรือไม่ ไม่ว่าพูดอย่างไร มีสามีที่แข็งแรงคนหนึ่งอย่างไรก็เป็นเรื่องดี

เช่นนี้ค่อนข้างดี

ตอนนี้นางควรเบิกบานใจมากสินะ?

จะเขียนจดหมายแสดงความยินดีสักหน่อยหรือไม่?

ความคิดนี้แล่นผ่านไป หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้ว

ไร้สาเหตุไร้ที่มาเขียนจดหมายทำอะไร ก็ไม่ใช่คุ้นเคยกันนัก

แล้วยังเป็นเวลานี้ อย่าให้ถูกนางมองว่าตนหวั่นเกรงราชโองการของตระกูลฟางจะไม่ดีต่อตระกูลหนิง ตนเองใจคอคับแคบเลย

หนิงอวิ๋นเจายื่นมือไปจุดโคมไฟ

ราชโองการหรือ

หากตอนนั้นตระกูลฟางหยิบราชโองการมาบังคับให้ยอมรับสัญญาหมั้นจริงๆ ตอนนี้จะเป็นอย่างไร?

เขาพลันผุดความคิดนี้ขึ้นมา

จากนั้นเขาก็กระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง ยกน้ำชาดื่มคำหนึ่ง น้ำชาเย็นแล้ว นี่ทำให้เขายิ้มขึ้นมา ส่ายศีรษะ เก็บจดหมายขึ้น หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาก้มหน้าก้มตาตั้งใจศึกษา

นอกหน้าต่างเขียวครึ้มร่มเย็น จักจั่นร้องระงม

ณ หยางเฉิงที่ห่างไปกว่าพันลี้ ฟางเฉิงอวี่หลังตระเวนสอดส่องรอบหนึ่งก็กลับมาถึงในบ้าน

นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางล้วนเฝ้าคอยอย่างเป็นห่วง คนหนึ่งสั่งให้โบกพัด คนหนึ่งสั่งให้ยกน้ำชาเย็น

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มรับความห่วงใย ความเอาอกเอาใจของพวกนาง

“ไม่มีปัญหาแล้ว ตอนนี้ทั้งเมืองล้วนกำลังแสดงเล่าอยู่” เขาว่า “ข่าวส่งมาจากร้านแลกเงินต่างๆ ในซานซีว่าสถานที่อื่นก็แพร่ออกไปแล้ว ยังมีในเขตเหอหนานเส้นทางการย้ายเมืองหลวงของอดีตฮ่องเต้ก็เตรียมเรื่องเล่าเก่าแก่ของท้องถิ่นไว้แล้ว”

ได้ยินเขาพูดถึงตรงนี้ นายหญิงใหญ่ฟางก็ยิ้ม

“ท่านแม่ ท่านไม่ทราบ เฉิงอวี่ยังจัดการเตรียมบ่อน้ำแห่งหนึ่งไว้ยังสถานที่เก่านั่น เล่าว่าตอนอดีตฮ่องเต้ได้ท่านปู่แบกหนีภัยสะดุดล้ม เตะตาน้ำออกมา ต่อมาถูกชาวบ้านล้อมทำเป็นบ่อน้ำ” นางหัวเราะเอ่ยขึ้น

“แต่งเรื่องไหมเล่า อย่างไรก็ต้องแต่งให้รอบคอบ” ฟางเฉิงอวี่พูด แล้วมองนายหญิงผู้เฒ่าฟางอีก “ท่านย่า ข้าจัดการเช่นนี้ใช้ได้หรือไม่?”

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองเขาดวงตาเต็มไปด้วยความคลายใจ

“เจ้าจัดการดีมาก รอบคอบนัก” นางว่า ท่าทางทอดถอนใจอยู่บ้าง “ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำได้ดีเช่นนี้”

ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม

“ก็ไม่ได้ดีมากนัก ข้าอ่านหนังสือมามาก” เขาว่า “บนหนังสือเขียนเรื่องราวเช่นนี้ไว้มากมาย ข้าจึงครูพักลักจำมา”

ครูพักลักจำรึ

แต่งเรื่อง ร่ำเรียนง่ายๆ ได้ สังเกตคำพูดมองสีหน้าอย่างไร บริหารร้านแลกเงินอย่างไร ลงมือสังหารคนอย่างไร ย่อมไม่ได้ร่ำเรียนง่ายดายเช่นนั้น

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองฟางเฉิงอวี่ในดวงตาอดไม่ได้ขัดเคือง

ตั้งแต่หลังฟางเฉิงอวี่กลับมา นางรู้สึกเหมือนในใจวางภาระหนักอึ้งลง แวบเดียวก็มีที่พึ่ง

ส่วนเด็กคนนี้ก็ไม่ได้ทำให้นางผิดหวัง ไม่เคยเลย แม้สายไปสิบปี เขายังคงเหมือนเช่นจินตนาการที่นางวาดหวังไว้ ยอดเยี่ยมเช่นนั้น

นายหญิงใหญ่ฟางอยู่ด้านข้างอดไม่ไหวเช็ดน้ำตา

ประหลาดจริง ตอนนี้ทุกสิ่งล้วนดีแล้วชัดๆ นางกลับยิ่งชอบร้องไห้แล้ว

“ท่านย่า ท่านแม่ ตอนนี้ดูท่าเรื่องนี้คงไม่มีปัญหาแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยบอก

นายหญิงผู้เฒ่าฟางพยักหน้า

“ใช่แล้ว ทางการก็ดี องครักษ์เสื้อแพรก็ดีล้วนไม่มีความเคลื่อนไหว หรือก็คือพวกเขาก็ยอมรับคำอธิบายเช่นนี้ด้วย” นางเอ่ยขึ้น “ด่านนี้นับว่าผ่านไปแล้ว”

“ถ้าเช่นนั้นต่อไปเล่า?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยถาม

เรื่องราชโองการนี่นางก็รู้เป็นครั้งแรกเช่นกัน ส่วนนายหญิงผู้เฒ่าฟางก็บอกกับนางและเฉิงอวี่อย่างตรงไปตรงมาว่าที่มาที่แท้จริงของราชโองการไม่อาจพูดได้ อย่างน้อยก็ตอนนี้ไม่อาจพูด

ไม่รู้ อย่างไรก็ทำให้ใจคนวิตกอยู่เสมอ

“ต่อไปพวกเราก็บริหารร้านแลกเงินให้ดี ทำหน้าที่ให้ดีก็พอแล้ว” ฟางเฉิงอวี่รับช่วงเอ่ยต่อ

ไม่รู้ สำหรับเขาแล้วดูเหมือนแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเป็นปัญหา

“ข้าป่วยนานปีขนาดนั้น นอกจากเหตุใดล้มป่วยที่ทำให้ข้ากลัดกลุ้ม เรื่องอื่นใดล้วนปลงตกแล้ว” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยขึ้น “ตอนนี้ปัญหาเพียงอย่างเดียวของข้าแก้ออกแล้วย่อมไม่มีปัญหาแล้ว”

นายหญิงผู้เฒ่าฟางพยักหน้าทั้งโล่งอกทั้งปลง

“ไม่รู้ว่าพี่สาวตอนนี้เดินทางไปถึงที่ไหนแล้ว” ฟางเฉิงอวี่พลันเอ่ยออกมาอีก

หากเขาไม่รู้ พวกนางก็ยิ่งไม่รู้แล้ว

นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางสบตากัน

“ครั้งก่อนข่าวบอกว่าผ่านเหอหนานแล้ว” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้นสีหน้ากังวลอีกครั้ง “เด็กคนนี้เดินทางเร็วขนาดนี้ หรือทั้งวันทั้งคืนไม่พัก?”

“พี่สาวจัดการเองต้องไม่เป็นไรแน่” ฟางเฉิงอวี่ยิ้มเอ่ยขึ้น “ท่านย่ากับท่านแม่ไม่ต้องกังวล”

ที่จริง ประโยคนี้เจ้าพูดกับตนเองจะเหมาะกว่ากระมัง

นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางมองเขา บนหน้าของเด็กหนุ่มรอยยิ้มดั่งดวงตะวันร้อนระอุ

“เฉิงอวี่ เรื่องราชโองการตกลงจัดการเรียบร้อยแล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่งข้าต้องบอกเจ้า” นายหญิงผู้เฒ่าฟางพลันเอ่ยขึ้น

นายหญิงใหญ่ฟางสะท้านทีหนึ่ง

“ท่านแม่!” นางหลุดปากร้อง “อย่า…”

อย่าพูด อย่างน้อยตอนนี้ก็อย่าเพิ่งพูด จะแข็งใจพูดได้อย่างไร มองดูรอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหนุ่มคนนี้ดีใจขนาดนี้ จะทำลายได้อย่างไร

นายหญิงผู้เฒ่าฟางชะงักไปครู่หนึ่ง มองฟางเฉิงอวี่

“เฉิงอวี่ การแต่งงานของเจ้ากับพี่สาวของเจ้าเป็นเรื่องหลอก” นางยังคงเอ่ยปากพูด

รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางเฉิงอวี่แข็งค้าง