บทที่ 711-2 โทสะของฮ่องเต้ (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 711 โทสะของฮ่องเต้ (2)

หลังจากผู้อาวุโสทั้งหมดกลับไป หันเย่จึงได้กลับไปยังเรือนตัวเอง

องครักษ์คนสนิทเดินมาหาอย่างระมัดระวัง ก่อนกระซิบรายงาน “ท่านชายใหญ่ ใต้เท้าเส้าคนสนิทข้างกายไท่จื่อมาหา ให้ท่านไปที่จวนไท่จื่อในคืนนี้ขอรับ”

หันเย่หลบเลี่ยงสายตาผู้คนไปยังจวนไท่จื่อ

ดึกดื่นค่อนคืน นึกไม่ถึงว่าไท่จื่อจะยังไม่เข้าบรรทม

“ไท่จื่อ”

ภายในห้องทรงอักษร หันเย่ถอดหมวกสีดำที่ติดกับชุดคลุมกันลมลง ก่อนประสานมือคำนับให้ไท่จื่อที่ยืนชมจันทร์อยู่ริมหน้าต่าง

ไท่จื่อโบกหัตถ์ หันหลังกลับมา “ไม่ต้องมากพิธี สถานการณ์วันนี้เป็นอย่างไร ฝ่าบาททรงเห็นเขาแล้วรึ”

“เห็นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หันเย่บอก

ไท่จื่อสีพระพักตร์พลันเปลี่ยน ก้าวขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง “เช่นนั้น…”

หันเย่ทูล “เขาก็เห็นฝ่าบาทแล้วเช่นกัน แต่ดูจากปฏิกิริยาของทั้งคู่แล้ว ฝ่าบาทน่าจะจำเขาไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

เซียวลิ่วหลังสวมเครื่องแบบของสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน ซ้ำยังสวมผ้าคลุมหน้าไว้ เป็นใครก็ไม่มีทางจำได้หรอก

ไท่จื่อถาม “แล้วทางเซียวลิ่วหลังเล่า เขาเห็นฝ่าบาทแล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร”

หันเย่ทูล “ไม่มีปฏิกิริยาใดพ่ะย่ะค่ะ”

ไท่จื่อขมวดคิ้ว “ไม่มีปฏิกิริยาใดรึ”

หันเย่นึกทวนความทรงจำถึงภาพที่ตนเห็น ก่อนสะทกสะท้อนใจเอ่ย “เป็นคนที่สุขุมทีเดียว จุดนี้ชวนให้ต้องคิดทบทวนเสียใหม่”

บารมีของฮ่องเต้แข็งแกร่งเพียงใด คนที่สามารถสบสายตากับฮ่องเต้ได้นั้นนับนิ้วดูได้เลย

ไท่จื่อตรัสอีก “เขาไม่ได้คุยอะไรกับฝ่าบาทหรือ”

หันเย่ส่ายหน้า “ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ พวกเขาไม่ได้คุยอะไรกันเลย ตอนนั้นฝ่าบาทประทับบนรถม้า ส่วนเขายืนอยู่หน้าประตูสำนักบัณฑิตหลิงโป”

ไท่จื่อคล้ายคิดบางอย่างอยู่พลางเอ่ย “ในเมื่อเจอแล้ว แล้วเหตุใดไม่คุยกัน”

หันเย่วิเคราะห์ “ข้าเดาว่าถ้าเขาไม่รู้ชาติกำเนิดของตัวเอง ก็คงเพราะเขาจำฝ่าบาทไม่ได้ถึงจะรู้ชาติกำเนิดของตัวเองแล้วก็ตาม”

ไท่จื่อกำหมัดแน่น ก่อนทุบลงหน้าต่าง สายพระเนตรทอดมองออกไปไกล ตรัส “จะให้เขาพบฮ่องเต้ไม่ได้ หากเขาพูดถึงเรื่องที่หนานกงลี่ลอบสังหารกับฝ่าบาท ข้าก็จะโดนลากออกมาด้วย และเกรงว่าตำแหน่งไท่จื่อของข้าก็คงจะต้องสิ้นสุดลงแล้ว”

ฮ่องเต้ไม่โปรดปรานองค์หญิงหรือจะทรงประหารองค์หญิงได้ หรือแม้กระทั่งจะทรงประหารเลือดเนื้อเชื้อไขในราชวงศ์ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะทำได้ อำนาจใหญ่ในการสั่งประหารหรือละเว้นชีวิตนั้นมีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่ครอบครอง!

หันเย่ตกใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร ท่านเป็นไท่จื่อนะพ่ะย่ะค่ะ!”

ไท่จื่อยิ้มเย็น “ซ่างกวานเยี่ยนยังเคยเป็นองค์หญิงมาก่อนเลย! เจ้าเห็นฮ่องเต้ทรงปรานีนางหรือไม่! ตอนถอดยศนางทรงมิได้พระทัยอ่อนเลยแม้แต่น้อย เสด็จพ่อของข้าคนนี้น่ะ เลือดเย็นไร้หัวใจเป็นที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าอย่าได้ลืมเชียว หลิงอ๋อง ซวีอ๋อง หลีอ๋อง ล้วนจับจ้องตำแหน่งไท่จื่อกันดั่งพญาเสือ พี่น้องเหล่านี้ของข้าไม่มีใครที่ไร้เดียงสากันสักคน! หากข้าปล่อยให้พวกเขาจับข้อผิดพลาดไว้ได้ ก็จะเจอกับจุดจบที่สิ้นชีพอย่างแหลกลาญ!”

หันเย่จมสู่ความเงียบ

ไท่จื่อทอดมองจันทร์กระจ่างบนท้องนภา “เย่เอ๋อร์”

หันเย่ประสานมือ “ไท่จื่อ”

ไท่จื่อพึมพำเสียงเบา “ข้าต้องการให้เขา ไม่ได้เห็นดวงตะวันในรุ่งอรุณของวันพรุ่งนี้”

ณ วังหลวง องค์หญิงน้อยที่เล่นซนมาทั้งวันในที่สุดก็หลับปุ๋ย

ตำหนักบรรทมของฮ่องเต้กลับมาเงียบงันดังเดิม

องค์หญิงน้อยได้รับความโปรดปราน จึงมีสตรีในวังหลังไม่น้อยที่ต่างเคยคิดจะรับองค์หญิงน้อยมาดูแลยังตำหนักตน แต่ก็โดนองค์หญิงน้อยปฏิเสธไปอย่างละมุนละม่อม

องค์หญิงน้อยดูเหมือนซื่อบื้อ แต่ความจริงแล้วนางที่ไร้มารดาตั้งแต่เด็กนั้นมีไหวพริบเสียยิ่งกว่าเด็กส่วนใหญ่อีก

นางสามารถสัมผัสได้ว่าในวังหลวงแห่งนี้มีเพียงท่านลุงฮ่องเต้ที่ชอบนางจากใจจริง และไม่มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง

ดังนั้นนางจึงยินดีที่จะพักในตำหนักบรรทมของพระองค์เพียงคนเดียว

เตียงน้อยของนางอยู่ข้างแท่นบรรทมของฮ่องเต้ คลุมด้วยผ้าม่านสีชมพูผืนโปรดของนาง

ฮ่องเต้นั่งประทับอยู่หลังโต๊ะหนังสืออ่านฎีกาอยู่ ฟังเสียงกรนสม่ำเสมอของนางแล้ว สีพระพักตร์ก็พลันเลื่อนลอย

จางเต๋อเฉวียนปรับไส้ตะเกียงให้สว่างขึ้นเล็กน้อยอย่างระมัดระวัง

นี่เป็นครั้งที่แปดที่พระองค์ทรงใจลอยแล้ว ตั้งแต่กลับมาจากสำนักบัณฑิตหลิงโปก็เป็นเช่นนี้

จางเต๋อเฉวียนไม่กล้าทัก และไม่กล้าถาม ทำเพียงเตือนเสียงแผ่ว “ฝ่าบาท ดึกแล้ว บรรทมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ตรัสถาม “ยามใดแล้ว”

จางเต๋อเฉวียนตอบ “ใกล้ยามจื่อ[1]แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้วางฎีกาลง “เราจะออกไปเดินเล่นหน่อย”

“คือ…” จางเต๋อเฉวียนไม่กล้าห้าม จำต้องหิ้วโคมไฟออกมาจากตำหนักบรรทมกับฮ่องเต้

ฮ่องเต้มาหยุดอยู่ที่ตำหนักเย็น

พระองค์ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ของตำหนักเย็นที่ทรุดโทรมจนดูไม่ได้แล้ว ทรงยืนตระหง่านอยู่นานไม่ตรัสอะไร

จางเต๋อเฉวียนแอบคิดในใจว่า หรือบัณฑิตหญิงคนนั้นจะทำพิษเข้าแล้ว ดวงตาหงส์คู่นั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งเหมือนพระเนตรของเซวียนหยวนฮองเฮาจริงๆ

จางเต๋อเฉวียนโดนยุงกัดตุ่มเต็มหน้า มือหนึ่งเขาถือโคม อีกมือพัดวีให้ฮ่องเต้

ตำหนักเย็นรกชัฏมีแต่วัชพืชขึ้นครึ้ม ยุงก็ดุยิ่ง โดนกัดไปทีเดียวก็แย่แล้ว

ทว่าฮ่องเต้กลับคล้ายไม่ได้รู้ตัวว่าโดนกัดไปหลายตุ่มเลยสักนิด พระองค์เอาแต่จ้องมองประตูใหญ่ของตำหนักเย็นอยู่อย่างนั้น ราวกับกำลังรอคอยให้เซวียนหยวนฮองเฮาเดินออกมาจากในนั้น

แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า

ตั้งแต่คราที่ท่านล้มล้างทั้งตระกูลของนาง นางก็ไม่ยอมออกมาพบท่านอีกแล้ว

จางเต๋อเฉวียนทำได้เพียงพึมพำอยู่ในใจสองสามคำเท่านั้น ไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ

“ฝ่าบาท ตรงนี้ยุงเยอะนัก ท่านต้องรักษาพระวรกาย…”

“ใครน่ะ!”

จางเต๋อเฉวียนเอ่ยได้ครึ่งทาง จู่ๆ เสียงกิ่งไม้หักก็ดังขึ้นจากในตำหนักเย็น ฮ่องเต้ตวาดขึ้น

จางเต๋อเฉวียนชะงัก

ฮ่องเต้เร่งฝีเท้าขึ้นหน้า ผลักประตูใหญ่ของตำหนักเย็นออก กลับเห็นเงาร่างหนึ่งกระโดดออกจากกำแพงไป

“คุ้มกันฝ่าบาท!” จางเต๋อเฉวียนรีบกางมือสองข้างขวางหน้าฮ่องเต้ไว้

ฮ่องเต้ตรัสนิ่งๆ “ไปแล้ว”

จางเต๋อเฉวียนใคร่ครวญก่อนเอ่ย “แผ่นหลังคนผู้นั้นค่อนข้างคุ้นตาทีเดียว…”

ฮ่องเต้ตรัส “ซ่างกวานเยี่ยน”

องค์หญิงรึ

หากเป็นองค์หญิงก็ไม่แปลกแล้ว

ตอนกลางวันนางโดนจับตามอง จึงหนีออกมารำลึกถึงเซวียนหยวนฮองเฮาได้ในตอนกลางคืนเท่านั้น

“นางไปทางนั้น ส่งคนไปดู”

“พ่ะย่ะค่ะ”

จางเต๋อเฉวียนเรียกทหารรักษาพระองค์ที่อยู่แถวนั้นมา แล้วให้พวกเขาไล่ตามไปดู อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น

ครู่ต่อมา พวกเขาก็กลับมาทูล คนเป็นหัวหน้าทูลเบาๆ “อดีตองค์หญิง…มุดรูสุนัขออกจากวังไปแล้ว”

สีพระพักตร์ฮ่องเต้พลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาก พระองค์กัดฟันกรอดตรัส “มุดรูสุนัขรึ ซ่างกวานเยี่ยน เจ้าทำให้เราไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย!”

จางเต๋อเฉวียนปาดเหงื่อเย็น องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ ท่านยังจำได้หรือไม่ว่าตัวเองเป็นถึงองค์หญิง ความจำเสื่อมก็อย่าได้เสื่อมถึงขั้นปล่อยตัวทำตามพระทัยเพียงนี้สิพ่ะย่ะค่ะ

“ฝ่าบาท…” จางเต๋อเฉวียนคิดในใจต่อว่า กระหม่อมพาคนไปจับนางกลับมาดีหรือไม่

สายพระเนตรของฮ่องเต้เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “เตรียมรถ! เราจะดูซิว่าดึกดื่นเพียงนี้แล้วนางจะออกจากวังไปก่อเรื่องอะไรให้เรา!”

[1] ยามจื่อ 21.00-01.00 น.