สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ
นายหญิงสามหนิงโบกพัดดังพรึบพรับ
“ยังจะสละชีวิตช่วยโอรสสวรรค์” นางเอ่ยขึ้น “นี่มันอะไรกับอะไรเล่า”
นายหญิงสี่หนิงนั่งขัดสมาธิบนเตียงเตา แม้ไม่ได้โบกพัด แต่กลับสะบัดผ้าเช็ดหน้า
“แต่งเรื่องส่งเดชช่องโหว่มากมาย” นางว่า “ช่างไร้เหตุผลน่าหัวเราะจริงๆ”
นายหญิงใหญ่หนิงที่นั่งอยู่อีกด้านของโต๊ะเตาสีหน้ายังคงนิ่งสงบ ดวงตาสีหน้ามีความเมตตาหลายส่วน
“ก็กล่าวได้ว่าเป็นเวรกรรมมีจริงคุณพระคุณเจ้าช่วยคนจิตใจดี” นางว่า
“พี่สะใภ้” นายหญิงสามหนิงร้องไม่พอใจ “คนจิตใจดี มีคนจิตใจดีโดยสมบูรณ์อะไรที่ไหน พวกนางดีต่อโอรสสวรรค์ กับพวกเราหาได้มีจิตใจดีอะไร ท่านดูเรื่องที่พวกนางทำสิเรียกว่าอะไร”
“สังหารคนค้นเมือง หวิดจะวางเพลิงอยู่แล้ว” นายหญิงสี่หนิงเอ่ยเสริม “หรือราชโองการของฮ่องเต้เพื่อให้พวกเขาใช้กร่างเช่นนี้หรือ?”
“ไม่ใช่เพื่อหาคนรึ” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เด็กในบ้านหายไป ผู้ใหญ่ยากเลี่ยงร้อนใจ”
“ใช่สิ แค่เด็กอายุสิบห้าคนหนึ่งคืนหนึ่งไม่กลับบ้าน” นายหญิงสี่หนิงเน้นเสียงหนักที่อายุสิบห้าปี “ก็ตีโพยตีพายจนปั่นป่วนทั้งเมือง ค้นเมืองบุกบ้านเหมือนหมาป่าเหมือนเสือ”
“เรื่องเหล่านี้พี่ใหญ่บอกกับพี่รองแล้วไหม? ตระกูลฟางทำเช่นนี้จำเป็นต้องทูลองค์ฮ่องเต้ให้รู้” นายหญิงสามหนิงเอ่ยขึ้น
ตอนที่พวกนางพูดถึงตรงนี้ นายท่านใหญ่ก็เข้ามา หลังร่างหนิงอวิ๋นเยี่ยนก็ตามมาด้วย
หลายเดือนไม่ออกจากบ้าน อยู่ในเรือนทำงานเย็บปักถักร้อยจัดการธุระในบ้าน ทั้งร่างของนางดูแล้วอิ่มเอิบขึ้นมาก
แล้วก็ดูแล้วเบื่อหน่ายนิ่งเฉยไร้ชีวิตชีวาอยู่บ้าง
หลังเข้าประตูก็คำนับมารดากับท่านน้าทั้งสอง สักคำก็ไม่พูดยืนอยู่ด้านข้าง
“เรื่องนี่จะให้น้องรองพูดได้อย่างไร” นายท่านใหญ่หนิงขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น “เรื่องเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องให้น้องรองพูด พวกองครักษ์เสื้อแพรเมืองไท่หยวนย่อมรายงาน”
“ถ้าอย่างนั้นผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ทำไมเบื้องบนเบื้องล่างความเคลื่อนไหวสักนิดก็ไม่มี?” นายหญิงสี่หนิงเอ่ยขึ้น “พวกองครักษ์เสื้อแพรครั้งนี้ทำไมเชื่องราวกับแมวเล่า?”
“นั่นแน่นอนเพราะองค์ฮ่องเต้ใต้ฝ่าพระบาทไม่ให้เคลื่อนไหว” นายท่านใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น “นี่ยังต้องพูดรึ”
นี่แน่นอนว่าไม่ต้องพูด พวกผู้หญิงตระกูลหนิงก็ไม่ได้โง่เดาไม่ออก แต่ยืนยันความจริงเรื่องนี้ก็ยังกรุ่นโกรธไม่คลาย
“ช่างไม่ยุติธรรมจริงๆ” นายหญิงสามหนิงเอ่ยขึ้น สะบัดพัดแค้นนัก
“พวกเจ้าก็ไม่ต้องไปเยาะหยันตระกูลฟางแต่งเรื่องนี้ส่งเดชได้น่าขำ” นายท่านใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น นั่งลงบนเก้าอี้
หนิงอวิ๋นเยี่ยนรินชายกเข้ามาทันที
นายท่านใหญ่หนิงรับมาดื่มคำหนึ่ง
“เรื่องนี้ให้ชาวบ้านฟัง ย่อมเหมาะกับรสนิยมของพวกเขา ประหลาดพิสดาร” เขาเอ่ย มองนายหญิงใหญ่หนิง “กงเกวียนกำเกวียน ทำดีได้ดี มีเทพ มีพระพุทธองค์ มีโอรสสวรรค์ มีอันตราย มีคลี่คลายอันตรายเป็นปลอดภัย มีการทำไม่คาดหวัง มีได้ผลตอบแทนไม่คาดฝัน พลิกผันเหนือคาดถึงดึงดูดคน เรื่องนี้ถึงแพร่ออกไปได้ ส่วนช่องโหว่ไร้เหตุผล ชาวบ้านไม่สนใจหรอก”
“ถ้าอย่างนั้นบรรดานายท่านขุนนางก็ไม่สนใจหรือ?” นายหญิงสามหนิงเอ่ยขึ้น
นายท่านใหญ่หนิงยิ้มแล้ว
“นายท่านขุนนางย่อมสนใจ” เขาว่า “พวกเขาจำต้องสนใจเพียงราชโองการนี้เป็นจริงหรือไม่ก็เพียงพอแล้ว ส่วนราชโองการได้มาอย่างไร ส่วนตัวถามได้ถกได้ แต่จะยังยกข้อสงสัยออกมาอีกหรือ? นั่นเป็นเรื่องตั้งสมัยอดีตฮ่องเต้”
เขาดื่มชาคำหนึ่งอีกครั้ง
“ฝ่าบาทย่อมเป็นบุตรกตัญญู” เขาเอ่ยขึ้นทอดความนัยลึกซึ้ง
องค์ฮ่องเต้ตอนแรกที่ขึ้นครองราชย์ก็เพราะเผชิญวิกฤติได้รับคำสั่ง ชั่วขณะมีคำตำหนิมากมาย ได้ยินว่าถูกบีบบังคับด้วยความกตัญญูต่ออดีตฮ่องเต้ถึงตกลง ไม่เช่นนั้นเวลานั้นคงฆ่าตัวตายแสดงเจตนารมณ์ไปแล้ว
ในเมื่อตระกูลฟางบอกว่านี่เป็นราชโองการที่อดีตองค์ฮ่องแต่ประทานให้ ฮ่องเต้จะสงสัยได้อย่างไร
อีกอย่างก็ผ่านการพิสูจน์แล้ว เป็นลายพระหัตถ์และตราพระราชลัญจกรหยกของอดีตฮ่องเต้จริงๆ ทั้งยังจดบันทึกไว้อีก
นายหญิงสามหนิงกับนายหญิงสี่หนิงสบตากันทีหนึ่ง ไม่พอใจอยู่บ้างแต่ก็ทำอันใดไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้นตระกูลฟางแห่งนี้ก็ไม่มีใครหาเรื่องได้จริงๆ แล้ว…” พวกนางเอ่ยขึ้น
“หาเรื่องได้หรือไม่ได้ย่อมไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น แต่อยู่ที่ตัวพวกเขาเอง” นายท่านใหญ่หนิงลูบเคราเอ่ยขึ้น “กระทำไร้คุณธรรมมากย่อมฝังตนเอง”
“เขตหยางเฉิงปรากฏของสิ่งนี้ได้อย่างไร” นายหญิงสามหนิงเอ่ยขึ้น กรุ่นโกรธยิ่งนัก
ที่สำคัญที่สุดก็คือของสิ่งนี้ยังมีความเกี่ยวโยงกับพวกเขาตระกูลหนิงอยู่บ้าง
“ช่างเขาสิ หากเขามาค้นตระกูลของพวกเรา ข้าจะเปิดประตูให้พวกเขาค้น อยากค้นอย่างไรก็ค้นอย่างนั้น” นายท่านใหญ่หนิงหัวเราะเอยขึ้น “ยึดทรัพย์ตระกูลของพวกเราก็ได้”
พูดพลางเขาก็หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดังขึ้นมา
“คนที่ถือราชโองการกับคนที่เขียนราชโองการ ย่อมไม่เหมือนกัน อย่าได้เสียความเหมาะควรลืมหน้าที่”
เรื่องเก่าราชวงศ์ก่อนๆ ขุนนางชั้นสูงผู้ทำคุณงามความชอบมากเท่าไร ถือป้ายทองอาญาสิทธิ์ ที่สุดกระทำการเหิมเกริมมีสักกี่คนหนีพ้นความตาย
ตระกูลฟางถือราชโองการแก้แค้นล้างความอยุติธรรมเคลื่อนทหารม้าขุนนาง หรือค้นเมืองหนึ่งตามหาคนผู้หนึ่ง แม้กำแหงแต่ก็ทนรับได้อยู่ แต่เรื่องเช่นนี้หนึ่งได้สองได้ไม่อาจมีสาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถือราชโองการก่อเรื่องข้องเกี่ยวกับราชสำนัก ถ้าอย่างนั้นคนที่ออกมาพูดและตั้งคำถามย่อมไม่ใช่แค่เหล่าชาวบ้านแล้ว
นายหญิงใหญ่หนิง นายหญิงสามหนิง นายหญิงสี่หนิงบนหน้าเผยรอยยิ้ม
“แต่ หากพวกเขาไม่ใช่ต้องการค้นตระกูลของพวกเรา แต่ถือราชโองการบีบพวกเราให้ยอมรับสัญญาแต่งงานของตระกูลจวินเล่า?” หนิงอวิ๋นเยี่ยนที่เงียบไม่พูดขึ้นมาตลอดทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้น
เสียงหัวเราะในห้องพลันสลายไป สี่คนสีหน้าเคร่งขรึม
พูดให้ถึงที่สุดแล้วพวกนางทำไมสนใจเรื่องที่ตระกูลฟางมีราชโองการเรื่องนี้เช่นนี้ ที่สนใจเช่นนี้ยังไม่ใช่เพราะความขัดแย้งในอดีตครั้งนั้นรึ
ความขัดแย้งนั่นเดิมทีเพราะยศศักดิ์ฐานะไม่เท่ากัน พวกนางเดิมควรครองความได้เปรียบ
แต่ครั้งหนึ่งสองครั้งดันล้วนเสียท่าพูดไม่ออก หาเรื่องไม่ได้หลบหลีกไป ถอยก้าวหนึ่งทะเลไพศาลท้องนภากว้างใหญ่พวกเราเดินดูท่ากันไปชั่วคราว
ผลปรากฏว่านี่ยังไม่ทันเดินสักกี่ก้าว ยังไม่ทันวางแผนยาวนาน ตระกูลฟางก็ถือราชโองการออกมาอีก
ผู้ที่เปิดร้านแลกเงินคนหนึ่งกลับได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับผู้ที่ทำคุณงามความชอบก่อตั้งประเทศ
นี่ทำให้คนหดหู่จริงๆ
นายท่านใหญ่หนิงลูบเครา ร้องเอ๋ขึ้นมา
“เจ้าว่าตอนแรกที่ท่านพ่อสัญญาแต่งงานกับตระกูลจวิน ใช่เพราะรู้ว่าตระกูลฟางมีราชโองการ ความเป็นมาไม่ธรรมดาหรือไม่?” เขาพลันเอ่ยขึ้น
นายหญิงใหญ่หนิงเอามือตบบนโต๊ะดังปัง
การกระทำนี้ทำให้คนในห้องสะดุ้งโหยงอีกครั้ง
นายหญิงใหญ่หนิงน้อยนักจะบันดาลโทสะเสียกิริยาเข่นนี้
“ท่าน ท่านคิดถึงท่านพ่อเช่นนี้ได้อย่างไร?” นายหญิงใหญ่หนิงโกรธเอ่ยขึ้น “ท่านมองท่านพ่อเป็นคนอย่างไรแล้ว”
ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้
บรรยากาศในห้องคลายลง นายท่านใหญ่หนิงยิ้มเขินอายบ้างแล้ว
พูดถึงนายท่านผู้เฒ่าหนิงเช่นนี้ไม่เคารพจริงๆ เขากระแอมทีหนึ่งแก้อาย
“เรื่องนี้เยี่ยนเยี่ยนไม่ต้องกังวลใจ” เขามองหนิงอวิ๋นเยี่ยนเอ่ยขึ้น “ราชโองการของตระกูลฟาง ก็มีเพียงนายหญิงผู้เฒ่าฟางคนเดียวที่รู้ ตอนแรกคุณหนูจวินคนนั้นก็ไม่รู้ ตอนแรกคุณหนูจวินคนนั้นโวยวายเช่นนั้น นายหญิงผู้เฒ่าฟางก็ไม่ได้หยิบสิ่งนี้ออกมาใช้บีบบังคับ ตอนนี้ก็ยิ่งไม่มีทาง”
“ใช่แล้ว ตอนนี้คุณหนูจวินคนนี้เป็นสะใภ้ตระกูลฟางแล้ว” นายหญิงสามหนิงเอ่ยขึ้น ส่ายพัดสีหน้ารังเกียจ “หากนายน้อยตระกูลฟางคนนั้นตายก็เป็นแม่ม่าย ถือราชโองการมาบีบให้นางได้แต่งงานใหม่มายังตระกูลของพวกเราจะว่าไปก็เป็นเรื่องหน้าไม่อายที่นางทำออกมาได้ แต่นายน้อยตระกูลฟางตอนนี้หายป่วยแล้วไม่ตายแล้ว หรือว่าจะถือราชโองการมาสวมหมวกเขียว[1]ให้ตนเองรึ?”
“พูดส่งเดชอะไรเล่า” นายหญิงใหญ่หนิงถลึงตามองนางตำหนิทีหนึ่งเอ่ยขึ้น “ต่อหน้าเด็กนะ”
นายหญิงสามหนิงมองหนิงอวิ๋นเยี่ยน
“เยี่ยนเยี่ยน ดังนั้นถึงบอกว่าไม่ให้เจ้าออกจากบ้าน ถูกคุณหนูจวินคนนั้นเกาะติด สกปรกตัวเจ้าเอง” นางเอ่ยขึ้น
หนิวอวิ๋นเยี่ยนยิ้มเอ่ยขอบคุณ
“ข้าทราบน้าสะใภ้” นางเอ่ยตอบอย่างเชื่อฟัง แล้วตบหน้าอก ท่าทางเปี่ยมไปด้วยความโล่งใจ “ยังดี พี่ชายหนีพ้นภัยไปได้ ก็บอกแล้ว พี่ชายคนดีเช่นนี้ไม่มีทางโชคร้ายเช่นนี้ได้”
“พูดถึงตรงนี้ ไม่ได้เขียนจดหมายให้อวิ๋นเจานานแล้วสินะ?” นายท่านใหญ่หนิงเอ่ยขึ้น “เจ้าเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถามเขาดูสิ พักนี้อยู่ดีหรือไม่”
“ก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ท่านยังต้องเป็นห่วงเช่นนี้” นายหญิงใหญ่หนิงหัวเราะเอ่ยขึ้นพลางมองหนิงอวิ๋นเยี่ยน “เจ้าเขียนจดหมายสักฉบับให้พี่ชายของเจ้าเถอะ”
หนิงอวิ๋นเยี่ยนขานรับ
พูดถึงคนและเรื่องที่ตระกูลของตนเองควรค่าหยิ่งทะนง บรรยากาศในห้องก็เบิกบานขึ้นมา ตอนนี้เองด้านนอกประตูเสียงฝีเท้ารีบร้อนก็ลอยมา มีหญิงรับใช้คนหนึ่งเลิกม่านขึ้นสีหน้าตระหนกเดินเข้ามา
“นายหญิง นายหญิง เรื่องของตระกูลฟางเริ่มพูดกันอีกแล้ว” นางรีบร้อนเอ่ยขึ้น
เรื่องของตระกูลฟางไม่ใช่พูดอยู่ตลอดหรือ? มีอะไรน่าตกใจ
“น่ารำคาญ” นายหญิงสี่หนิงเอยขึ้นไม่สบอารมณ์ “ฟังจนหูหนอนจะขึ้นแล้ว”
“ไม่ใช่ ครั้งนี้ไม่ได้พูดเรื่องราชโองการของตระกูลฟางแล้ว” หญิงรับใช้รีบพูด “แต่พูดเรื่องของนายหญิงน้อยฟาง”
นายหญิงน้อยฟาง?
คำพูดนี้ทำให้คนในห้องสีหน้าอึ้ง
จวินเจินเจิน? เรื่องของนางมีอะไรให้เล่า?
…
เสียงป้าบดังกังวาน ในโรงน้ำชาซึ่งผู้คนเต็มแน่นเงียบเสียงลง สายตาทั้งหมดมองไปบนเวทีสูง
นักเล่านิทานบนเวทีสูงเปิดพัด
“วันนี้เล่าเรื่องตระกูลฟางเจ้าเก่า เรื่องใหม่เกี่ยวกับคนผู้ชาญฉลาด”
……………………………………….