War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2227
ตอนที่ 2,227 : ร่วมมือทลายค่ายกล

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้เข้ามาในมรดกสถานที่ปรมาจารย์เซียนจารึกระดับสวรรค์เหลือทิ้งไว้เรียบร้อย

และหลังจากที่เขาเข้ามาได้ไม่ทันไร อัจฉริยะอันดับ 1 ในบรรดารุ่นเยาว์ของวังเซียนสัญจร ทั้งยังเป็นโฉมงามอันดับ 1 ของเผ่าปีศาจมนุษย์ก็ตามเขาเข้ามาติดๆ

เห็นหวงเหวินจิ้งตามเข้ามา ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงเดินสำรวจที่ทางไปอย่างเงียบงัน

มรดกสถานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นใต้ดิน เช่นนั้นการจะเข้าไปถึงได้ ก็จำต้องผ่านอุโมงค์ใต้ดินสายหนึ่งที่ทอดยาวลึกลงไปในดิน

แน่นอนว่าในอุโมงค์ใต้ดินก็มีข่ายอาคมและกับดักมากมาย ไม่ใช่ใครก็สามารถผ่านเข้าไปได้ง่ายๆ

ระหว่างเดินลงอุโมงค์มา ต้วนหลิงเทียนยังแลเห็นศพกองระเนระนาดเกลื่อนพื้น หากแต่ด้วยความที่กลิ่นเลือดยังคงสดใหม่ จึงบอกให้รู้ชัดว่าทั้งหลายพึ่งตายกันไม่นาน…

‘ก่อนหน้าสมควรมีคนเข้ามาแล้วไม่น้อย…บางทีอาจเป็นพวกที่ค้นพบมรดกสถานแห่งนี้ก่อน ทว่าพบเจอข่ายอาคมจนแทบตกตายกันหมด แถมดูแล้วพลังอาคมยังไม่ใช่ชั่วแต่ละคนเหมือนจะตกตายกันทันทีที่อาคมสังหารทำงาน ที่ข่าวแพร่ออกมาก็ไม่พ้นมาจากพวกที่ถอดใจเลือกจะล่าถอย…’

มองไปยังซากศพบนพื้น ต้วนหลิงเทียนก็ลอบคาดเดาเรื่องราวในใจ

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนเดินนำอยู่ด้านหน้า โดยมีหวงเหวิ้นจิ้งตามมาอยู่ด้านหลัง

ตอนแรกยามหวงเหวินจิ้งมองไปยังแผ่นหลังต้วนหลิงเทียน ในแววตานางก็เผยความเย็นชาทั้งเกลียดชังต้วนหลิงเทียนอยู่ไม่น้อย

อย่างไรก็ตามผ่านไปสักพัก สายตาของนางก็ค่อยๆเปลี่ยนไป

แม้จะยังคงเย็นชาเหมือนเคย หากทว่าความเคียดแค้นค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นอยากรู้อยากเห็น

นางอยากรู้นัก

ชายหนุ่มที่ให้ความรู้สึกว่าไม่ได้มีอายุมากไปกว่านางเลย ไฉนถึงได้มีพลังฝีมืออันร้ายกาจขนาดนี้!?

ที่สำคัญไหวพริบปฏิภาณอีกฝ่ายเลิศล้ำถึงขั้นไหนกันแน่ ถึงได้ค้นพบช่องว่างกระบวนท่านางได้ในเวลาอันสั้น!

มีอมตะวาจาหนึ่งกล่าวเอาไว้…

ยามใดที่อิสตรีบังเกิดความสงสัยใคร่รู้ในตัวบุรุษ นั่นนับเป็นก้าวแรกในการมีใจให้ของพวกนาง

แม้ไม่ทราบว่าอมตะวาจานี้จะใช้ได้ทุกกรณีหรือไม่ เพราะนางไม่ใช่สตรีธรรมดา แต่เป็นโฉมงามอันดับ 1 แห่งเผ่าปีศาจมนุษย์ หวงเหวินจิ้ง!

“81 ทาง? มากขนาดนี้เชียว…”

หลังเดินมาจนเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ต้วนหลิงเทียนก็นึกว่าอาจจะเดินมาสุดทางแล้ว แต่เขาในที่สุดว่าเขาคิดตื้นเกินไป

สิ่งที่เขาคิดว่าสุดทางกลับเป็นโถงถ้ำกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ที่สำคัญเบื้องหน้ากลับปรากฏช่องทางเดินมืดดำทั้งสิ้น 81 ทาง…

และที่ไฉนต้วนหลิงเทียนสามารถบอกได้ว่ามีทั้งสิ้น 81 ทาง เพราะช่องทางเหล่านี้ ตั้งเรียงรายเป็นระเบียบมาก มันจัดแบ่งเป็น กลุ่มละ 9 ทาง ทั้งสิ้น 9กลุ่ม

“ทางไหนดีล่ะทีนี้…”

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะอื้ออึง

สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็หลับตาลง อาศัยการแผ่สำนึกเทวะออกไปให้มากเท่าที่จะทำได้ เพื่อสำรวจแต่ละช่องทางคร่าวๆ

หวงเหวินจิ้งที่ตามมาอยู่ด้านหลัง ตอนนี้ก็หยุดมองต้วนหลิงเทียนอย่างเงียบงัน ราวกับจะรอให้ต้วนหลิงเทียนเลือกช่องทาง

เนื่องจากเรื่องราวใหญ่โตที่ต้วนหลิงเทียนได้ก่อไว้ก่อนเข้ามา ทำให้ไม่มีใครกล้าติดตามไล่หลังเขาเข้ามา

ทำให้ในช่องทางอันสลัวไปด้วยแสงคบเพลิงอันเงียบสงัดแห่งนี้ คงเหลือเพียงหนุ่มสาวคู่หนึ่งเท่านั้น บรรยากาศนับว่าชวนให้วาบหวามใจพิกล

ตอนแรกที่ลองแผ่สำนึกเทวะออกไป ต้วนหลิงเทียนก็ทำใจไว้แล้วว่าคงยากที่จะพบเบาะแสอะไรได้

หากเรื่องราวมันง่ายดายถึงขั้นใช้สำนึกเทวะตรวจสอบได้ สมบัติอะไรไม่ถูกผู้คนเอาไปหมดแล้วหรอ?

เพราะจากร่องรอยที่ผ่านมาตลอดทาง เขาบอกได้เลยว่ามีคนเข้ามาในมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์คนนี้ไม่ใช่น้อย

“หืม?”

อย่างไรก็ตามในขณะที่ใจต้วนหลิงเทียนนิ่งสงบดั่งบ่อน้ำโบราณ เพราะทำใจได้แล้ว…

กลับเกิดเรื่องผิดแปลกขึ้น

ต้วนหลิงเทียนพลันตระหนักได้อย่างเลือนรางว่า…

ภายใน 81 ช่องทางนั้น กลับมีช่องทางหนึ่งที่ให้กลิ่นอายคุ้นเคยกับเขา

ตอนแรกเขายังไม่ทันได้คิดอะไรมาก

แต่พอลองตั้งสมาธิจับกลิ่นอายดังกล่าวให้ชัด เขาก็ยืนยันได้ทันที!

กลิ่นอายนั่นคล้ายกลิ่นอายอันพิเศษและเป็นเอกลักษณ์ในชั้น 4 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ!เป็นกลิ่นอายของพลังลี้ลับที่สามารถทำให้อัตราการไหลของห้วงเวลามันช้าลง!!

หากไม่เคยประสบพบเจอมากับตัวอย่างยาวนาน คงยากที่จะมีใครสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันเลือนรางดังกล่าว

‘การไหลของห้วงเวลา…หรือว่าสุดช่องทางสายนี้ จะมีสถานที่ๆมีอัตราการไหลของ้วงเวลาเชื่องช้าเหมือนเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ?’

คิดถึงจุดนี้ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนก็ถี่เร็วขึ้น

ถึงแม้ทีท่าเขาจะเหมือนทำใจได้แล้ว หากแต่นั่นมันแค่ผิวเผินเท่านั้น ในใจเขายังยากจะปล่อยวางเรื่องเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติลงได้

เพราะในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ไม่ได้มีแค่ยอดสมบัติสวรรค์ ทั้งผู้เฒ่าหั่วที่เขาเคารพเท่านั้น ยังมีสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะอันประเสริฐ รวมถึงข้อได้เปรียบมหาศาลจากการไหลของห้วงเวลาที่ช้ากว่าโลกภายนอก

หากไม่มีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ พลังฝึกปรือของเขาคงไม่ก้าวหน้ารวดเร็วขนาดนี้ในสายตาคนทั่วไป

มาตอนนี้

พอตระหนักได้ว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากช่องทางดังกล่าวละม้ายคล้ายกลิ่นอายที่ตลบไปทั่วพื้นที่ๆมีอัตราการไหลของห้วงเวลาช้าลง ต้วนหลิงเทียนก็ตื่นเต้นไม่น้อย ร่างเหินทะยานเข้าช่องทางนั้นไปทันที

ฟุ่บ!

เสียงลมพัดดังขึ้นแผ่วเบา ร่างต้วนหลิงเทียนอันตรธานหายไปต่อหน้าต่อตาหวงเหวินจิ้ง

หวงเหวินจิ้งกระพริบตาปริบๆอยู่ไม่กี่ครั้ง กวาดตามองช่องทางทั้งหมดอีกรอบ สุดท้ายนางก็ไม่ได้เลือกช่องทางอื่น เพียงเข้าไปในช่องทางเดียวกันกับต้วนหลิงเทียน ราวกับต้วนหลิงเทียนเป็นผู้นำทางส่วนตัวที่นางจ้างมา…

แน่นอนว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ ต่อไปในภายภาคหน้า ไม่ว่านางนึกจะย้อนกลับมาทีไรนางก็รู้สึกภาคภูมิใจเสมอ…

เพียงเพราะนี่นับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตของนาง!

ซู่ม! วู้ม! วู้ม! วู้ม!

หลังจากเหินร่างเข้ามาในช่องทางที่เลือกแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ถูกต้อนรับโดยข่ายอาคมสังหารทันที!

ผู้ใดที่ล่วงล้ำเข้ามา ข่ายอาคมนี้จะเริ่มต้นการทำงานทันที อาคมย่อยแต่ละอาคมจะสร้างหอกพลังมีสภาพที่ปานจะทะลวงได้ทุกสิ่ง ส่องยิงสังหารเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าสะพรึงกลัว!

ที่สำคัญยามต้วนหลิงเทียนล้วงล้ำเข้ามา ข่ายอาคมที่ถูกกระตุ้นให้เปิดการทำงานไม่ได้มีแค่ข่ายอาคมเดียว! พวกมันมีมากมายราวกับค่ายกลสังหารย่อมๆ! ต้วนหลิงเทียนถึงกับถูกกักเอาไว้พักใหญ่!!

‘หอกพลังพวกนี้ไม่เบาจริงๆ แต่ละเล่มเทียบได้กับพลังโจมตีสูงสุดของเซียนสวรรค์ 4 เปลี่ยน!’

แม้จะถูกหอกพลังมหาศาลพุ่งเข้ามาจากทั่วทิศทาง แต่ต้วนหลิงเทียนยังรับมือได้ไม่ยากเย็น ไม่เบี่ยงตัวหลบก็อาศัย 2 นิ้วต่างกระบี่ปัดหอกพลังสังหารได้ง่ายดาย

เรียกว่าข่ายอาคมมากมายที่ปะทุพลังสังหารออกมา ไม่ได้เป็นภัยคุกคามให้ต้ววนหลิงเทียนแม้แต่นิดเดียว

และเมื่อเบื่อจะทดสอบอาคม อาศัยพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดแค่เล็กน้อยใช้ออกด้วยเวทย์พลังป้องกันอย่างปราการเต่าทมิฬ หอกพลังทั้งหลายก็ถูกสกัดเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

อย่างไรก็ตาม ยิ่งต้วนหลิงเทียนล่วงลึกเข้ามาในช่องทางนี้มากเท่าไหร่ ข่ายอาคมสังหารยิ่งมาก็ยิ่งทรงพลังร้ายกาจมากขึ้นเรื่อยๆ เสมือนด่านในเกมที่จะยากขึ้นเรื่อยๆ!

ตอนแรกก็สบายๆ จัดการรับมือได้อย่างง่ายดาย

แต่หลังจากเข้ามาลึกขึ้น ต้วนหลิงเทียนก็จำต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไม่น้อย สุดท้ายกระทั่งต้องเค้นพลังหลายส่วนเพื่อต้านทานหอกพลังสังหารเล่มเดียว…

จนเมื่อเห็นแสงสว่างจากพลังอาคมอยู่เบื้องหน้า ที่สมควรเป็นด่านทดสอบสุดท้ายก่อนถึงจุดหมายปลายทาง ต้วนหลิงเทียนจำต้องหยุดร่างลง

‘ข่ายอาคมสังหารของด่านก่อนหน้าทำข้าแทบตายแล้วจริงๆ กระทั่งยังเกือบจะไม่ผ่านมาอย่างปลอดภัยเอา…’

‘ด่านนี้สมควรยากกว่าเดิมแน่…’

หยุดมองพื้นที่อันผันผวนไปด้วยพลังอาคมเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด

เพราะสุดท้ายแล้วทุกที่ทางที่เขาผ่านมานั้นเต็มไปด้วยข่ายอาคมสังหารอันน่ากลัวทั้งสิ้น ระดับพลังก็เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ สัญชาตญาณเขาร้องบอกชัดเจน ว่าหนทางเบื้องหน้าอันตรายถึงตาย! หากไม่อาจรับมือข่ายอาคมสังหารชุดนี้ได้ เขาไม่รอดแน่!

เช่นนั้นเขาจึงต้องระวังให้มาก

ก่อนที่เขาจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาไม่คิดที่จะบุกเข้าสู่ข่ายอาคมสุ่มสี่สุ่มห้า

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสภาพร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยกำลังกายถูกบั่นทอนไปมาก แถมพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดพร่องไปกวว่าครึ่ง…กระทั่งให้ตอนที่เขามีสภาพร่างกายทั้งพลังสมบูรณ์พร้อม เขายังไม่กล้าพูดว่าจะผ่านข่ายอาคมนี้ไปได้อย่างปลอดภัย…

เว้วนเสียแต่พลังฝึกปรือเขาจะทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน ถึงจะมั่นใจว่าผ่านไปได้ง่ายๆ

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เสียงใสปานนกขมิ้นพลันดังเข้าหูของเขา

“เจ้ากับข้า…ร่วมมือกันเถอะ”

เสียงนั้นดังขึ้นจากด้านหลัง ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคนที่ติดตามต้วนหลิงเทียนมาตั้งแต่แรก โฉมงามอันดับ 1 ของเผ่าปีศาจมนุษย์ หวงเหวินจิ้ง!

อันที่จริงต้วนหลิงเทียนรู้ตัวว่าหวงเหวินจิ้งตามเขามาตั้งแต่เข้ามาในมรดกสถานแล้ว หากแต่เขาไม่ได้สนใจอะไรนาง เพราะทันทีที่นางคิดไม่ซื่อเขาจะฆ่านางทิ้งทันที…กระทั่งเขายังจงใจสงวนพลังส่วนหนึ่งไว้รับมือนางโดยเฉพาะ!

มาตอนนี้พอหวงเหวินจิ้ง ยื่นข้อเสนอให้เขาร่วมมือกับนาง เขาก็อดแปลกใจขึ้นมาไม่ได้

ไม่ใช่ว่าเขาพึ่งใช้กระบี่ตบนางจนหน้าสั่นเป็นการสั่งสอนหรือไง?

นางใจกว้างถึงขั้นปล่อยวางเรื่องราวได้เร็วขนาดนี้เชียว?

“แม้พลังฝีมือของเจ้าจะสูงส่งกว่าข้า แต่ก็ไม่มีทางที่เจ้าจะผ่านข่ายอาคมสุดท้ายนี้ไปได้ง่ายๆแน่…”

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนนิ่งไปไม่พูดจา หวงเหวินจิ้งพูดต่อออกมา “หากเจ้ากับข้าร่วมมือกัน คิดฝ่าข่ายอาคมสุดท้ายนี้ สมควรไม่ยากเย็นอะไรกระมัง…”

“อืม สมควรไม่ยากเย็นจริงๆ…”

ต้วนหลิงเทียนที่รู้สึกตัวแล้ว พยักหน้าเบาๆ ค่อยหันไปมองถามหวงเหวินจิ้ง กล่าวถามออกเสียงเรียบเบา “แต่ถ้าร่วมมือกันแล้ว…พอเจอสมบัติพวกเราจะแบ่งกันยังไง?”

“ใครต้องการสิ่งใดก็เอาไป”

คล้ายหวงเหวินจิ้งคิดไว้แล้วว่าต้วนหลิงเทียนต้องถามแบบนี้ นางจึงกล่าวตอบออกมาทันทีหลังต้วนหลิงเทียนถามจบคำ

“แล้วถ้าบังเอิญของสิ่งนั้น พวกเราต่างต้องการเหมือนๆกันเล่า?”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวถาม สองตายังหรี่ลง

“หากพวกเราต้องการทั้งคู่ เช่นนั้นเจ้าเอาไปก่อน”

หวงเหวินจิ้งก็ตอบกลับมาทันทีเหมือนเดิม

ต้องกล่าวเลยว่าวาจาของหวงเหวินจิ้งนับว่าบอกเจตนาของนางชัดแจ้ง

นอกจากนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่มั่นใจจริงๆว่าจะฝ่าข่ายอาคมนี้ไปได้ เว้นเสียแต่พลังฝึกปรือเขาจะทะลวงถึงเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยนในช่วงเวลาสั้นๆ ทว่านั้นก็เหลวไหลเกินกว่าจะเป็นไปได้

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ทะลวงถึงเซียสวรรค์ 7 เปลี่ยนในเวลาสั้นๆเลย ต่อให้สามารถทำได้จริงแต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะปรับพลังได้ ถึงตอนนั้นไม่รู้ว่าสมบัติใดๆที่อยู่ด้านหลัง จะยังเหลือให้เขามาเอาไปหรือไม่…

“งั้นก็ตกลง”

ต้วนหลิงเทียนเห็นด้วยทันที ตัดสินใจร่วมมือกับหวงเหวินจิ้งเพื่อทำล่ายข่ายอาคมสุดท้าย

‘หลังข่ายอาคมสังหารที่ร้ายกาจขนาดนี้ ไม่รู้ว่ามีสมบัติอะไรเก็บไว้กันแน่…กลิ่นอายพลังนั่น ช่างคล้ายคลึงกับกลิ่นอายพลังอันมีเอกกลักษณ์เฉพาะที่ทำให้ห้วงเวลาในเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไหลช้าลงจริงๆ…’

ในใจต้วนหลิงเทียนอดคาดหวังไม่ได้

“ไปกันเถอะ”

ต้วนหลิงเทียนหันมองไปทางหวงเหวินจิ้งพร้อมกล่าวสั่งออกมาทันที

หวงเหวินจิ้งพยักหน้ารับเงียบๆ

หลังจากนั้นทั้งคู่ก็พุ่งร่างออกไปอย่างพร้อมเพรียงราวกับนัดกันมา มองไปดั่งอัสนีสองสายฟาดผ่าไปยังข่ายอาคมสุดท้ายเบื้องหน้าพร้อมกัน

เมื่อเข้าเขต ข่ายอาคมสังหาร ในด่านสุดท้ายก็ถูกกระตุ้นให้เริ่มสำแดงพลังทันที

ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม! ซู่ม!

……

เสียงสนั่นดังขึ้นไม่หยุด ฟังไปคล้ายพิรุณห่าใหญ่ร่วงตกจากฟ้า พื้นที่เบื้องหน้าต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งเต็มไปด้วยกลิ่นอายพลังอาคมผันผวนมากมาย มากเสียจนราวกับเป็นคลื่นมรสุม!

และทันทีที่ขุมพลังน่าพรั่นพรึงสุดไพศาลนี้ปรากฏขึ้น อุโมงค์ทางก็เริ่มสะเทือนประหนึ่งบังเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ พื้นดินทั้งช่องทางเริ่มบังเกิดรอยแตกร้าวให้เห็นชัด

เพียงชั่วพริบตาที่ล่วงล้ำเข้ามานทุ่งสังหาร ต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งก็รู้สึกเสมือนตัวเองเป็นดั่งเรือลำน้อยที่ลอยคออยู่กลางมหาสมุทรที่กำลังเกิดมรสุมครั้งใหญ่!

ทันใดนั้นเอง

“ลงมือ!!”

สองตาต้วนหลิงเทียนเปลี่ยนเป็นเยียบเย็น เผยประกายคมกล้า ตะโกนสั่งออกมาเสียงดังปานฟ้าผ่า