War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2230
ตอนที่ 2,230 : ร้อยปีในห้วงคิดเดียว…

“ถ้ำกาลเวลายังถือเป็นมรดกที่มีค่าสูงที่สุดที่ตัวข้าเหลือทิ้งไว้ ส่วนมรดกกับสมบัติอย่างอื่นก็มิได้มีอันใดมากมายนัก เพราะข้าใช้ส่วนใหญ่ไปกับการค้นคว้าหมดสิ้นแล้ว ในถ้ำแห่งอื่นที่พอมีค่าก็เหลือเพียงหินเซียนกับศาสตราพันอาคมเซียนเท่านั้น…”

เสียงชราให้ความรู้สึกโบราณยังดังออกมาอย่างต่อเนื่อง บอกต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งให้รู้

ว่าถ้ำกาลเวลาแห่งนี้เป็นดั่งสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดภายในมรดกสถานแห่งนี้

ทันใดนั้นสายตาต้วนหลิงเทียนก็หันไปจับจ้องมองยังที่หนึ่งเบื้องหน้าไม่ไกล

ตรงนั้นปรากฏแท่นศิลาดั่งเตียงตั่งขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่

รอบแท่นศิลาดังกล่าวปรากฏอักขระโบราณมากมายสลักเอาไว้ ยังมีลวดลายประหลาดๆที่เขาเองก็ไม่อาจทำความเข้าใจได้วาดโยงไว้ดั่งวงจร เชื่อมต่ออักขระตัวแล้วตัวเล่า กลิ่นอายที่แผ่ออกจากลวดลายอักขระเหล่านี้ช่างโบราณนัก เห็นได้ชัดว่ามันดำรงอยู่ข้ามกาลเวลามาเนิ่นนานมากแล้ว…

นั่งลงบนแท่นศิลานั่น อาศัยเพียงห้วงคิดเดียวเปิดใช้งานถ้ำกาลเวลา?

ยิ่งไปกว่านั้นจากที่อาวุโสเจ้าของมรดกสถานกล่าว

ตราบใดที่ใช้หนึ่งห้วงคิดเปิดใช้งานถ้ำกาลเวลาเพื่อทำความเข้าใจเวทย์พลัง มีโอกาสที่จะแตกฉานบรรลุความเข้าใจถึงขั้นตอนไร้ตำหนิ…เวลาอาจไหลผ่านไป 10 ปี กระทั่งหลาย 10 ปี!

‘หากข้าสามารถใช้ถ้ำกาลเวลาบรรลุปฐมเวทย์กลืนกินได้ในห้วงคิดเดียว…เช่นนั้นไม่เพียงแต่พลังฝีมือของข้าจะยกระดับขึ้นก้าวใหญ่ยามเปิดใช้ แต่ข้าสามารถใช้พลังของปฐมเวทย์กลืนกินช่วยเหลือผู้อื่นยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้อีกด้วย!!’

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ลมหายใจของต้วนหลิงเทียนอดเปลี่ยนเป็นเร่งร้อนขึ้นมาไม่ได้

สามารถช่วยเหลือผู้อื่นยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณได้คืออะไรน่ะเหรอ?

นั่นหมายความว่า…

เขา ต้วนหลิงเทียน สามารถเพาะสร้างอัจฉริยะไร้ผู้ต้านที่มีรากวิญญาณสีม่วงได้ด้วยสองมือ!

คิดถึงจุดนี้แววตาที่ต้วนหลิงเทียนใช้มองไปยังแท่นศิลาก็ยิ่งลุกวาวทั้งมากล้นไปด้วยความปรารถนาถึงขีดสุด ราวกับนักล่าที่ไม่ได้พบพานเหยื่อมานาน และในที่สุดก็เห็นเหยื่ออันโอชะนอนทอดกายรอคอยอยู่ตรงหน้า!

‘จริงสิ…เกือบลืมไปแล้ว’

ครู่ต่อมาต้วนหลิงเทียนก็รู้สึกเสมือนถูกใครจับโยนลงอ่างน้ำเย็นเจี๊ยบ ลืมตาตื่นขึ้นมาทันที

ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงลำพัง…

นอกจากเขายังมีหวงเหวินจิ้งแห่งวังเซียนสัญจรด้วย!

ถึงแม้ว่าเขากับหวงเหวินจิ้งจะตกลงกันแล้วว่าถ้าหากเจออะไรที่อยากได้ เขาจะมีสิทธิ์ได้รับมันก่อน…

แต่ทว่าตอนนี้ดูเหมือนปลายทางกลับมีแค่ถ้ำกาลเวลาแห่งนี้อย่างเดียว!

แล้วนี่มันจะแบ่งกันยังไง?

ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนไม่รู้จะจัดการอย่างไร จนหันไปมองทางหวงเหวินจิ้งอย่างไม่รู้ตัวนั้นเอง

“เจ้าใช้มันเถอะ”

ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนหันไปมอง หวงเหวินจิ้งก็กล่าวตอบอกมาอย่างไม่ลังเล “เมื่อครู่หากไม่ได้เจ้าช่วยข้าไว้ ข้ามีหรือจะมายืนอยู่ตรงนี้ทั้งยังมีลมหายใจได้…”

ต้วนหลิงเทียนไม่คิดเลย

ว่าก่อนที่เขาจะทันได้พูดอะไร หวงเหวินจิ้ง ก็เป็นฝ่ายยกถ้ำกาลเวลาให้เขาใช้งานซะก่อน!

กระทั่งหวงเหวินจิ้งก็รับทราบถึงผลประโยชน์หลังใช้ถ้ำกาลเวลาแห่งนี้แล้ว แต่นางยังเลือกมอบมันให้เขาอย่างไม่ลังเล!

จังหวะนี้ต้วนหลิงเทียนอดตกใจไม่ได้ กระทั่งยังอดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวขึ้นมา

“ข้าไม่เพียแต่ช่วยเจ้า ข้ายังทำเพื่อช่วยตัวเอง…หากเจ้าตกตาย ข้าก็ไม่มีคนคอยช่วยระวังหลัง เกรงว่าคงยากจะมาถึงที่นี่ได้เช่นกัน เช่นนั้นที่ข้าช่วยเจ้าก็เหมือนกับช่วยตัวเอง…”

ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับหวงเหวินจิ้ง

และไม่รอให้นางพูดอะไร เขาก็กล่าวสืบต่อออกมาว่า

“อย่างไรก็ตามถ้ำกาลเวลาแห่งนี้สำคัญกับข้ามาก…เช่นนั้นเมื่อเจ้ายกให้ข้า ข้าย่อมไม่คิดปฏิเสธ”

“ทว่าถึงข้าไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ แต่ข้าก็ไม่คิดเอามันไปเปล่าๆ! ข้าจะให้สัญญากับเจ้าเรื่องหนึ่ง…หากข้าสามารถได้รับสิ่งที่ข้าคาดหวังจากถ้ำกาลเวลาแห่งนี้จริงๆ ข้าจะทำอะไรบางอย่างให้เจ้าเพื่อเป็นการตอบแทนแน่นอน”

ต้วนหลิงเทียนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

เขาคิดไว้แล้ว

หากเขาสามารถแตกฉานเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินจนบรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิได้จริงๆล่ะก็ เขาจะใช้มันเพื่อช่วยยกกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณของหวงเหวินจิ้งให้บรรลุถึงรากวิญญาณสีม่วง!

แน่นอนว่าเขาไม่กล้าให้สัญญากับนางตอนนี้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะสามารถตีความเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินให้บรรลุถึงขั้นตอนไร้ตำหนิจากการเข้าใช้ถ้ำกาลเวลาแห่งนี้รึเปล่า…

“ไม่จำเป็น”

หวงเหวินจิ้งที่ไม่รู้ว่าคำสัญญาที่ต้วนหลิงเทียนรับปากจะตอบแทนคืออะไร นางจึงเลือกที่จะส่ายหัวตอบปฏิเสธออกมา

หากนางรู้นางคงไม่มีวันปฏิเสธแน่!

อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนทำคล้ายกับไม่ได้ยินคำปฏิเสธนี้ของนาง เพียงก้าวอาดๆไปยังแท่นศิลาตรงหน้า

ทันใดนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นเงียบลง

“เชิญเจ้า…ข้าจะคอยเฝ้าระวังให้เจ้าเอง”

หวงเหวินจิ้งกล่าวหลังเห็นต้วนหลิงเทียนเดินไปถึงเบื้องหน้าแท่นศิลา

ต้วนหลิงเทียนที่ได้ยิน ก็หันไปมองหวงเหวินจิ้ง ด้วยสีหน้าจริงจังกล่าวออกเสียงหนักว่า

“ข้าต้วนหลิงเทียนพูดแล้วไม่คืนคำ ที่ข้าสัญญากับเจ้าสักวันข้าต้องทำตามคำพูดแน่!”

กล่าวจบต้วนหลิงเทียนก็ไม่รอคำฟังคำตอบของหวงเหวินจิ้ง เพียงขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนแท่นศิลา

เมื่อนั่งขัดสมาธิแล้วต้วนหลิงเทียนก็หลับตาลงครุ่นคิดไป

‘ไม่รู้ว่าหลังเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาแล้วข้าจะได้รับเวลาเท่าไหร่กันแน่…หากได้รับสัก 10 ปี ข้าอาจตีความเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินได้ไม่น้อย!’

‘แต่หวังว่าข้าจะได้รับเวลามากพอตีความเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินให้บรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิได้…ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งข้าจะยกระดับ ยังสามารถยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณให้ท่านพ่อกับท่านแม่ รวมถึงเสี่ยวเฟยเอ๋อได้ด้วย!’

แม้ว่าการยกระดับพรสวรรค์รากวิญญาณ ต้วนหลิงเทียนจำต้องกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณจากคนอื่นก็ตามที…

ทว่าเรื่องนี้ต้วนหลิงเทียนไม่รู้สึกกดดันอะไรเลย

เพราะสุดท้ายแล้วตอนนี้ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็ถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจยึดครอง!หากเขาต้องการกลืนพรสวรรค์รากวิญญาณ ก็มีพวกปีศาจให้เขาจัดการเยอะแยะ!!

การฆ่าปีศาจชั่วร้ายแบบนี้ ในใจเขาไม่รู้สึกผิดอะไรทั้งสิ้น!

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนขึ้นไปนั่งบ่นแท่นศิลาแล้ว หวงเหวินจิ้งก็ยืนนิ่งรอคอยอย่างเงียบงัน หากแต่นางได้แผ่สำนึกเทวะออกไปตามทางที่มาสุดกำลัง เพื่อตรวจจับความเคลื่อนไหว ราวกับจะไม่ปล่อยให้อะไรคลาดสายตานางไปเด็ดขาด!

ขณะเดียวกัน ทางต้วนหลิงเทียนก็เริ่มแผ่สำนึกเทวะออกไปโดยรอบเพื่อดูว่าจะเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาต้องทำอย่างไรกันแน่

และหลังต้วนหลิงเทียนแผ่สำนึกเทวะออกไปไม่ทันไรเขาก็เข้าใจได้ทันที

ตอนนี้เขาไม่ใช่แค่ขึ้นมานั่งในแท่นศิลาเฉยๆเท่านั้น

รอบๆแท่นบูชายังมีอาคมมากมายจารึกสลักเอาไว้

อาคมเหล่านี้ตอนแรกก็ไม่คล้ายเริ่มต้นทำงานแต่อย่างไร

แต่หากสังเกตใหดีจะพบว่า

ลวดลายทั้งอักขระเหล่านี้ มันถูกสลักจารึกด้วยกลวิธีทับซ้อนกัน จึงยากจะแลเห็นได้ชัดเจน และส่วนที่ยากมองเห็นนั้นก็เริ่มสำแดงพลังตั้งแต่เขานั่งลงแล้ว

‘เพียงห้วงคิดก็สามารถเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาได้…’

เมื่อนึกถึงเรื่องที่ชายชรากล่าวบอกก่อนหน้า ต้วนหลิงเทียนก็ลองจับสัมผัสด้วยสำนึกเทวะว่ากลไกการทำงานของมันที่แท้เป็นอย่างไร และในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังแปลกๆประการหนึ่ง

เมื่อจับสัมผัสกลิ่นอายพลังแปลกๆนั่นไปสักพัก เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังลี้ลับอีกประการหนึ่ง

กลิ่นอายพลังดังกล่าวช่างให้ความรู้สึกลี้ลับแก่ผู้คนนัก ยากที่จะหยั่งถึงว่ามันมีพลังอำนาจอันใดกันแน่

‘ขอเพียงผสานสำนึกเทวะเข้ากับพลังนั่น เพียงคิดก็สมควรเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาได้ทันทีสินะ…’

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนพอจะคาดเดาได้

‘ลองดูแล้วกัน’

เมื่อคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มแผ่สำนึกเทวะไปผสานเข้ากับพลังลึกลับดังกล่าว ก่อนที่เขาจะทุ่มสมาธิจดจ่อไปยังการตีความเวทย์พลังปฐมเวทย์กลืนกินทันที ไม่นานก็เริ่มจมจ่อมอยู่ในภวังค์ทำความเข้าใจ

ด้วยสมาธิอันแน่วแน่ ต้วนหลิงเทียนก็ดำดิ่งลงสู่ภัวงค์อย่างรวดเร็ว

เขารู้สึกเพียงว่าเขากำลังทำความเข้าใจปฐมเวทย์กลืนกินเท่านั้น

ช่วงแรกการตีความก็ราบรื่นดี

หากแต่ต่อมาก็เริ่มซับซ้อนยากเข้าใจอยู่บ้าง

ไม่นานก็ถึงจุดรอคอย ด้วยขบคิดเท่าไหร่ก็ยากจะเข้าใจ

หากแต่เขาก็ไม่สนจุดรอคอย เพียงแค่ทบทวนและตีความเรื่องเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ด้วยเหตุนี้ต้วนหลิงเทียนก็เรียกว่าอยู่ในภาวะลืมตัวตน ดำดิ่งสู่ภวังค์ฌาณ ตีความปฐมเวทย์กลืนกินอย่างใจจดจ่อ ไม่ทราบว่าสิ่งใดคือขีดจำกัดอีกต่อไป…

ยังถึงกับลืมเลือนเวลาไปแล้ว

รูปรสกลิ่นเสียงใดๆคล้ายไม่มีอยู่จริง คงเหลือเพียงการตีความปฐมเวทย์กลืนกินถ่ายเดียว

นอกจากนั้นในหัวก็ว่างเปล่าไร้สิ่งใด

และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนนั่งลงบนแท่นศิลาเปิดใช้ถ้ำกาลเวลาเพื่อตีความปฐมเวทย์กลืนกินอย่างไม่รู้เวลานั้นเอง

ด้านนอกเหล่าปีศาจที่เตรียมตัวเข้าสู่มรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรค์ที่พวกมันรู้มา ก็เริ่มฟื้นคืนสติพวกมันกล่าวสนทนากันเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆทยอยกันเข้าสู่ป่าศิลาอย่างระวัง

จากเรื่องนี้สามารถบอกได้อย่างหนึ่ง…

เวลาที่ต้วนหลิงเทียนกับหวงเหวินจิ้งใช่ฝ่าบททดสอบจนมาถึงถ้ำกาลเวลา แม้จะเหมือนยาวนาน แต่ที่จริงแล้วแสนสั้นนัก!

“ไม่คิดเลยว่าในเผ่าพันธุ์ปีศาจมนุษย์จะมีรุ่นเยาว์ที่ทรงพลังอย่างร้ายกาจถึงขนาดนี้อยู่อีก เจ้านั่นมันร้ายถึงขั้นหวงเหวินจิ้งอัจฉริยะอันดับ 1 ของเผ่าปีศาจมนุษย์ยังสู้ไม่ได้!”

“รุ่นเยาว์อันใดกันเล่า เผลอๆมันอาจเป็นตัวประหลาดเฒ่าในคราบชายหนุ่มหน้าใสก็เป็นได้!”

อาจเป็นได้…”

……

ในขณะที่พวกกมันกำลังกล่าวถึงต้วนหลิงเทียนอยู่นั้น พวกมันก็ไม่ได้รู้เลย

ว่าสิ่งที่พวกมันคิดกันว่าเป็นมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์นั้น ที่แท้เป็นมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์!

และปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์ที่ว่า…ก็ยังเป็นถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ!

ในขณะที่เหล่าปีศาจค่อยๆพากันทยอยมาถึงป่าศิลา และเริ่มเข้าสู่มรดกสถานนั้นที่เหลือไว้โดยปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์ผู้เป็นถึงครึ่งก้าวเซียนอมตะ…

บริเวณทิศเหนือของเมืองเหรินโม่เชิ่ง ปรากฏร่าง 3ร่างเหินตัดฟ้าข้ามเมือง มุ่งหน้าลงใต้มาด้วยความเร็วสูง!

สามร่างที่ว่าเป็นชายวัยกลางคน ชายชรา แล้วก็หญิงชรา

ในขณะเหินร่างลงใต้ แววตาของแต่ละคนเต็มไปด้วยความอาฆาต ยังฉายชัดถึงความเคียดแค้นถึงขีดสุด!

เป็นสายตาอาฆาตแค้นอันรุนแรงนัก! ประหนึ่งพวกมันถูกคนเข่นฆ่าบิดาถล่มมารดาลักพาตัวน้องสาวไปขายหอนางโลม!!

ภายในมรดกสถานของปรมาจารย์จารึกเซียนระดับเทียมสวรรค์

ณ สถานที่ตั้งถ้ำกาลเวลา

สำหรับหวงเหวินจิ้งแล้ว ต้วนหลิงเทียนเพียงลงไปนั่งบนแท่นศิลาได้ไม่ทันไร ทั้งคนทั้งแท่นศิลาก็ถูกแสงสีเทาปกคลุม และแสงเทานั่นก็กลืนทุกสิ่งจนหายไปจากสายตานาง!

แต่ทว่าเพียงครู่ต่อมาแสงสีเทาดังกล่าวก็สลายหายไป

ภาพต้วนหลิงเทียนนั่งบนแท่นศิลาปรากฏสู่สายตาของนางอีกครั้ง

สำหรับหวงเหวินจิ้งแล้วร่างต้วนหลิงเทียนเสมือนคลาดสายตาไปเพียงแวบเดียวเท่านั้น

“ฮ่าๆๆๆ…!!”

และพอต้วนหลิงเทียนปรากฏสู่สายตาหวงเหวินจิ้งอีกครั้ง ต้วนหลิงเทียนก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง

สาเหตุที่ไฉนต้วนหลิงเทียนระเบิดเสียงหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังแบบนั้น ไม่ใช่เพราะเสียสติอะไรไปจริงๆ แต่เป็นเพราะปฐมเวทย์กลืนกินของเขานั้น…มันถูกตีความจนบรรลุขั้นตอนไร้ตำหนิแล้ว!!

ภายใต้พลังของถ้ำกาลเวลา หนึ่งห้วงคิดของต้วนหลิงเทียนกลับผ่านพ้นไป 100 ปี!