ในใจซั่งกวนเยี่ยนสับสนมึนงง เขาย่อมมิทราบความคิดของพวกเฉินเจิ่น การส่งมอบกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วไปอยู่ในมือของเซี่ยโหวหยวนเฟิง ย่อมทำให้กรมวินิจการณ์ใช้สิ่งนี้ควบคุมขุมกำลังที่ต่อต้านทั้งหมดในอาณาเขตอดีตแคว้นสู่ได้ เพื่อมิให้เซี่ยโหวหยวนเฟิงลำพองเกินไปนัก เฉินเจิ่นกับต่งเชวียจึงวางแผนให้กู้หนิงไปสังหารเมิ่งซวี่ ความจริงทั้งสองคนเดาได้อยู่ก่อนแล้วว่ามีโอกาสแปดเก้าส่วนที่กู้หนิงจะทำมิลง จากนั้นการช่วยเจ้าแคว้นสู่กับมารดาออกมาย่อมเป็นตัวเลือกเพียงทางเดียว
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้เซี่ยโหวหยวนเฟิงจะบรรลุเป้าหมายในการปราบกบฏชิ่งอ๋อง แต่ก็จะปล่อยให้ทายาทของเจ้าแคว้นสู่หนีรอดไปได้ มีความชอบแต่ก็มีความผิด ความชอบมิโดดเด่นแต่ความผิดกลับเด่นชัด คงจะถูกคนที่มิรู้เรื่องราวดีโจมตีอย่างแน่นอน แม้เซี่ยโหวหยวนเฟิงจะได้คุมกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว แต่ก็จะต้องรับภาระหนักในการตามหาทายาทเจ้าแคว้นสู่
พวกเฉินเจิ่นเชื่อว่ากู้หนิงย่อมมีหนทางหนีจากการตามหาของเซี่ยโหวหยวนเฟิง ถึงอย่างไรกู้หนิงก็เป็นคนที่ตำแหน่งสูงในกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว เขามีเส้นสายมากมาย แล้วยังมีรากฐานลึกล้ำในอดีตแคว้นสู่ ยิ่งเมื่อพวกเฉินเจิ่นช่วยเหลืออย่างลับๆ โอกาสที่กู้หนิงจะลอยนวลไปได้ก็มีมากอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าเพื่อป้องกันเรื่องมิคาดฝัน พวกเขาตัดสินใจทิ้งหมากเม็ดหนึ่งไว้ข้างกายกู้หนิง ซั่งกวนเยี่ยนคือตัวเลือกที่ดีที่สุด แม้จะมีโอกาสที่ซั่งกวนเยี่ยนจะคิดหาวิธีหลุดพ้นจากการควบคุมของพวกเขาหลังจากนี้ แต่นั่นก็มิสำคัญแล้ว เมื่อเวลาผันผ่านไป ความสำคัญของเมิ่งซวี่ก็จะลดน้อยถอยลงเรื่อยๆ ส่วนพวกซั่งกวนเยี่ยนแต่เดิมก็มิมีความตั้งใจจะฟื้นแว่นแคว้นขึ้นมาใหม่อยู่แล้ว ดังนั้นพวกเฉินเจิ่นจึงมิกังวลว่าในอนาคตจะควบคุมตระกูลกู้ได้ยาก ส่วนกู้อิง เพราะเขารู้ความจริงแล้ว อีกทั้งยังมิสะดวกจะสังหาร ดังนั้นจึงต้องลากเขาเข้ามาในแผนการด้วย
หลังจากฮั่วอี้เดินออกจากกระโจม ซั่งกวนเยี่ยนก็ตกอยู่ในความสับสน เขาย่อมมิทราบว่าเวลานี้ห่างไปหลายสิบลี้ กู้อิงกำลังถูกหลิวหวาหลอกล่อเกลี้ยกล่อมให้เป็นหมากเม็ดที่สองในการควบคุมตระกูลกู้อยู่ เรื่องนี้มิยากเย็น นับตั้งแต่กู้อิงถูกหลิวหวาจับมาไว้ข้างตัว หลิวหวาก็ใช้สารพัดวิธีการทำให้เด็กหนุ่มเลือดร้อนคนนี้เชื่อง
เมื่อมีความตายคุกคาม หลิวหวาอดีตหัวหน้าของกลุ่มแฝงหนึ่งในแปดหัวหน้าแห่งค่ายลับผู้มีทักษะทำให้คนรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมจึงทำให้กู้อิงมองเขาเป็นพี่ชายและสหายได้ง่ายดายดุจยกฝ่ามือ พอหลิวหวาตะล่อมเกลี้ยกล่อมบอกว่ามีเจตนาดีจะปกป้องตระกูลกู้ทั้งหมด กู้อิงจะมิตกหลุมพรางได้เช่นไรเล่า
ชิ่งอ๋องนั่งอยู่ในกระโจม คิดทบทวนเรื่องที่วันนี้บุกตีเฉินชังแต่ล้มเหลวกลับมาอีกหนก็หมดอารมณ์ แม้กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วรับปากว่าจะฉวยโอกาสลอบสังหารแม่ทัพผู้คุ้มกันเมืองเฉินชัง แต่ผ่านมาหลายวันแล้วก็ยังมิมีข่าวคราว ตรงกันข้ามเพราะบุกตีเมืองติดต่อกันหลายวัน เขาจึงเสียแม่ทัพกับทหารคนสนิทไปมิน้อย
เขารู้สึกมิพอใจอยู่พอสมควร น่าเสียดายเยี่ยเทียนซิ่วถูกเขาทิ้งไว้เฝ้าด่านซั่นกวน มิเช่นนั้นหลี่คังก็อยากจะใช้เยี่ยเทียนซิ่วเดินทางไปสืบดูสักหน่อยว่าจริงๆ แล้วกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วมีเจตนาจะถ่วงเวลา เพื่อเรียกร้องเงื่อนไขมิเข้าท่าบางอย่างหรือไม่ แต่เขาเพิ่งยึดด่านซั่นกวนมาไว้ในมือได้ แม้รองแม่ทัพผู้นั้นจะยอมเปลี่ยนฝ่ายมาสวามิภักดิ์ แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องระวัง
หากมิใช่มิต้องการเป็นที่ครหาว่าสังหารผู้ที่หันมาสวามิภักดิ์ มิต้องการทำให้ขวัญกำลังใจทหารสั่นคลอน แต่เดิมหลี่คังก็คิดจะสังหารรองแม่ทัพผู้นั้นเพื่อความปลอดภัยเสียด้วยซ้ำ ขณะที่หลี่คังกำลังคิดว้าวุ่นอย่างกลัดกลุ้มใจอยู่นั่นเอง นอกกระโจมก็มีคนแจ้งว่า “ท่านอ๋อง ทางเฉินชังมีข่าวดีส่งมา”
ชิ่งอ๋องเงยหน้าขึ้นก็เห็นฮั่วอี้รีบร้อนเดินเข้ามา ด้านหลังมีซั่งกวนเยี่ยนตามมาเพียงคนเดียว ในมือถือห่อผ้าต่วนสีเขียวรูปร่างกลมๆ ที่มีหยดเลือดติดอยู่ห่อหนึ่งมาด้วย หลี่คังดีใจยิ่งนัก เอ่ยขึ้นอย่างแทบมิอยากเชื่อ “การใหญ่สำเร็จแล้วหรือ”
ฮั่วอี้ก้าวเข้าไปคำนับรายงานว่า “ท่านอ๋อง ท่านหัวหน้าลงมือเอง เด็ดศีรษะของอินหลิงแม่ทัพผู้พิทักษ์เฉินชังมาได้แล้ว ตอนนี้ภายในเมืองเฉินชังวุ่นวายไปหมด ขอท่านอ๋องเรียกรวมพลทหาร ยกทัพบุกตีเฉินชังทันที บุกครั้งเดียวต้องสำเร็จเป็นแน่”
หลี่คังข่มกลั้นความรู้สึกเปรมปรีดิ์ในหัวใจแล้วเอ่ยว่า “ส่งศีรษะมาให้ข้าดู ข้ารู้จักอินหลิงอยู่”
ฮั่วอี้เดินเข่าไปด้านหน้า ยกศีรษะคนขึ้นถวาย สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดีแฝงความตื่นเต้น หลี่คังคิดว่าต้องเป็นเพราะเขาตื่นเต้นที่กำลังจะบุกตีเฉินชังได้แล้วเป็นแน่ ตอนที่ทำสัญญาพันธมิตรกับกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่ว หากกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วลอบสังหารแม่ทัพผู้พิทักษ์เฉินชังได้สำเร็จ กลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วก็จะได้อำนาจมิน้อย ฮั่วอี้เองก็เป็นหนึ่งในคนที่จะได้ผลประโยชน์มากที่สุด ทว่าหลี่คังยังคงรักษาความสุขุมไว้ ตอนที่ลุกขึ้นรับศีรษะมา เขาก็ยังคงรักษาความระแวดระวังอยู่เล็กน้อยดังเช่นปกติ
ในตอนนี้เอง แม่ทัพคนสนิทของหลี่คังคนหนึ่งก็พรวดเข้ามาในกระโจมด้วยอารามดีใจ “ท่านอ๋อง ภายในเมืองเฉินชังจุดโคมสว่างไสว โกลาหลไปหมด”
หลี่คังสั่งให้เขาเฝ้าจับตาสถานการณ์ของเมืองเฉินชังตลอดเวลา ยามนี้เขามารายงานด้วยตนเอง ย่อมพิสูจน์ว่ากลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วลอบสังหารอินหลังสำเร็จจริงๆ
ตอนนี้หลี่คังจึงวางใจ สองมือรับห่อผ้ามา มือหนึ่งถือ อีกมือหนึ่งแก้มัด เมื่อเห็นศีรษะคนที่เส้นผมสยายปรกรุงรังหัวนั้น เขากลับมิคิดรังเกียจแม้แต่น้อย แต่เอื้อมมือไปปัดเส้นผมยุ่งเหยิงที่ปรกหน้าอยู่ออก ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท สีหน้าบนใบหน้าดูโหดร้าย นี่ก็คืออินหลิงในความทรงจำของเขา หลี่คังรู้สึกยินดีปรีดา
ในจังหวะที่หัวใจเขาผ่อนคลายลงนั่นเอง ฮั่วอี้ผู้คุกเข่าข้างหนึ่งอยู่บนพื้นจู่ๆ ก็โผเข้าใส่ หลี่คังใช้ศีรษะคนในมือโจมตีฮั่วอี้ด้วยสัญชาตญาณ พร้อมกับขยับร่างถอยไปด้านหลัง ผิวบนฝ่ามือทั้งสองข้างฉับพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีทอง มีดสั้นที่ถืออยู่ในมือของฮั่วอี้ประหนึ่งสายรุ้งพาดผ่านดวงจันทร์ ฟันศีรษะหัวนั้นจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พลาดไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ตอนที่มีดสั้นของฮั่วอี้แทงตรงไปที่ท้องน้อยของหลี่คัง มือขวาของหลี่คังก็จับใบมีดอันคมกริบไว้แน่น เสียงประหนึ่งโลหะปะทะกัน แม้หลี่คังจะมือเปล่า แต่บนฝ่ามือกลับมิมีรอยโลหิตแม้แต่น้อย หลี่คังแววตาเย็นยะเยือก มือซ้ายต่อยหนึ่งหมัดออกมา บีบให้ฮั่วอี้ต้องทิ้งมีดสั้นถอยไปด้านหลัง ทันใดนั้นกระสุนเม็ดหนึ่งก็ถูกยิงออกมาจากมือของฮั่วอี้ กระสุนส่งเสียงระเบิดเบาๆ ภายในกระโจมพลันมีควันฟุ้งตลบทันที
หลี่คังตกใจ กลัวว่าในควันจะมีพิษจึงถอยไปด้านหลังอย่างว่องไว มือซ้ายพลิกวาดหนหนึ่ง ฝ่ามือพลันเป็นประดุจคมดาบ กระโจมที่อยู่ด้านหลังห่างไปหนึ่งชุ่นกว่าถูกเขากรีดเป็นรูใหญ่ จากนั้นจึงถอยออกมา แม้สายตาของเขาจะถูกควันสีเทาบดบัง แต่ก็ยังจับสัมผัสได้ว่าฮั่วอี้คนนั้นมิได้ไล่ตามมาโจมตี ตรงกันข้ามในหูกลับได้ยินเสียงครางหนักๆ หนหนึ่ง เขาฟังออกว่าเป็นเสียงแม่ทัพคนโปรดของตนถูกผู้อื่นสังหาร คนผู้นั้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะกรีดร้อง
หลี่คังเจ็บปวดใจ เขารู้จักวรยุทธ์ของฮั่วอี้และซั่งกวนเยี่ยนพอสมควร จึงทราบว่าสองคนนี้มิมีทางสังหารแม่ทัพผู้นั้นให้ตายในหนึ่งกระบวนท่าได้ ทั้งสองคนจักต้องร่วมมือกันเป็นแน่ แม้หลี่คังมิมีประสบการณ์ในการต่อสู้มากนัก แต่เขาก็คิดได้ทันทีว่าเหตุที่ฮั่วอี้มิไล่ตามมาโจมตีตน ย่อมเป็นเพราะมีผู้อื่นดักซุ่มอยู่ มิเช่นนั้นหากตนเรียกองครักษ์มา พวกเขาย่อมตายไร้ที่ฝังร่าง
ความคิดที่เกิดขึ้นเหล่านี้ดูเหมือนใช้เวลานาน แต่ความจริงแล้วผุดขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว หลี่คังกำลังจะขยับร่างหลบ วัตถุแหลมคมชิ้นหนึ่งก็เสือกเข้ามาตรงจุดชีพจรสำคัญบนหลังของเขา หลี่คังรู้สึกว่าลมปราณกำลังรั่วไหล เขาโผลงไปด้านล่าง ทว่ายังมิทันลงไปถึงพื้น คนผู้หนึ่งก็เหินขึ้นมาจากพื้นรับตัวเขาไว้ ก่อนจะพุ่งทะลุกระโจมที่ฉีกขาดพาเขากลับมาไว้ในกระโจมอีกหน
หลี่คังรู้สึกว่าร่างกายแข็งทื่อ มิอาจขยับได้แม้แต่นิด เขาถอนหายใจแผ่วเบาอย่างห้ามมิได้แล้วตั้งใจจะตะโกนขอความช่วยเหลือ ทว่าคนที่จับตัวเขาไว้ผู้นั้นฟาดฝ่ามือเข้าที่ลำคอเสียก่อน หลี่คังพลันรู้สึกว่าความเจ็บปวดเข้าจู่โจม มิอาจตะโกนส่งเสียงได้อีกต่อไป ยามนี้ควันสีเทาค่อยๆ สลายไปแล้ว หลี่คังใช้ดวงตามองสำรวจ ก็เห็นแม่ทัพคนสนิทของตนล้มกองอยู่กับพื้น มือขวายังกุมอยู่บนด้ามกระบี่ ซี่โครงมีโลหิตไหลทะลัก
ซั่งกวนเยี่ยนยืนอยู่ตรงประตูกระโจม กระบี่คู่กายในมืออาบโลหิตชุ่มโชก ตรงลำคอของแม่ทัพผู้นั้นมีรอยนิ้วเห็นเด่นชัด เขาน่าจะถูกคนใช้ลมปราณจากฝ่ามือฟันลำคอจนคอหัก เวลานี้เองคนผู้นั้นที่อยู่ด้านหลังของหลี่คังก็วางเขาลงบนเก้าอี้ แล้วเดินมาตรงหน้าเขา คนผู้นั้นก็คือเฉินเจิ่นนั่นเอง
หลี่คังรู้สึกถึงรสชาติขมปร่าในปาก แม้ทราบว่าถามไปก็มิมีประโยชน์ แต่เขาก็ยังฝืนส่งเสียงถามออกมา “เพราะเหตุใด”
หนนี้เฉินเจิ่นมิได้ห้ามเขาพูด เพราะเขาทราบว่าหนนี้หลี่คังตะโกนเสียงดังมิได้แล้ว เขายิ้มละไมเอ่ยขึ้นว่า “ฮั่วอี้ หยิบป้ายคำสั่งของท่านอ๋อง เรียกรวมพลทหารทั้งหลายในกองทัพให้มารอฟังคำสั่งที่กระโจมใหญ่”
ฮั่วอี้ยิ้มละไมเดินไปที่โต๊ะอ่านหนังสือ หยิบป้ายทองแผ่นหนึ่งแล้วหมุนตัวเดินออกไป ดวงตาของซั่งกวนเยี่ยนฉายแววฉงน มองเฉินเจิ่นทีหนึ่ง จากนั้นจึงเช็ดโลหิตบนกระบี่กับอาภรณ์ของแม่ทัพที่ตายคนนั้นอย่างสุขุม จากนั้นเดินตามฮั่วอี้ออกไป
เฉินเจิ่นลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งตรงข้ามกับหลี่คัง แล้วหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อ เทยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งออกมาจากด้านในแล้วยัดใส่ปากของหลี่คัง หลี่คังมิมีกำลังขัดขืน ยาเม็ดนั่นลื่นไหลเข้าไปในท้อง หลี่คังพลันรู้สึกว่าลมปราณทั่วร่างประหนึ่งหิมะละลายยามวสันต์มลายหายไปทีละน้อย เขาล้มเลิกความคิดที่จะลอบโคจรลมปราณผลักอาวุธลับบนแผ่นหลังออก ดวงตาฉายแววเจ็บปวด ถามอีกหนว่า “เพราะเหตุใด”
เฉินเจิ่นยิ้มละไมกล่าวว่า “องค์ชายไยต้องถามมากความ ขุนนางภักดีของต้ายงเองก็คงอยากจะถามองค์ชายเช่นกันว่าเพราะเหตุใดเป็นชินอ๋องดีๆ มิชอบ แต่กลับจะยกทัพก่อกบฏ”
หลี่คังทำเหมือนมิได้ยินถ้อยคำโต้ตอบของเฉินเจิ่น ถามต่อว่า “ข้าถามตนเองดูก็คิดว่าข้ามีไมตรีต่อกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วอย่างถึงที่สุดแล้ว หากมิใช่เช่นนั้น เหตุไฉนจะปล่อยให้เจ้าคุมตัวข้าได้ง่ายดายเช่นนี้ หากข้าล้มเหลวก็มิเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มพันธมิตรจิ่นซิ่วแต่อย่างใด พวกเจ้ามิต้องการฟื้นแว่นแคว้นกลับมาแล้วหรือ”
ดวงตาของเฉินเจิ่นฉายแววเย้ยหยัน ตอบว่า “การฟื้นคืนแคว้นก็เป็นเพียงเรื่องที่เชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงอย่างพวกท่านสนอกสนใจเท่านั้น ผู้แซ่เฉินเป็นเพียงชาวยุทธภพธรรมดาสามัญคนหนึ่ง หากบ้านเมืองสงบสุขมีชามีข้าวกิน ผู้ใดจะอยากไปทำการใหญ่ที่เสียแรงเปล่าเหล่านั้น
การรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งของต้ายงมิอาจขัดขวางได้แล้ว ต่อให้ท่านก่อกบฏสำเร็จ อาจมีประโยชน์ต่อท่านและอาจมีประโยชน์ต่อเชื้อพระวงศ์แคว้นสู่ แต่สำหรับคนเช่นพวกเราเหล่านี้มีประโยชน์อันใดเล่า ลาภยศสรรเสริญทำให้คนหลายคนยอมก้มหัว แต่สำหรับคนที่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ระหว่างความเป็นกับความตายแล้ว มันก็เป็นเพียงบุปผาในคันฉ่อง จันทราในสายน้ำเท่านั้น”