ดังนั้นจึงไม่มอง และไม่มองเด็ดขาด ไม่งั้นยิ่งดูยิ่งอิจฉา
ทุกคนต่างก็หลบหลีก ให้วารุณีค่อยๆรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลของบรรยากาศเอง
เธอเอนศีรษะไปด้านหลังเล็กน้อย จากนั้นก็หันหน้าไปมองคนรอบข้าง
เมื่อเห็นคนรอบข้าง ต่างก็หันหลังให้กับสถานการณ์ของพวกเขา ใบหน้าแดงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ เพราะเธอเดาได้แล้วว่าที่พวกเขาเป็นเช่นนี้เป็นเพราะอะไร ใบหน้าเผยความอายออกมาเล็กน้อย
แน่นอนว่านัทธีก็รู้เช่นกันว่าพวกเขาคิดอะไร แต่ไม่ได้อายอะไรเหมือนกับวารุณีเช่นนั้น
เขากับภรรยาตัวเองจะกอดๆจูบๆกัน มันเป็นเรื่องที่แสนธรรมดาอยู่แล้ว
คนพวกนี้ทนดูไม่ได้ ใครให้พวกเขาไม่มีภรรยา หรือภรรยาไม่อยู่ข้างกายเองล่ะ
“พอได้แล้วค่ะสามี คุณปล่อยฉันก่อนนะคะ” วารุณีผลักไหล่ชายหนุ่มเบาๆ พูดเตือนชายหนุ่ม
ชายหนุ่มลูบเอวอันอ่อนนุ่มของเธอ “คุณเป็นคนกอดผมก่อนนะ”
วารุณีมองตาขวางใส่เขา “จะพูดพวกนี้ทำไม รีบปล่อยฉันนะคะ ได้ยินไหมคะ”
นัทธีไม่ได้พูดมากอะไรอีก แล้วปล่อยมือจากเอวเธออย่างเชื่อฟัง
เมื่อวารุณีได้รับอิสระ ก็ไอเบาๆ จากนั้นก็ก้มหน้าไปมองลูกทั้งสองคน
อารัณหลับตา พร้อมกับเอามือไปปิดตาไอริณไว้
สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้วารุณเห็นแล้วอดขำไม่ได้
“อารัณ ไอริณ” เธอย่อตัวลง แล้วลูบศีรษะลูกทั้งสองอย่างเบาๆ
หลังจากที่เด็กทั้งรับรู้ถึงสัมผัส อารัณก็ลืมตา และเอามือออกจากตาของไอริณ
เด็กทั้งสองประสานกันกับวารุณี ดวงตาทั้งสองก็เปล่งประกายพร้อมกัน “หม่ามี๊”
“ค่ะลูก” วารุณียิ้มพลางตอบ
เด็กทั้งสองรีบเข้ามาไปในอ้อมกอดเธอทันที
วารุณีกอดพวกเขาไว้แน่น มือทั้งสองข้างจับหลังศีรษะลูกทั้งสองคนไว้ และลูบเบาๆ “ลูกรักทั้งสอง หม่ามี้คิดถึงพวกลูกแทบบ้าแล้ว”
“หม่ามี๊ พวกหนูก็คิดถึงหม่ามี๊” เด็กทั้งสองซบอกเธอพลางพูดอย่างประสานเสียงออกมา
วารุณีจุมพิตหน้าผากลูกทั้งคน จากนั้นก็ปล่อยลูกทั้งสอง “มาค่ะ มาให้หม่ามี๊ดูหน่อย ดูสิว่าลูกๆผอมลงรึเปล่า”
“ไม่ครับ” อารัณส่ายหัว “มีคุณพ่อกับคุณยายส้มดูแลครับ ผมกับไอริณอยู่ดีกินดี ไม่ผอมเลยครับ”
“ใช่ค่ะๆ” ไอริณพยักหน้า
วารุณียิ้มเบาๆ “งั้นก็ดี ลูกๆขอบคุณที่คุณยายส้มดูแลหรือยังเอ่ย”
“ทำแล้วค่ะ” ไอริณรีบตอบทันที “เมื่อไม่กี่วันก่อน คุณยายส้มจัดวันเกิด หนูกันพี่ยังตั้งใจเตรียมของขวัญให้คุณยายส้มโดยเฉพาะเลยค่ะ”
“จริงเหรอคะ งั้นก็เยี่ยมมากเลยค่ะ” วารุณียิ้มพลางพูด
ในเวลานี้เอง นัทธีก็ย่อตัวลง แล้วกอดสามแม่ลูกไว้ “โอเค หยุดเบียดกันอยู่ตรงหน้าประตู พวกเราเข้าข้างในกันก่อนนะ มีอะไร เข้าไปข้างหน้าค่อยพูด”
“โอเคค่ะ เข้าข้างในกันก่อนก็ได้” วารุณีอือตอบกลับอย่างเห็นด้วย หลังจากเขาปล่อยเธอ ก็ลุกขึ้น แล้วจูงมือเด็กทั้งสองคนไว้คนละข้างเดินเข้าไปข้างใน
นัทธีเดินตามอยู่ข้างหลังเธอ
ลีน่าไม่ได้เดินเข้าไป แต่อยู่นอกห้องพัก พูดคุยกับมารุต คิดว่าอีกสักพักถึงจะเข้าไป
เธอรู้ดี ว่าเพื่อนรักกับสามีและลูกเพิ่งจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันในเมื่อกี้ คงต้องเรื่องให้พูดคุยมากมายกันแน่
ดังนั้นเธอจึงยังไม่เข้าไปรบกวนพวกเขาดีกว่า รอให้พวกเขาทั้งครอบครัวรำลึกความหลังกันเสร็จเธอค่อยเข้าไปก็ยังไม่สาย
วารุณีเข้าใจการกระทำของลีน่าดี ดังนั้นเมื่อเห็นว่าลีน่าไม่ได้ตามตัวเองเข้ามา จึงไม่ได้พูดอะไร
ไม่นาน ก็เข้ามาในห้องพัก
หลังจากเข้ามา วารุณีก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
เธอหยุดกะทันหัน หรี่ตาสวยกวาดมองซ้ายขวาอย่างประเมิน พยายามดูว่าภายในห้องพัก มีอะไรที่ผิดปกติไป
อารัณกะพริบตาแล้วถาม “หม่ามี๊ มีอะไรเหรอครับ”
วารุณีพยายามสูดดมกลิ่นจากอากาศ “หม่ามี๊เหมือนได้กลิ่นอะไรแปลกๆ”
“กลิ่นอะไรคะ” ไอริณเอียงศีรษะ พร้อมถามด้วยสีหน้าสงสัย “ไอริณไม่ได้กลิ่นแปลกๆอะไรเลยนะคะ”
“เป็นกลิ่นน้ำนม” วารุณีพูด
นัทธีเลิกคิ้ว
ไม่คิดเลยว่าจมูกเธอจะดีขนาดนี้ ถึงได้กลิ่นแบบนี้ได้
“กลิ่นน้ำนมเหรอคะ” ไอริณนิ่งคิดสักพัก จากนั้นนึกอะไรออก ดวงตาเป็นประกาย “หนูรู้แล้วค่ะ เป็นน้อ……”
เธอยังพูดไม่จบ ริมฝีปากก็โดนมืออารัณปิดเอาไว้
“ยัยบื้อ ห้ามบอกนะ” อารุณพูดกับไอริณด้วยความหงุดหงิดในความหัวอ่อนของเธอ
ไอริณกะพริบตาอย่างรู้ตัวว่าผิด “ฮือๆๆ”
ขอโทษค่ะพี่ชาย เธอไม่ได้ตั้งใจนะ
เมื่อได้ยินหม่ามี๊บอกกลิ่นน้ำนม เลยนึกขึ้นและอยากบอกว่ากลิ่นมันมาจากน้องชาย
โดยไม่ทันได้คิดดีๆก่อน ว่าอันนี้ไม่สามารถบอกได้
วารุณีเห็นการกระทำขอเด็กสองคนแล้ว ก็หรี่ตาอย่างสงสัย “อารัณ พวกลูกมีอะไรปิดบังหม่ามี๊อยู่ใช่ไหม”
“ไม่มีครับๆ” อารัณส่ายหัวปฏิเสธราวกับการสั่นของกลองป๋องแป๋ง พูดอย่างเดียวว่าไม่ได้ปิดบังอะไรไว้
แม้ปากของไอริณจะโดนเขาปิดไว้ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพยักหน้าได้ เพื่อแสดงความเห็นด้วยกับคำพูดของพี่ชาย ว่าไม่ได้ปิดบังอะไรไว้
ยิ่งพวกเขาเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขามีปัญหา
วารุณีรู้ ว่าพวกเขาต้องมีอะไรปิดบังอะไรไว้แน่นอน แต่พวกเขาไม่ยอมพูด เธอจะตามจี้ถามเด็กสองคนตลอดก็คงจะไม่ดี ดังนั้น สายตาของเธอก็หันไปมองผู้ชายที่อยู่ข้างกาย “ คุณสามี พูดมาเถอะ ว่ามันมีเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมตรงนี้ถึงมีกลิ่นน้ำนมแรงแบบนี้ได้ ”
แม้อารัณและไอริณยังดื่มนมอยู่
แต่เด็กสองคนดื่มนมผงทั้งคู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีกลิ่นน้ำนมแรงแบบนี้
กลิ่นน้ำนมแบบนี้ โดยทั่วไปแล้วมันจะเป็นกลิ่นจากนมแพะหรือคน ถึงจะมีได้
นัทธีเห็นท่าทีกำลังครุ่นคิดของวารุณี ก็ยิ้มเบาๆ “คุณเดาสิว่าทำไมตรงนี้ถึงมีได้”
“ฉันจะรู้ได้ยังไง” วารุณีจ้องเขม็งใส่เขา “เมื่อกี้ที่จริงฉันอยากจะบอกว่า ตัวของคุณก็มีกลิ่นนี้ แม้จะจางๆ แต่ก็มีอยู่ แต่ฉันมัวแต่ดีใจที่ได้เจอคุณกับลูกทั้งสอง จึงทำให้ลืมถามคุณ สารภาพความจริงมาเถอะค่ะ ว่าตัวคุณทำไมถึงมีกลิ่นแบบนี้อยู่ ห้ามบอกว่าคุณดื่มนมนะ”
เมื่อนัทธีได้ยินหญิงสาวพูดเช่นนี้ ริมฝีปากกระตุกขึ้น และใบหน้าก็หมองลงทันที
คำพูดนี้มันคืออะไร
อะไรที่เรียกว่าเขากำลังดื่มนมอยู่
นัทธีกุมหน้าผากอย่างหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ จากนั้นก็ตอบ “ในบ้านเรา นอกจากอารัณกับไอริณสองคน คุณคิดสิว่ายังมีใครที่ยังดื่มนมอยู่”
นอกจากอารัณและไอริณ ก็มีแค่เดียว
นั่นก็คือสุขใจ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นัยน์ตาวารุณีก็เบิกกว้างทันที แล้วจ้องนัทธีอย่างอึ้งๆ และอ้าปากค้าง ราวกับคิดอยากพูดอะไร แต่เพราะในใจร้อนรุ่มกับการคาดเดาของตัวเองมากเกินไป จึงไม่อยากจะเชื่อ ดังนั้นจึงพูดอะไรไม่ออก จนสุดท้ายร้อนใจจนตาแดงขึ้นมา
นัทธีกอดเธอเบาๆ พูดปลอบด้วยเสียงอ่อนโยน“ โอเค อย่าเพิ่งร้อนใจ สงบสติอารมณ์ก่อนนะ ค่อยๆพูด”
วารุณีรีบจนแขนขายุ่งไปหมด
จะไม่ให้เธอรีบร้อน แล้วนิ่งได้ยังไงล่ะ
ภายในห้องพักก็มีกลิ่นน้ำนม ตัวนัทธีก็มี
งั้นก็หมายความว่า เป็นไปได้ที่สุขใจจะอยู่ที่นี่
บวกกับท่าทางมีพิรุธของลูกทั้งสองในเมื่อกี้ รวมไปถึงคำพูดที่ยังพูดจบประโยคของไอริณ ดังนั้นเธอแน่ใจล้านเปอร์เซ็นต์ ว่าสุขใจต้องอยู่ที่นี่
เมื่อคิดแล้ว วารุณีก็รีบออกมาจากอ้อมอกของนัทธี เดินตรงไปห้องนอนที่อยู่ภายในห้องพักทันที
ห้องพักนี้มันก็ใหญ่แค่นี้ ก็มีเพียงแค่สองห้อง ในเมื่อสุขใจไม่อยู่ในนี้ งั้นต้องภายในห้องใดห้องหนึ่ง
เมื่อเห็นประตูบานหนึ่งปิดแน่ วารุณีก็เดินไปห้องนั้นทันที
เพราะมีเพียงห้องนั้นปิดอยู่ งั้นก็มีความเป็นไปได้อย่างมาก ว่าสุขใจอยู่ข้างใน
นัทธีเห็นว่าวารุณีกำลังมุ่งไปที่สุขใจอยู่ ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางส่ายหัว
คงจะเป็นเพราะสายใยแห่งแม่ลูกแน่ แม้เธอไม่ได้ถาม แต่เธอก็สัมผัสได้อย่างแม่นยำว่าสุขใจอยู่ตรงนั้น
“คุณพ่อ หม่ามี๊เหมือนรู้แล้ว ว่าน้องมาด้วย” ไอริณกับอารัณเงยหน้ามองนัทธีพร้อมกันแล้วถาม