ตอนที่ 873 เสนอตัว

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 873 เสนอตัว

เสนาบดีกรมทหารเสิ่นจิ้งจงเห็นเหตุการณ์จึงรีบก้าวออกไปด้านหน้า “องค์หญิงเจิ้นกั๋ว คนผู้นี้มีนิสัยเช่นนี้เป็นทุนเดิมพ่ะย่ะค่ะ เขาไม่ได้ตั้งใจ องค์หญิงเจิ้นกั๋วได้โปรด…”

“ใต้เท้าเสิ่นไม่จำเป็นต้องขอร้องแทนข้า” ไม่รอให้เสิ่นจิ้งจงกล่าวจบ ขุนนางผู้น้อยของกรมการคลังก็เอ่ยขัดขึ้นก่อน เขาเงยหน้ามองไปทางไป๋ชิงเหยียน คุกเข่าทั้งสองข้างลงบนพื้น จากนั้นกล่าวตามตรงด้วยสายตาที่พร้อมตาย “กระหม่อมเว่ยปู้จิ้งพ่ะย่ะค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางร่างที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยแววตาบริสุทธิ์จริงใจของเว่ยปู้จิ้ง จากนั้นกล่าวขึ้น “นับจากนี้เป็นต้นไปเว่ยปู้จิ้งคือเสนาบดีกรมการคลัง มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องภัยพิบัติที่หุบเขาฉงหลวนและเมืองสุ่ยเจียง ข้าอนุญาตให้เจ้าลงมือปฏิบัติก่อนมารายงานข้าได้ ทุกอย่างจงคำนึงถึงความปลอดภัยของชาวบ้านเป็นหลัก! หากครั้งนี้เจ้าช่วยบรรเทาทุกข์ให้ชาวบ้านรอดพ้นจากความอดอยากและความเหน็บหนาวได้ ตำแหน่งเสนาบดีกรมการคลังจะเป็นของเจ้าต่อทันที!”

แววตาของเว่ยปู้จิ้งสั่นวูบ เขายังไม่ได้สติว่าเหตุใดจู่ๆ ตำแหน่งเสนาบดีกรมการคลังจึงตกเป็นของเขาเช่นนี้

ทว่า เว่ยปู้จิ้งฟังเข้าใจแล้ว องค์หญิงเจิ้นกั๋วหมายความว่านางไม่ต้องการให้ชาวบ้านเสียชีวิตเพราะความอดอยากหรือความหนาวจากภัยพิบัติในครั้งนี้ บัดนี้คือเดือนห้าชาวบ้านคงไม่ถึงกับหนาวตาย ทว่า อาจมีคนตายเพราะความอดอยาก ขุนนางที่รับหน้าที่ดูแลเรื่องบรรเทาทุกข์ต้องเป็นคนมีความสามารถเก่งกาจ เที่ยงตรงและเด็ดเดี่ยว ขุนนางที่คิดจะยักยอกเงินที่ใช้บรรเทาทุกข์เข้าถุงเงินตัวเองจึงจะหวาดกลัวยำเกรง

ดังนั้นองค์หญิงเจิ้นกั๋วไม่สามารถเลือกขุนนางจากตระกูลสูงศักดิ์มารับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ ตระกูลสูงศักดิ์มีเส้นสายและความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกับตระกูลอื่นมากมาย แม้แตะต้องเพียงนิดเดียวก็อาจเดือดร้อนไปทั้งหมด พวกเขาไม่สามารถจัดการต่อไปโดยไม่สนใจตระกูลของตัวเองได้ ทว่า เว่ยปู้จิ้งไม่เหมือนกัน เขาเป็นขุนนางที่มาจากครอบครัวยากจน เขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านี้ ทว่า นั่นเท่ากับว่าเขาไม่มีเส้นสายและที่พึ่งพาเช่นเดียวกัน การบรรเทาทุกข์ครั้งนี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับเขา

ราชสำนักต้าจิ้นเน่าเฟะถึงรากเหง้า เหล่าขุนนางที่รอยักยอกเงินตอนที่แคว้นเกิดภัยพิบัติขึ้นราวกับกลุ่มหมาป่าล่าเนื้อไม่ได้มีเพียงคนสองคน พวกเขาอาจรุมขย้ำผู้ที่เข้าไปขัดขวางจนตายก็ได้ผู้ใดจะไปรู้

โชคดีที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วอนุญาตให้เขาลงมือปฏิบัติก่อนแล้วค่อยรายงานนางทีหลังได้ ขอเพียงครั้งนี้เขาจัดการอย่างเด็ดขาดและตรงไปตรงมา พยายามอย่างสุดชีวิตของเขา เมื่อจัดการเรื่องการบรรเทาทุกข์เรียบร้อยก็ถือว่าเขาได้ช่วยเหลือชาวบ้านเหล่านี้แล้ว

“หวังสี่ผิง!”

หวังสี่ผิงที่ยืนอยู่นอกตำหนักได้ยินเสียงไป๋ชิงเหยียนเอ่ยเรียกจึงรีบเดินเข้าไปในตำหนักทันที “เจ้าจงนำทหารสามหมื่นนายตามเสนาบดีกรมการคลังเว่ยปู้จิ้งไปบรรเทาทุกข์ที่หุบเขาฉงหลวนและเมืองสุ่ยเจียง จงฟังคำสั่งของใต้เท้าเว่ยปู้จิ้งแต่เพียงผู้เดียวและคุ้มครองเขาให้ดี คำสั่งของเว่ยปู้จิ้งคือคำสั่งของข้าไป๋ชิงเหยียน ผู้ใดขัดขืนจงประหารทิ้งทันที!”

เว่ยปู้จิ้งรีบเงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียนอย่างตกใจ เขากำลังคิดอยู่เลยว่าตนเองไม่มีที่พึ่ง ทว่า พริบตาเดียวไป๋ชิงเหยียนกลับให้ที่พึ่งกับเขาเป็นทหารถึงสามหมื่นนาย!

“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!” หวังสี่ผิงคุกเข่ารับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“ใต้เท้าเว่ย?” ไป๋ชิงเหยียนหันไปทางเว่ยปู้จิ้ง

เว่ยปู้จิ้งรีบก้มศีรษะน้อมรับคำสั่ง “เว่ยปู้จิ้งน้อมรับบัญชา จะไม่ทำให้องค์หญิงเจิ้นกั๋วผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ!”

“เวลากระชั้นชิด รีบไปจัดเตรียมเสบียงอาหารเถิด! หากต้องการเรียกใช้ผู้ใดสามารถบอกหวังสี่ผิงได้เลย” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวจบก็ไม่ได้มองไปทางเว่ยปู้จิ้งอีก หญิงสาวต้องจัดการเรื่องกบฏที่เมืองเฝินผิงต่อ หญิงสาวเดินลงจากบันได ยื่นฎีกาในมือให้หลู่เซียง “ฎีกาครั้งนี้ดูเหมือนจะจงใจหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญราวกับต้องการโทษว่าที่เจ้าเมืองเฝินผิงก่อกบฏในครั้งนี้เพราะการตายของภรรยาเขา”

เมื่อหวังสี่ผิงและเว่ยปู้จิ้งเดินออกไปจากตำหนักใหญ่ บรรดาขุนนางที่อยู่ด้านในต่างถกเถียงเรื่องกบฏในเมืองเฝินผิงต่อ เสียงถกเถียงในตำหนักใหญ่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

เว่ยปู้จิ้งก้าวขาออกมาจากตำหนัก เขาหันไปมองไป๋ชิงเหยียนที่อยู่ในตำหนักอีกครั้งอย่างงุนงงเล็กน้อย องค์หญิงเจิ้นกั๋วสั่งงานขุนนางในราชสำนักในฐานะใดกันนะ องค์หญิงหรือว่าจักรพรรดิกัน!

เว่ยปู้จิ้งมีนิสัยดื้อรั้นจึงถูกกดดันอยู่ในกรมการคลังมาหลายปี เมื่อคำสั่งของเบื้องบนไม่ถูกต้อง เขาจะไม่ทำตาม ทว่า เขายินดีและเต็มใจทำตามคำสั่งขององค์หญิงเจิ้นกั๋วในวันนี้อย่างเต็มที่ ทั้งๆ ที่เป็นเพียงสตรี ทว่า นางกลับมีความเด็ดเดี่ยวและบารมีเยี่ยงที่จักรพรรดิคนหนึ่งควรมี

เขาเม้มปากแน่น รู้สึกตกใจกับคำว่า ‘บารมีของจักรรพรรดิ’ ที่เขาคิดอยู่ในใจ เขาละสายตากลับ จากนั้นเดินตามหวังสี่ผิงลงจากบันไดไปนับคลังสมบัติส่วนพระองค์ของจักรพรรดิต้าจิ้นและจัดเตรียมเสบียงอาหารอย่างรวดเร็ว

เว่ยปู้จิ้งคิดว่าที่เขายอมทำตามคำสั่งขององค์หญิงเจิ้นกั๋วด้วยความเต็มใจเป็นเพราะองค์หญิงเจิ้นกั๋วคิดและทำเพื่อชาวบ้านอย่างแท้จริง

ไป๋จิ่นซิ่วนำทหารคุ้มกันอยู่นอกตำหนัก เมื่อครู่นางเพิ่งได้รับรายงานว่าจี้ถิงอวี๋พากองกำลังออกไปตามเหลียงอ๋องและองค์หญิงใหญ่แล้ว ไม่นานก็ได้รับรายงานว่าหาตัวพระชายาเอกและองค์ชายน้อยพบแล้ว กล่าวว่าเหลียงอ๋องส่งคนไปสังหารพระชายาเอกและองค์ชายน้อย ทว่า พวกเขาบังเอิญไปช่วยไว้ได้ทัน พวกเขาปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับและกลับมาถามไป๋จิ่นซิ่วว่าควรจัดการต่อเช่นไร

ไป๋จิ่นซิ่วนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวขึ้น “ช่วยพวกนางออกมาจากคุก หาจวนสะอาดๆ ให้พวกนางอยู่ไปก่อน อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ให้คนภายนอกรับรู้เป็นอันขาด บอกกับทุกคนว่าพระชายาเอกและองค์ชายน้อยถูกเหลียงอ๋องสังหารไปแล้ว”

“ขอรับ!” ลูกน้องรับคำแล้วจากไปทำตามคำสั่ง

หลี่หมิงรุ่ยเดินเข้าไปหาไป๋จิ่นซิ่วเพื่อขอคุยกับหญิงสาวเป็นการส่วนตัว

ไป๋จิ่นซิ่วยืนเอามือไขว้หลังอยู่กับหลี่หมิงรุ่ยเยื้องหน้าประตูตำหนักที่ค่อนข้างลับตาคน หลี่หมิงรุ่ยกล่าวขึ้น “หากองค์หญิงเจิ้นกั๋วจะขึ้นเป็นจักรพรรดินี นางจะเสนอตัวเองไม่ได้เด็ดขาดขอรับ ไม่ว่าจะบีบบังคับหรือใช้วิธีประนีประนอมก็ต้องให้ขุนนางที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลไป๋เป็นคนเสนอเรื่องนี้แทนขอรับ”

ไป๋จิ่นซิ่วมองไปทางหลี่หมิงรุ่ย “ใต้เท้าหลี่อยากเสนอตัวทำเรื่องนี้อย่างนั้นหรือ”

หลี่หมิงรุ่ยโค้งคำนับไป๋จิ่นซิ่ว “หลี่หมิงรุ่ยไม่ใช่คนมีความสามารถ ทว่า ข้าต้องการปกป้องตระกูลของตัวเอง ข้ายินดีช่วยเหลือองค์หญิงเจิ้นกั๋วอย่างเต็มที่ขอรับ”

“ดี!” ไป๋จิ่นซิ่วพยักหน้ายิ้มๆ “เช่นนั้นก็ให้ข้าได้เห็นความสามารถรอบด้านของใต้เท้าหลี่ด้วยเถิด”

“ข้าไม่ได้มีความสามารถรอบด้านหรอกขอรับ ทว่า ข้ารู้จักนิสัยของขุนนางและคนตระกูลสูงศักดิ์เหล่านี้ดี ที่พวกเขามีชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้เพราะพวกเขารู้จักเอนเอียงไปตามอำนาจราวกับไม้เลื้อยที่เกาะอยู่ตามกำแพงวังหลวง พวกเขาไม่สนใจว่าผู้ใดจะขึ้นเป็นจักรพรรดิ ขอเพียงคนผู้นั้นยื่นกำแพงให้พวกเขาได้ปีนป่ายต่อไป พวกเขาจะมีโอกาสกลับมาเติบโตและแข็งแกร่งอีกครั้ง พวกเขาไม่มีทางทำเรื่องให้ตัวเองพังพินาศลงแน่นอนขอรับ” หลี่หมิงรุ่ยมองดูท่าทีสนใจของไป๋จิ่นซิ่วจึงกล่าวออกมายิ้มๆ “แน่นอนว่าตระกูลไป๋แตกต่างออกไปขอรับ”

เพราะตระกูลไป๋ไม่ใช่คนเช่นนั้น เพราะทายาทตระกูลไป๋ทุกคนมีความสามารถที่มากล้น มีนิสัยตรงไปตรงมา ดังนั้นบุรุษตระกูลไป๋จึงมีจุดจบเช่นนี้

ทว่า เพราะตระกูลมีคุณธรรมและความเที่ยงตรงเช่นนี้ บัดนี้ตระกูลไป๋จึงสามารถทำในสิ่งที่ตระกูลอื่นทำไม่ได้

“เช่นนั้นข้าจะรอดูความสามารถของใต้เท้าหลี่ก็แล้วกัน”

สิ้นเสียงของไป๋จิ่นซิ่ว หลินคังเล่อในชุดนักรบเปื้อนฝุ่นพาแม่ทัพในชุดเกราะของต้าเหลียงคนหนึ่งวิ่งขึ้นมาทางตำหนักอย่างรีบร้อน

เมื่อหลินคังเล่อเห็นไป๋จิ่นซิ่วจึงรีบยกมือคารวะ เขามองไปทางหลี่หมิงรุ่ยที่กำลังทำความเคารพเขาแวบหนึ่ง จากนั้นจึงพาแม่ทัพในชุดเกราะของต้าเหลียงเดินเข้าไปในตำหนักใหญ่

“หลินคังเล่อและแม่ทัพหยางเวยนำทหารสามหมื่นนายตรงไปช่วยเหลือเด็กจำนวนสี่ร้อยแปดสิบคนที่หอบูชาเก้าชั้นตามคำสั่งขององค์หญิงเจิ้นกั๋วแล้วพ่ะย่ะค่ะ เมื่อชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์ไปช่วยสร้างหอบูชาเก้าชั้นและกลุ่มชาวบ้านกบฏที่มุ่งหน้าไปช่วยเหลือลูกหลานของตัวเองกลับมาทราบว่ากระหม่อมและแม่ทัพหยางเวยเป็นคนที่องค์หญิงเจิ้นกั๋วส่งไปช่วยเหลือเด็กๆ และชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นแรงงานที่หอบูชาเก้าชั้น พวกเขาต่างหันมาเข้าร่วมกับพวกเรา ตอนนี้พวกเราช่วยเหลือชาวบ้านและเด็กได้ทั้งหมดเจ็ดร้อยเก้าสิบสองคนพ่ะย่ะค่ะ”

ภายในตำหนักเงียบกริบลงทันที