เล่ม 1 ตอนที่ 217-1 เตียงพัง สีหน้า

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 217-1 เตียงพัง สีหน้า

หลังจากเปลี่ยนผ้าม่านในตำหนักบรรทมเสร็จเรียบร้อย เฉียวเวยกับหรงมามาก็ออกจากจวนองค์หญิง เดิมทีหรงมามาคิดจะพาเฉียวเวยเดินเล่นไปรอบๆ จวนเพื่อให้คุ้นเคยกับสถานที่สักหน่อย แต่ก็จนใจที่หิมะตกหนักเกินไป ทั้งสองจึงต้องกลับเรือนกันไปก่อน

ชั่วขณะที่เฉียวเวยก้าวข้ามธรณีประตูบ้านชิงเหลียนเข้าไปนั้น ตงเหมยก็ปรี่เข้ามาหานางราวกับลมหอบทันที นางหายใจหอบจนควันสีขาวลอยออกมาจากปาก “ฮูหยินน้อย ท่านเพิ่งกลับมาหรือ”

เฉียวเวยมองท่าทางหายใจไม่ทันของนางแล้วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “มีเรื่องอะไรถึงได้ร้อนรนเพียงนี้ ท่านย่าให้เจ้ามาหรือ”

ตงเหมยเป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งของเรือนลั่วเหมย ยามปกติจะคอยรับใช้อยู่ข้างกายจีเหล่าฮูหยิน

ตงเหมยพอหายเหนื่อยแล้วถึงได้เดินเข้าเรือนไปพร้อมกับเฉียวเวย พอก้าวเข้าระเบียงทางเดินนางก็หุบร่มแล้วถามว่า “เหล่าฮูหยินให้บ่าวมาเจ้าค่ะ จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูยังไม่เข้านอนกระมัง”

“เจี่ยเอ๋อร์! ใส่เสื้อผ้าก่อนเจ้าค่ะ! ท่านอย่าวิ่งล่อนจ้อนอย่างนี้สิเจ้าคะ! เดี๋ยวจะป่วยเสีย!”

เป็นเสียงร้อนรนของฉานเอ๋อร์

“เจ้าก็มาจับข้าสิ!”

เป็นเสียงซุกซนของวั่งซู

จากนั้นก็ตามด้วยเสียงล้มของโต๊ะเก้าอี้กับเสียงถาดผลไม้หล่น

ฟังจากเสียงก็คงยังไม่นอนหรอก

ตงเหมยแอบมองจากช่องตรงประตูก็เห็นวั่งซูพาเอาตัวขาวจั๊วะเนื้อแน่นของตนวิ่งไปรอบห้อง ฉานเอ๋อร์ที่วิ่งไล่นาง ชนนู่นชนนี่ไปไม่รู้เท่าไรแต่ทำอย่างไรก็ตามไม่ทัน ไม่รู้เลยจริงๆ ว่าเหตุใดเด็กตัวเล็กอวบอ้วนอย่างนางถึงได้วิ่งไวเพียงนี้

สุดท้ายยังต้องเป็นเฉียวเวยที่เดินเข้าไปคว้าเจ้าตัวน้อยขึ้นมา เอาไปวางลงบนเตียงแล้วจับใส่เสื้อผ้า

วั่งซูคล้ายปลาที่ถูกโยนลงบนเขียง ปล่อยให้คนตีหัวขอดเกล็ดตามสบาย ดูน่าสงสารยิ่งนัก “ท่านแม่ ท่านทำเช่นนี้ข้าเสียใจมากจริงๆ นะ”

ตงเหมยหัวเราะพรืด

วั่งซูได้ยินเลยหันไปมอง พอเห็นเป็นตงเหมยสีหน้านางเลยยิ่งดูเสียใจหนักขึ้น “ท่านแม่ ท่านทำให้ข้าเสียหน้าต่อหน้าคนอื่นอีกด้วย ข้าเสียใจมากๆ จริงๆ นะ”

พอได้ยินเช่นนี้ ไม่เพียงแค่ตงเหมย แม้แต่ฉานเอ๋อร์กับหญิงรับใช้ที่อยู่แถวนั้นอีกหลายคนก็พากันหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

เฉียวเวยหยิกแก้มน้อยๆ ของบุตรสาว “ตัวแค่นี้รู้จักเรื่องหน้าตาแล้วหรือ เจ้าเด็กแสบ!” เฉียวเวยหันไปมองบุตรชายที่นั่งเงียบๆ อ่านหนังสืออยู่อีกด้านหนึ่งก็คิดในใจว่า อย่างไรบุตรชายก็เรียบร้อยกว่า ไม่มีเรื่องให้ปวดหัว จากนั้นก็หันไปถามตงเหมยว่า “เหล่าฮูหยินมีเรื่องอะไรถึงเรียกหาจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูหรือ”

ตงเหมยตอบว่า “หลิวเกอร์ร้องไห้หนักมากเจ้าค่ะ เหล่าฮูหยินพยายามคิดทุกทางแล้ว จึงอยากให้บ่าวมารับจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูไปพักด้วยคืนหนึ่งเจ้าค่ะ” ระหว่างที่พูดก็หันไปมองจิ่งอวิ๋นที่กำลังมองมาทางนาง แล้วกดเสียงเบาลง “เด็กคนนั้นเป็นอย่างไร ฮูหยินน้อยก็ทราบใช่ไหมเจ้าคะ”

เฉียวเวยพยักหน้า สวินหลันถูกขับออกจากบ้านตระกูลจี คนที่น่าสงสารที่สุดคือหนิวเกอร์นี่เอง เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เสียดายก็แค่มีมารดาเช่นนั้น การที่ไม่สามารถมีครอบครัวที่สมบูรณ์ให้กับเขาได้ถือเป็นความผิดของจีซั่งชิงกับสวินหลัน เขาก็เป็นแค่เด็กที่น่าสงสารคนหนึ่งเท่านั้น

เฉียวเวยใส่เสื้อผ้าให้เด็กทั้งสอง หลังจากคุยกับเด็กทั้งสองอยู่พักหนึ่ง พวกเขาก็ยอมไปอย่างนับว่าให้ความร่วมมือ

แต่ที่ไม่มีใครคาดถึงก็คือ ยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วยามเด็กทั้งสองก็กลับมาแล้ว ด้านหลังยังมีหลิวเกอร์ที่ถูกลมหนาวพัดจนตัวสั่นตามมาด้วย

“นี่เกิดอะไรขึ้นหรือ” เฉียวเวยถาม

ตงเหมยยิ้มแหยๆ “เตียง…เตียงหักเจ้าค่ะ”

เฉียวเวยหรี่ตาแล้วหันไปมองวั่งซู

วั่งซูเอาสองมือไพล่หลัง สองตาเหลือบมองขึ้นฟ้า “ไม่ใช่ข้านะ”

นางก็แค่กระโดดหนึ่งที กระโดดสองที กระโดดสามที เตียงก็หักลงมาเอง

เตียงที่เรือนลั่วเหมยหักลงมาเสียแล้ว หลิวเกอร์ตกใจอย่างหนัก ส่วนจิ่งอวิ๋นกลับสงบนิ่งมาก เพราะถึงอย่างไรเรื่องเช่นนี้ก็ไม่ได้เพิ่งเคยเกิดขึ้นครั้งแรก จิตใจของเขาฝึกปรือมาพร้อมรับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว

ชั่วขณะที่เตียงพังลงมา เขาตกลงไปในกองไม้อย่างสงบนิ่ง แล้วลุกขึ้นมาจากกองไม้อย่างสงบนิ่งเช่นกัน เขาปัดแขนเสื้อกับฝุ่นบนศีรษะออกเบาๆ อย่างสง่างาม ก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทีสบายๆ

หลิวเกอร์ไม่เคยประสบกับเรื่องน่าหวาดกลัวเช่นนี้มาก่อนจึงตกใจจนร้องไห้จ้า จีเหล่าฮูหยินปลอบอย่างไรก็ไม่ได้ผล สุดท้ายเป็นสองพี่น้องที่รับปากจะให้เขานอนกอดเจ้าไป๋ทั้งสองหนึ่งคืน เขาถึงได้ยอมหยุดร้องไห้

เขามาถึงบ้านชิงเหลียนก็กอดเจ้าไป๋สองตัวแล้วผล็อยหลับไปด้วยความง่วงงุน

เด็กทั้งสองนอนหลับกันไปในห้อง

มือซ้ายของหลิวเกอร์กอดเจ้าไป๋ตัวหนึ่ง ส่วนมือขวาก็กอดเจ้าไป๋อีกตัวหนึ่ง ท่าทางดูพอใจยิ่งนัก

หลิวเกอร์กับจิ่งอวิ๋นนอนเตียงหนึ่ง วั่งซูนอนเตียงหนึ่ง

หลังจากดับตะเกียงแล้ว วั่งซูก็มาลากพี่ชายกลับเข้าไปซุกในผ้าห่มผืนเดียวกับตนอย่างเก่า

เฉียวเวยนอนมาทั้งวัน พอมาตื่นเอาเวลานี้จึงไม่มีความง่วงงุนอยู่อีก นางนั่งพลิกดูสมุดบัญชีที่เถ้าแก่หรงให้คนส่งมาอยู่ในห้อง การสร้างโรงงานไข่ดำเนินไปได้ด้วยดี รับสมัครคนงานกลุ่มแรกได้แล้ว แต่เป็นเพราะการเพาะเลี้ยงยังอยู่ในระยะแรก ไข่เป็ดและไข่นกกระทาจึงยังต้องหาซื้อจากตลาด เถ้าแก่หรงจึงต้องออกตามหาวัตถุดิบไปทั่วทุกที่

การที่ไข่เยี่ยวม้าขายดีเช่นนี้ นับว่าเกินคาดของทุกคนไปมาก ทางหัวหน้าชุยก็มาสั่งเพิ่มไปอีกห้าพันฟอง นี่ไม่ใช่เพื่อส่งเข้าวังหรือเอาไปกินส่วนตัว แต่อยากเอาส่งไปหนานฉู่ ได้ยินว่าฮ่องเต้เป็นคนออกปากด้วยตนเอง

เฉียวเวยไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งไข่เยี่ยวม้าจะได้ขึ้นมาเชิดหน้าชูตา ถึงขั้นได้เป็นสินค้าขึ้นชื่อของต้าเหลียง ห่ออยู่ในกระดาษสีทอง คลุมด้วยผ้าไหม ราวกับเป็นอัญมณีของมีค่า เคลื่อนออกจากแคว้นต้าเหลียงมุ่งหน้าไปสู่แคว้นหนานฉู่

ช่างเป็นเกียรติต่อบรรดาไข่ทั้งหลายยิ่งนัก

ไข่ที่สั่งไว้ห้าพันฟองนี้โรงงานบนภูเขาคงทำกันไม่ทัน เฉียวเวยหยิบพู่กันมาเขียนจดหมายตอบกลับเถ้าแก่หรง ให้เขาส่งคนงานที่รับมาใหม่ขึ้นเขาไปช่วยผลิตสินค้าเหล่านี้ก่อน จะได้ทำความคุ้นเคยกับขั้นตอนการผลิตไปด้วย

พอเขียนจดหมายเสร็จ เฉียวเวยก็นั่งอยู่ในห้องต่ออีกพักหนึ่ง

ฟ้ามืดลงเรื่อยๆ แต่ยังไม่เห็นจีหมิงซิวกลับมาเสียที

เฉียวเวยมองนาฬิกาทรายที่อยู่บนกำแพง ยามไฮ่เข้าไปแล้ว ตามปกติเวลานี้เขาอาบน้ำเสร็จแล้วด้วยซ้ำ

หรือว่าจะ…ยังโกรธไม่หาย?

เรือนสี่ประสาน จีอู๋ซวงตรวจชีพจรให้จีหมิงซิวเสร็จ สีหน้าดูหนักอึ้งเล็กน้อย

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่แม้แต่จะกัดลูกสาลี่ต่อ เอาแต่จ้องมองจีอู๋ซวง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เจ้าอธิบายมาหน่อยสิ!”

จีอู๋ซวงนิ่งเงียบไปพักหนึ่งแล้วขมวดคิ้ว “ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ กำลังภายในในตัวนายน้อยถูกควบคุมไว้ได้ดีมากมาโดยตลอด หากไม่ทำอะไรก็จะไม่กำเริบขึ้นมา บางทีอาจเพราะช่วงก่อนหน้านี้อาการกำเริบถี่เกินไป เวลานี้เลยเริ่มจะกดเอาไว้ไม่อยู่อีก”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่เข้าใจ “เรื่องนี้เกี่ยวกับจำนวนครั้งที่อาการกำเริบด้วยหรือ”

จีอู๋ซวงหันมามองเขา “กำลังภายในส่วนนี้จะเพิ่มความรุนแรงขึ้นทุกครั้งที่อาการกำเริบ นี่ก็เป็นเหตุผลที่เหตุใดมันถึงยากจะควบคุมขึ้นเรื่อยๆ ครั้งแรกที่นายน้อยอาการกำเริบ แค่วันเดียวก็ฟื้นคืนสติเต็มที่แล้ว หลังจากนั้นก็เป็นสองวันสามวัน หลังจากนั้นอีกก็ห้าวัน เจ็ดวัน ครั้งก่อนสลบไปนานเท่าไร ครึ่งเดือน”

“ไม่ใช่สิ ครั้งก่อนไม่ใช่แค่คืนเดียวหรอกหรือ” เรื่องนี้เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจำได้แม่นยำนัก สองครั้งหลังที่นายน้อยอาการกำเริบ ครั้งหนึ่งเป็นตอนที่ประลองฝีมือกับเจ้าสำนักสวี่ของซู่ซินจงแล้วถูกพลังสะท้อนกลับอย่างรุนแรง ครั้งนั้นเขาเกือบจะเอาชีวิตตัวเองไปทิ้ง ต้องใช้เลือดเพียงพอนของเสี่ยวไป๋ ถึงได้รอดชีวิตมาได้ อีกครั้งหนึ่งเป็นตอนตกหน้าผาของหมู่บ้านซีหนิว เพื่อคุ้มครองเฉียวเจิง นายน้อยจึงต้องใช้กำลังภายใน จากนั้นยังถูกไล่สังหารอีก สรุปแล้วสถานการณ์ย่ำแย่ยิ่งนัก แต่แค่คืนเดียวก็ฟื้นขึ้นมาแล้วเช่นกัน เลือดเพียงพอนของเสี่ยวไป๋ ช่างให้ผลที่น่าตกใจยิ่งนัก

จีอู๋ซวงบอกว่า “ข้าหมายถึงก่อนที่จะใช้เลือดเพียงพอนหรอก อีกอย่างเลือดเพียงพอนก็จะใช่ว่าจะใช้ได้ไม่มีวันหมด มันสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของนายน้อยได้ก็จริง แต่กลับไม่อาจรักษาไปถึงต้นเหตุได้ ไม่รู้ว่าเพราะวิธีการของข้าไม่ถูกหรือไม่”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยนิ่งเงียบไป

จีอู๋ซวงหันไปถามจีหมิงซิว “นายน้อย เวลานี้ท่านต้องใช้ยากี่เม็ดถึงจะกดอาการไว้ได้หรือ”

จีหมิงซิวตอบ “หนึ่งเม็ด”

จีอู๋ซวงเอ่ยเหน็บแนมตัวเองว่า “ก่อนหน้านี้แค่ครึ่งเม็ดก็พอแล้ว หลังจากนี้ไปปริมาณยาที่ท่านต้องใช้จะมากขึ้นเรื่อยๆ” เรื่องปริมาณยาก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่ไม่รู้ว่าอาการจะกำเริบขึ้นมาอีกทีเมื่อไรต่างหากที่น่ากลัวที่สุด อย่างวันนี้ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำอะไร อยู่ดีๆ ก็ยังถูกกำลังภายในสะท้อนกลับนั้น ไม่มีทางมีแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวแน่

จีหมิงซิวก็คิดถึงจุดนี้เช่นกัน สายตาเขาจึงมืดครึ้มลงเล็กน้อย

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยพูดกับจีอู๋ซวงว่า “เจ้าไม่ได้เป็นราชันพิษหรือ เหตุใดอาการแค่นี้ถึงรักษาไม่หาย”

“เจ้าก็รู้หรือว่าข้าเป็นราชันพิษน่ะ” เขาเชี่ยวชาญและช่ำชองด้านการใช้พิษแก้พิษ วิชาการแพทย์ของเขาเมื่อเทียบกับวิชาการใช้พิษแล้ว อย่างไรก็ยังด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย จีอู๋ซวงหันไปมองจีหมิงซิวอีกครั้ง “นายน้อย ท่านอยากลองพิจารณา…”

จีหมิงซิวตอบอื้อคำหนึ่ง “ข้าอยาก”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยงุนงงไปหมด เจ้าสองคนกำลังพูดถึงอะไรน่ะ

จีหมิงซิว “ไปที่หอหลิงจือ”

พวกเขาทั้งสามนั่งรถม้าไปยังหอหลิงจือที่อยู่ใกล้จวนอัครเสนาบดี

จูเอ๋อร์ไปเด็ดสมุนไพรกลับมาแล้ว เวลานี้กำลังนั่งส่องกระจกอยู่ที่เรือนหลังด้วยท่าทีงดงาม กระจกนี้มันไปฉวยมาจากของจีหว่าน วันหนึ่งจีหว่านต้องส่องกระจกเป็นเจ็ดแปดสิบรอบ จูเอ๋อร์ไม่ได้หลงใหลในตนเองปานนั้น ส่องแค่ห้าหกสิบรอบก็พอแล้ว

เฉียวเจิงจัดระเบียบสมุนไพรอยู่ในห้องเก็บของ

“นายท่าน ท่านเขยมาขอรับ!” บ่าวในร้านเข้ามารายงาน

เฉียวเจิงวางสมุนไพรลงแล้วออกไปพบจีหมิงซิวที่โถงใหญ่ ด้านหลังจีหมิงซิวมีคนตามมาด้วยสองคน หนึ่งในนั้นคือคนที่เคยกรอกยาพิษใส่ปากบุตรสาวตนอย่างจีอู๋ซวง สีหน้าเฉียวเจิงดูไม่ดีขึ้นมาทันที “เขามาทำไม”

จีอู๋ซวงส่งเสียงหึในใจ เจ้าคิดว่าข้าอยากมาหรือไร สถานที่ผุๆ พังๆ เช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะนายน้อยต้องมารักษาตัว ต่อให้เชิญข้าก็ไม่มา!

จีหมิงซิวหันไปหาจีอู๋ซวง “เจ้าไปรอข้าที่รถม้าก่อน”

จีอู๋ซวงกวาดตามองเฉียวเจิงด้วยสายตาเรียบเย็นทีหนึ่งก่อนจะสะบัดแขนเสื้อขึ้นรถม้าไป

เฉียวเจิงเชิญอีกสองคนเข้าไปในห้อง บ่าวในร้านต้มน้ำชามากาหนึ่ง ยกเข้ามาให้เสร็จก็ออกไปอย่างรู้งาน ซ้ำยังไม่ลืมปิดประตูให้คนในห้องอีกด้วย

“ดึกป่านนี้แล้วยังไม่กลับบ้านอีกแต่มาหาข้าถึงที่หอหลิงจือมีธุระอะไรหรือ ไม่กลัวว่าบุตรสาวข้าจะเปล่าเปลี่ยวอยู่ในห้องหรือไร ที่ข้าให้ลูกสาวแต่งงานกับเจ้าไม่ใช่เพราะอยากให้นางเดียวดายอยู่ในห้องโล่งๆ หรอกนะ” เฉียวเจิงพึมพำอย่างไม่สบอารมณ์

จีหมิงซิวตอบตามตรงว่า “ที่ข้ามาหาท่านพ่อก็เพราะอยากขอให้ท่านช่วยตรวจอาการป่วยของข้าให้สักหน่อย”

“อาการป่วยของเจ้า?” สายตาของเฉียวเจิงดูอึ้งไปเล็กน้อย คิดดูแล้วก็เห็นว่ามีเรื่องเช่นนั้นอยู่จริง จึงตอบว่า “ยื่นมือมา”

จีหมิงซิวยื่นข้อมือตนออกไป

เฉียวเจิงใช้สามนิ้ววางลงบนจุดชีพจรของลูกเขยเพื่อตรวจชีพจรให้เขาด้วยความตั้งใจ

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจับจ้องตอนเฉียวเจิงตรวจชีพจรให้จีหมิงซิวไม่วางตา สีหน้าดูเคร่งเครียดเล็กน้อย ช่วยไม่ได้ เขาเป็นห่วงความเป็นความตายของจีหมิงซิวมากเกินไป เขาไม่อยากและไม่ยอมให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ กับจีหมิงซิวแม้สักน้อย

เฉียวเจิงขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด “ช่วงนี้อาการเจ้ากำเริบหรือ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถึงกับอึ้งไป เรื่องนี้ก็ดูออกหรือ

จีหมิงซิวพยักหน้า “ขอรับ เมื่อยามอู่อาการกำเริบขึ้นมาครั้งหนึ่ง กินยากดเอาไว้แล้ว”

เฉียวเจิงปล่อยข้อมือเขาออกแล้วหยิบเข็มทองที่วางเรียงกันอยู่ออกมาจากกล่องยา เขาดึงเข็มเล่มหนึ่งขึ้นมาจิ้มลงไปที่จุดชีพจรหนึ่งตรงข้อมือของเขา “เจ็บหรือไม่”

จีหมิงซิวส่ายหน้า

เฉียวเจิงหยิบเข็มทองอีกเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วกวักมือเรียกเยี่ยนเฟยเจวี๋ย

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยชี้ตนเอง “ข้า?”

เฉียวเจิงหันไปส่งสายตา

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยดึงแขนเสื้อขึ้น ยื่นแขนไปให้อีกฝ่ายอย่างไม่สู้จะเต็มใจ

เฉียวเจิงดึงแขนเยี่ยนเฟยเจวี๋ยไป แล้วทิ่มเข็มลงไปยังจุดชีพจรเดียวกัน

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเจ็บจนร้องจ๊ากๆ ออกมา!

เฉียวเจิงอธิบายว่า “นี่คือจุดฉื่อเจ๋อ หรือมีอีกชื่อว่าโถงภูตผี เป็นจุดสำคัญไว้รักษาอาการจำพวกไอ เหนื่อยหอบ ไอเป็นเลือด เจ็บคอ เจ็บแขนเจ็บข้อศอก คนทั่วไปตรงจุดชีพจรนี้จะไม่ค่อยรู้สึกเจ็บเท่าไรนัก แต่ในร่างกายของคนที่ฝึกวิทยายุทธ์จะมีกำลังภายในเคลื่อนอยู่ ในช่วงที่ไม่ทันได้ตั้งตัวหากทิ่มเข้าไปที่จุดนี้จะไปกระตุ้นการไหลเวียนของกำลังภายในในร่างกาย ความรู้สึกเจ็บจึงจะเด่นชัดเป็นพิเศษ”

“เหตุใดนายน้อยถึงไม่เจ็บ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม

เฉียวเจิงตอบว่า “เพราะกำลังภายในของเขาถูกกดเอาไว้ ไม่วิ่งพล่านไปทั่วร่าง ย่อมไม่รู้สึกเจ็บ”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยขนลุกซู่ “แล้วท่านยังจะฝังเข็มลงไปอีก?”

เฉียวเจิงเอาเข็มที่ใช้แล้ววางลงในถาดเหล็ก “อย่างไรข้าต้องรู้ก่อนว่ากดเอาไว้ได้ดีหรือไม่ จำเป็นต้องเพิ่มความรุนแรงของยาหรือไม่”

จีหมิงซิวดึงมือตนเองกลับแล้วปล่อยแขนเสื้อลง “ท่านพ่อพอมีวิธีรักษาหรือไม่”

เฉียวเจิงไม่ตอบแต่ถามกลับว่า “เจ้าได้อาการบาดเจ็บนี้มาได้อย่างไร”

จีหมิงซิวชะงักไปก่อนจะบอกว่า “ตอนท่านแม่ตั้งท้อง นางถูกคนฟาดฝ่ามือใส่ทีหนึ่ง อาการของข้าเลยได้มาเมื่อตอนอยู่ในครรภ์ท่านแม่”

เฉียวเจิงถามว่า “หลังจากแม่เจ้าถูกกระบวนท่าเข้าไป นางเคยมีอาการอะไรให้เห็นหรือไม่”

จีหมิงซิวยังเป็นเพียงเด็กน้อยในครรภ์ ย่อมไม่รู้อะไรมากเพียงนั้น เพียงแค่พอโตขึ้น เขาสืบเรื่องเมื่อในครานั้น จึงพอได้รู้อาการของมารดาจากปากหมอหลวงมาบ้าง เขาบอกว่า “ช่วงแรกนางหนาวสั่นไปทั้งตัว ตอนหลังก็ร้อนรุ่มประหนึ่งนั่งอยู่ในเตาเผา ในฤดูหนาวที่หนาวจัด นางใส่เพียงเสื้อชั้นบางตัวเดียวก็เหงื่อออกแล้ว”

“อาการเช่นนี้เป็นอยู่นานเท่าไร” เฉียวเจิงถามต่อ

จีหมิงซิวตอบว่า “เป็นอยู่หนึ่งคืน หลังจากนางแท้งบุตรอาการเหล่านี้ก็หายไป เพียงแต่สุขภาพนางก็กลายเป็นไม่สู้ดีนัก”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยจับต้นชนปลายไม่ถูก “แท้งบุตรแล้วเหตุใดถึงมีเจ้าได้”

“ท้องที่สาม” จีหมิงซิวตอบ

“แท้งท้องที่สองหรือ” เยี่ยนเฟยเจวี๋ยถาม

จีหมิงซิวไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้

เฉียวเจิงพึมพำว่า “นั่นคงเป็นเพราะกำลังภายในถูกทารกในครรภ์ดึงดูดไป ร่างกายของทารกอีกคนอ่อนแอเกินไป ทนรับไม่ไหวจึงแท้ง”

“อื้อ” จีหมิงซิวตอบเรียบๆ คำหนึ่ง

“หากกล่าวเช่นนี้…” เฉียวเจิงขมวดคิ้วมุ่นพลางลูบคาง “เจ้ารอก่อน ข้าจะไปหาของอย่างหนึ่ง!”

เฉียวเจิงไปค้นหาของในหีบกับตู้หนังสือของตนอยู่พักหนึ่งแต่หาไม่เจอ จึงไปเปิดหาในหีบสมบัติของจูเอ๋อร์ต่อ ก่อนจะค้นเอาสมุดพับเป็นประกายสีทองอร่ามออกมาได้เล่มหนึ่ง

จีหมิงซิวหยุดมองที่สมุดพับเล่มนั้นแล้วรู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด หากเขาจำไม่ผิดดูเหมือนเฉียวเวยก็มีสมุดสีทองหน้าตาประมาณนี้อยู่เล่มหนึ่งเหมือนกัน

เฉียวเจิงพลิกอ่านสมุดเล่มนั้นไปทีละหน้า

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเขย่งปลายเท้าแอบมองอยู่พักหนึ่ง

ตอนเปิดไปถึงกลางเล่ม สายตาเฉียวเจิงก็เป็นประกาย “หาเจอแล้ว! มารดาเจ้าน่าจะถูกฝ่ามือเก้าสุริยันเข้าไป”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยงงงวยยิ่งนัก ฝ่ามือเก้าสุริยันคืออะไร ไม่เคยได้ยินชื่อวิชานี้มาก่อนเลย!

สายตาจีหมิงซิวสั่นไหวเล็กน้อย “ท่านพ่อพอทราบหรือไม่ว่าฝ่ามือเก้าสุริยันเป็นวิชาของพรรคใดสำนักใด”

เฉียวเจิงผายมือออก “ในนี้ไม่ได้เขียนเอาไว้ อาการบาดเจ็บภายในร่างกายของเจ้าน่าจะได้รับการรักษาไปประมาณหนึ่งแล้ว เพียงแต่เพื่อรักษาอาการของเจ้า ยอดฝีมือคนหนึ่งได้ใช้พลังวิชาทั้งหมดของเขาไป ยังมีพลังวิชาของเขาตกค้างอยู่ในร่างกายของเจ้า ถึงได้ทำให้อาการของเจ้าเป็นเช่นทุกวันนี้”

เยี่ยนเฟยเจวี๋ยเอ่ยด้วยความสงสัยว่า “นี่ไม่ใช่การหนามยอกเอาหนามบ่งหรือ”

เฉียวเจิงพยักหน้า “นับว่าใช่ แต่สถานการณ์ในเวลานั้นไม่มีทางเลือกอื่น หากไม่ทำเช่นนี้ จีหมิงซิวก็คงไม่รอด”