เล่ม 1 ตอนที่ 218-2 ตบหน้า น้องชาย

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 218-2 ตบหน้า น้องชาย

จีหรูเย่ว์กับจีหว่านอวี๋เลิกผ้าม่านขึ้น ตาโตอ้าปากค้างมองตามพี่สะใภ้ใหญ่ที่โจนทะยานตามรถม้าคันนั้นไป

บนถนนมีแต่ความวุ่นวายกับข้าวของที่ล้มเทระเนระนาด

ม้าของเฉียวเวยเร็วพอ แค่ชั่วเวลาไม่นานก็ทิ้งห่างเจ้าหน้าที่ทหารเอาไว้ทางด้านหลัง นางใกล้จะตามรถม้าคันนั้นทันแล้ว แต่ชั่วขณะนั้นก็ดันมีขอทานคนหนึ่งโผล่พรวดพุ่งตรงเข้ามาจะชนกับม้าของเฉียวเวย

เฉียวเวยพลันขมวดคิ้ว กระชับดึงสายบังเหียนในมือ ม้าตัวใหญ่ถูกดึงจนขาหน้าทั้งสองข้างเชิดขึ้นตะกายอยู่กลางอากาศ ก่อนตัวจะหงายไปด้านหลัง

เฉียวเวยกระโดดออกไปด้วยปฏิกิริยาที่ว่องไวก่อนจะตีลังกาไปกับพื้น พอตัวหยุดนิ่งแล้วถึงได้ลุกขึ้นจ้องมองขอทานที่ตกใจจนอึ้งไปผู้นั้น

ขอทานคนนั้นตัวสั่นจนเกือบฉี่รดกางเกงตนเอง

เมื่อต้องมาเสียเวลาเช่นนี้ รถม้าจึงเลี้ยวเข้าถนนอื่นไปเสียแล้ว

เฉียวเวยรีบหมุนตัวเดินเข้าไปยังซอยทางขวามือ

รถม้าวิ่งกุบกับๆ อยู่ในอีกซอยหนึ่ง เฉียวเวยได้ยินเสียงเกือกม้ากับเสียงล้อรถ นางใช้ทางลัด รีบออกไปขวางหน้ารถม้าคันนั้นไว้

คนรถเห็นเป็นเฉียวเวย ดวงตาก็เบิกโพลงทันที!

เฉียวเวยมองรถม้าที่พุ่งตรงเข้ามาทางตนด้วยสายตาดุดัน นางยื่นสองมือออกไป

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป คนรถอยากจะหยุดรถก็ไม่ทันเสียแล้ว

ชายคนนั้นเห็นว่ามีสตรีรนหาที่ตายคนหนึ่งพุ่งออกมาจากทางไหนไม่ทราบ เส้นเอ็นตรงขมับของเขาบวมปูดออกมาทันที สายตาที่ดุดันและเยือกเย็นคู่นั้นดูคล้ายมีดที่พุ่งเสียบใส่หน้าผากของเขา ในใจเขาบังเกิดความหวาดหวั่นอย่างรุนแรง มีชั่วขณะหนึ่งที่เขาอยากทิ้งรถแล้วหนีไปเสีย

แต่เขาทำไม่ได้

หากถูกจับ เขามีแต่ตายกับตายเท่านั้น!

“ถอยไป! ถ้าไม่ถอยจะชนเจ้าให้ตาย!”

เขาตะคอกเสียงก้อง

เฉียวเวยไม่ขยับ สายตาเยือกเย็นประหนึ่งน้ำแข็ง

สิบเมตร เจ็ดเมตร ห้าเมตร สามเมตร…

รถม้าใกล้จะพุ่งเข้าชนเต็มไปที ชั่วขณะนั้นพลันมีเงาดำร่างหนึ่งแวบผ่านหลังเฉียวเวย ผลักเฉียวเวยออก ยื่นมือออกไปจับศีรษะม้าทั้งสองตัวเอาไว้

ด้วยแรงมหาศาลที่พุ่งชนมือของเขา ทำให้เขาถูกดันจนถอยไปหายสิบเมตร หลังจากลื่นไถลไปสิบเมตร เขาก็ดันรถม้าจนจอดสนิท

เฉียวเวยรีบตามไป

บุรุษบนรถโกรธจัด เขาปล่อยตัวสวินชิงเหยา ยื่นแขนออกมาจากหน้าต่างรถ กริชในมือพุ่งแทงไปทางเฉียวเวยอย่างดุดัน

เฉียวเวยดึงกริชของตนออกมาเช่นกัน กรีดเอากริชของอีกฝ่ายจนกลายเป็นสองแฉก

เขาเดือดดาลขึ้นในบัดดล ยื่นตัวออกมาจากหน้าต่างรถ คว้าคอเฉียวเวยเอาไว้ด้วยความดุดัน ชั่วขณะนั้นเงาใครคนหนึ่งพุ่งเข้าไปในรถเพื่อจับตัวเขา ก่อนจะโยนเขาลงกระแทกกับพื้นโดยแรง ขาเขาหักกระดูซี่โครงแตก เจ็บจนลุกขึ้นไม่ไหว

สวินชิงเหยามองชายหนุ่มที่คล้ายเป็นเทพตกลงมาจากสวรรค์ แสงอาทิตย์ต้องกระทบใบหน้าอันไร้ที่ติ สายตาเขาเรียบเย็นดั่งน้ำแข็ง แต่กลับใสแจ๋วราวกับสายน้ำ ตามตัวมีไอแห่งนักรบแผ่กระจายออกมา ใบหน้านางพลันแดงก่ำ

“เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง” ชายหนุ่มถาม

สวินชิงเหยารีบตอบว่า “ไม่… ไม่เป็นอะไร ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือ”

เวลานั้นชายหนุ่มถึงนึกได้ว่าในรถยังมีสตรีอีกนางหนึ่งอยู่ จึงขมวดคิ้วด้วยความรำคาญใจ เลิกผ้าม่านรถม้าขึ้นมองเฉียวเวย “นี่ เจ้าไม่เป็นอะไรกระมัง”

เฉียวเวยส่ายหน้าพลางยิ้ม “ไม่เป็นอะไร ขอบคุณแม่ทัพน้อยมู่มากที่ชักดาบเข้าช่วยเหลือ”

แม่ทัพน้อยมู่ส่งเสียงหึเย็นๆ “ข้าแค่ไม่อยากติดค้างน้ำใจเจ้าหรอก!”

“แผลท่านหายดีแล้วหรือ” เฉียวเวยถาม

ต้องยังไม่หายสิ เมื่อครู่ที่เข้ามาช่วยเหลือ แผลที่เย็บไว้ปริหมดแล้ว เจ็บชะมัด!

แม่ทัพน้อยมู่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาต่อว่า ตามองไปยังกริชในมือนาง ถึงแม้นางจะเก็บเข้าแขนเสื้อด้วยความรวดเร็ว แต่แค่ชั่วเวลากะพริบตาก็ทำให้เขาเห็นทุกอย่างชัดเจน หากเขาจำไม่ผิดนั่นเป็นกริชของเขา เขาให้เถ้าแก่ร้านหรงจี้เป็นรางวัล เหตุใดถึงไปอยู่ในมือนางได้

หรือว่านางไปเอามาจากเถ้าแก่ร้านหรงจี้ หรือจะซื้อมา ซื้อมาทำไมกัน เก็บหรือ

เหตุใดนางต้องเก็บของของเขา

หรือว่านางแอบมีใจให้เขา

สตรีไร้ยางอาย!

แม่ทัพน้อยมู่นางแดงก่ำ “เจ้า…เจ้าแต่งงานแล้วนะ!”

เฉียวเวยงุนงงไปหมด ประโยคก่อนหน้าบอกว่า “ข้าแค่ไม่อยากติดค้างน้ำใจเจ้า” ประโยคต่อมาเหตุใดถึงกลายเป็น “เจ้าแต่งงานแล้วนะ” ไปได้ ซ้ำยังดูไม่พอใจอีกด้วย

ไม่นานเหล่าทหารก็ตามมาทัน พวกเขาจับคนร้ายที่นอนร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น เมื่อได้รู้ว่าคนที่ถูกจับเป็นตัวประกันคือสตรีจากตระกูลจี บรรดาเจ้าหน้าที่ก็ตกใจกันยกใหญ่ เมื่อถามจนได้รู้แน่ชัดว่าแล้วเฉียวเวยกับแม่ทัพน้อยมู่เป็นใครจึงกล่าวขอบคุณแล้วขอบคุณอีก เดิมทีคิดอยากเชิญทั้งสองไปให้ปากคำ แต่ก็จนใจที่คนหนึ่งเป็นฮูหยินน้อยของตระกูลจี อีกคนหนึ่งก็เป็นขุนนางทูตจากหนานฉู่ พวกเขา “เชิญ” ใครไปไม่ได้ทั้งสิ้น จึงเพียงซักถามพวกเขาที่ตรงนั้นเท่านั้น

พวกหลี่ซื่อตามกันมาทันแล้ว พอเห็นว่าเฉียวเวยกับสวินชิงเหยาปลอดภัยไม่เป็นอะไร ทุกคนก็พากันถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก

หลี่ซื่อต่อว่าเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการจวนเจ้าเมืองไปยกใหญ่ พื้นดินใต้เท้าโอรสสวรรค์ ถึงขั้นมีนักโทษกล้าหลบหนี จวนทางการมัวทำอะไรกันอยู่ โชคดีที่ไม่เกิดเรื่องอะไร หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ใครจะรับผิดชอบไหว

เหล่าทหารได้แต่ขอโทษขอโพย พร้อมทั้งรับปากเป็นมั่นเหมาะว่าจะปิดเรื่องนี้ไว้ให้สนิท ไม่มีทางแพร่งพรายให้คนนอกรู้ว่าสตรีจากตระกูลจีเคยถูกนักโทษลักพาตัวไป

บุรุษกับสตรีนั้นต่างกัน เรือนร่างของสตรีหากถูกบุรุษแตะต้องแล้ว ต่อให้ถูกขืนใจก็ไม่อาจผ่อนปรนได้

หลี่ซื่อเอ่ยด้วยท่าทางประหลาดว่า “ถึงจะไม่ใช่สตรีของตระกูลจี แต่อย่างไรก็เป็นแขกของตระกูลจี”

เมื่อกล่าวเช่นนี้ก็เท่ากับพูดให้กระจ่างแล้ว หากวันใดเกิดเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป บอกว่าสตรีตระกูลจีถูกบุรุษแตะเนื้อต้องตัว จีหว่านอวี๋กับจีหรูเย่ว์คงไม่พ้นจากคำครหา

บุตรสาวถูกบุรุษแตะเนื้อต้องตัวโดยไม่มีสาเหตุ ถือเป็นมหันตภัยโดยแท้จริง เจินซื่อที่เมื่อครู่ยังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เวลานี้แทบอยากจะร้องไห้ให้น้ำตาเป็นสายเลือด

“มีอะไรต้องร้องไห้กัน ตัวนางไม่เป็นอะไรก็ถือว่าดีมากแล้ว! ไม่คิดเสียบ้างว่าใครกันที่เสียเวลาหยุดซื้อนั่นซื้อนี่จนเย็นย่ำ หากได้กลับเร็วหน่อยก็ใช่ว่าคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแล้วหรือ” จีหว่านอวี๋ลงจากรถม้ามาก็เบ้ปากพลางทำเสียงฮึดฮัด

จีหรูเย่ว์ตบหลังมืออีกฝ่ายแล้วทำท่าบอกให้เงียบเสีย

จีหว่านอวี๋แลบลิ้นใส่ก่อนจะเอ่ยกับนางว่า “ไปนั่งที่ห้องข้าก่อนก็แล้วกัน! ข้ามีเรื่องจะคุยกับอาสะใภ้รอง!”

จีหว่านอวี้หันไปขอตัวจีหรูเย่ว์จากหลี่ซื่อ หลี่ซื่ออนุญาตอย่างใจกว้าง ทั้งสองทำความเคารพหลี่ซื่อเสร็จก็หันไปทำความเคารพเฉียวเวย

จีหมิงซิวมักไม่อยู่บ้าน พวกนางไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กับจีหมิงซิว จึงพลอยห่างเหินกับสะใภ้ใหญ่ไปด้วย แต่เรื่องในวันนี้ทำให้พวกนางต้องมองพี่สะใภ้ใหญ่ใหม่ เท่ห์ชะมัดเลยจริงไหม!

เฉียวเวยเรียกทั้งสองไว้แล้วหยิบกล่องผ้าไหมออกมา “เปิดดูสิ”

ทั้งสองรับกล่องไปเปิดดู

ของจีหรูเย่ว์เป็นปิ่นทองฝังหยกเล่มนั้นที่นางถูกใจ ส่วนจีหว่านอวี๋เป็นต่างหูระย้าสีแดง ทั้งสองพลันอึ้งไป “พี่สะใภ้ใหญ่…”

เฉียวเวยยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอาปิ่นเสียบบนศีรษะให้จีหรูเย่ว์ แล้วเอาต่างหูใส่ให้จีหว่านอวี๋ “สวยมากทีเดียว นี่สิถึงจะเป็นคุณหนูตระกูลจี”

ทั้งสองหน้าแดงเล็กน้อย ก้มหน้างุดด้วยความเขินอายพร้อมระบายยิ้มอ่อนหวาน

พี่สะใภ้ใหญ่ไม่เพียงเท่ห์มากเท่านั้น แต่ยังเอาใจใส่ สายตาก็ดี จะแต่งงานก็ต้องแต่งกับคนอย่างพี่สะใภ้ใหญ่นี่ล่ะ!

เฉียวเวยกลับไปที่บ้านชิงเหลียน

ลานด้านหลังของบ้านชิงเหลียนมีหิมะกองสุมอยู่หนา ซาลาเปาน้อยทั้งสองคุกเข่าปั้นตุ๊กตาหิมะกันอยู่ที่พื้น หัวเข่าเปียกแฉะ บ่าวไพร่ร้อนใจกันแทบแย่ แต่เด็กทั้งสองที่เหงื่อซึมเต็มหน้า ไม่ทันรู้ตัวสักนิด

หลิวเกอร์นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นตัวเล็ก สองมืออุ้มต้าไป๋เสี่ยวไป๋ไว้ตัวละข้าง เดิมทีเมื่อคืนแค่รับปากว่าจะให้เขานอนกอดคืนหนึ่ง แต่ตอนฟ้าสว่างเขาบอกว่าเจ็บเท้า ซ้ำยังร้องไห้อยู่นาน วั่งซูกับจิ่งอวิ๋นเลยให้เขายืมเจ้าไป๋ทั้งสองตัวต่อ

เขากอดเจ้าไป๋ทั้งสองไว้ มองเพื่อนเล่นที่ล้มกลิ้งอยู่บนพื้นหิมะด้วยสายตาเย่อหยิ่ง

“เจ้าจะมาเล่นด้วยกันหรือไม่” วั่งซูถาม

หลิวเกอร์ตอบว่า “ไม่เอา ข้าเท้าเจ็บ!”

เฉียวเวยก้าวเข้าไปที่ลานด้านหลัง วั่งซูวางก้อนหิมะกลมๆ ลง แล้ววิ่งตุบตับๆ เข้าไปหา “ท่านแม่!”

เฉียวเวยอุ้มนางขึ้นมากอด

มือน้อยๆ ของวั่งซูยื่นเข้าไปในคอเสื้อของเฉียวเวย เฉียวเวยคว้ามือเย็นๆ ของบุตรสาวออกมาอย่างรวดเร็ว ตีก้นอวบแน่นน้อยๆ นั้นแล้วปล่อยให้นางไปเล่นต่อ

เฉียวเวยกอดบุตรสาวเสร็จก็กอดบุตรชาย จากนั้นจึงเดินไปหาหลิวเกอร์

หลิวเกอร์: กอดข้าสิ กอดข้าสิ กอดข้าสิ…

เฉียวเวยแกล้งหยิกขาเขา

“โอ๊ย!” หลิวเกอร์ร้องลั่น

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ยังไม่หายดีเลย”

หลิวเกอร์น้ำตาคลอ หายดีแล้ว แต่ถูกท่านหยิกจนเจ็บอีกแล้ว!

“ฮูหยินน้อย” เยียนเอ๋อร์หิ้วกล่องอาหารเข้ามาแล้วทำความเคารพเฉียวเวย “บ่าวเพิ่งมาจากห้องครัวใหญ่ บังเอิญเจอคุณชายสวินที่หน้าประตู เขาบอกว่ามีธุระอยากขอพบเจ้าค่ะ”

คุณชายสวิน? สวินสิงจือ? เขามาหาตนมีธุระอะไร

เฉียวเวยบอกอย่างไม่ใส่ใจว่า “ให้เขาเข้ามา”

สวินสิงจือเข้ามาในเรือน พอเห็นเฉียวเวย นัยน์ตามีแววอึ้งงันปรากฏให้เห็น เขากดความตกตะลึงของตนเอาไว้ ประสานมือทำความเคารพเฉียวเวย “ฮูหยินน้อย”

เฉียวเวยเอ่ยอย่างให้เกียรติ “คุณชายสวินหาข้ามีธุระอะไรหรือ”

สวินสิงจือตอบอย่างมีมารยาทว่า “ที่ข้ามาเพราะอยากขอบคุณฮูหยินน้อยที่ช่วยเหยาเอ๋อร์”

เดิมทีอยากจะบอกว่าคนที่ช่วยไม่ใช่ข้า เป็นแม่ทัพน้อยมู่ แต่ก็กลัวว่าหากตนพูดออกไปเช่นนั้น คนบ้านนี้จะปีนตามไม้ขอให้นางพาพวกเขาไปขอบคุณแม่ทัพน้อยมู่ด้วยตนเองอีก เช่นนั้นคงขายหน้าไปถึงนอกแคว้นแน่

เฉียวเวยยิ้มบางๆ “เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

สวินสิงจือยิ้มๆ ก่อนเอ่ยต่อว่า “นอกจากเรื่องนี้แล้ว ข้ายังอยากมาเยี่ยมหลิวเกอร์ด้วย”

หลิวเกอร์ที่อยู่ข้างๆ เงยหน้าขึ้นมองมาทางเขาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่

เขาระบายยิ้มอบอุ่น “หลิวเกอร์ ข้าเป็นท่านน้าของเจ้า”

หลิวเกอร์ “อ้อ”

เมื่อเห็นหลิวเกอร์ไม่อยากจะสนใจตนเท่าไร เขาก็โน้มตัวลงไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านแม่เจ้าคงเคยเอ่ยถึงข้ากับเจ้ากระมัง”

หลิวเกอร์ตอบไปด้วยความสัตย์ซื่อว่า “ไม่เคยเลย”

สวินสิงจือกระแอมไอด้วยความประดักประเดิด “อาจจะเคยเอ่ยถึง แต่เจ้าลืมไปแล้ว”

หลิวเกอร์ “อ้อ”

สวินสิงจือมองเจ้าไป๋ทั้งสองที่หลิวเกอร์อุ้มอยู่ “สุนัขที่เจ้าเลี้ยงหรือ เลี้ยงถึงสองตัวเสียด้วย”

เจ้าไป๋ทั้งสองพลันหน้าบึ้ง เจ้าสิเป็นสุนัข! บ้านเจ้าเป็นสุนัขกันหมดนั่นแหละ!

หลิวเกอร์เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจเต็มเปี่ยมว่า “ตัวนี้คือต้าไป๋ ตัวนี้คือเสี่ยวไป๋ พวกมันเป็นเพียงพอน”

“ที่แท้ก็เพียงพอนนี่เอง” สวินสิงจือเห็นเพียงพอนทั้งสองตัวดูใจดี เลยยื่นมือไปลูบศีรษะตัวหนึ่ง

หากเขาลูบศีรษะเสี่ยวไป๋ก็คงแล้วไป แต่นี่ดันไปลูกหัวต้าไป๋เสียได้

แค่ถูกมองว่าเป็นสุนัขก็ทำให้ต้าไป๋ไม่พอใจมากแล้ว นี่ยังจะกล้ามาลูบหัวมันอีก รนหาที่ตายชัดๆ!

เพียงพอนเมฆาที่ดุร้ายจึงอ้าปากกว้างแล้วงับมือเค็มๆ ของอีกฝ่ายทันที!

สุสานตระกูลจีที่แห้งเย็น ลมเหนือพัดโหม คนที่อยู่เฝ้าเวรดึกสองคนจุดโคมไฟเดินไปมาอยู่ในสุสาน

คนเฝ้ายามที่รูปร่างสูงเป่าลมใส่ฝ่ามือ “ฮู่ๆๆ เรียกออกมาตอนหนาวขนาดนี้ ทรมานกันจริงๆ”

คนตัวเล็กบอกว่า “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้มีคนมาจากบ้านตระกูลจีเล่า พวกเราต้องเก็บกวาดข้างในให้สะอาดเสียแล้ว”

คนร่างสูงบอกว่า “ได้ยินว่ามาเฝ้าสุสานให้เหล่าไท่เหยีย? จะเป็นใครกัน”

คนร่างเล็กหนาวจนตัวสั่น “จะสนใจไปไยว่าเป็นใคร ถ้าเข้าไปก็อย่าคิดจะได้ออกมาอีกเลย พวกเราสนใจแค่ส่งเข้าไปก็พอ จะเป็นหรือตายไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว”

ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกันนั้นก็เดินมาถึงหน้าสุสานขนาดมโหฬาร สุสานตระกูลจีถึงแม้จะอยู่ใต้ดิน แต่เหนือพื้นดินขึ้นมายังมีวิหารที่ค่อนข้างใหญ่โตขนาดหนึ่งชั้นตั้งอยู่ ภายในกว้างขวาง ไม่มีอะไรอยู่ทั้งสิ้น

คนร่างสูงถือกุญแจเปิดประตูวิหารเข้าไป กลิ่นเก่าแก่หอบหนึ่งพุ่งเข้าใส่หน้า ภายในวิหารทั้งสูงทั้งใหญ่ ทั้งสองยืนอยู่ข้างในดูเล็กราวกับมด

ทั้งสองคำนับรูปเหมือนของบรรพบุรุษที่อยู่ภายในโถงวิหารด้วยความศรัทธา จากนั้นก็เลี้ยวขวาไปผลักเปิดประตู กดเปิดกลไก แล้วที่พื้นก็ปรากฏทางเดินเส้นหนึ่งให้เห็น ทั้งสองไต่ตามบันไดนั้นลงไปยังตำหนักใต้ดินด้านในที่ใหญ่โตเสียยิ่งกว่าวิหารด้านบน

จุดนี้ถือเป็นสุสานของตระกูลจีแล้ว

ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลจีทุกคนที่มีสิทธิ์ได้ฝังอยู่ในสุสานของตระกูลจี บุตรสายรองและคนที่ทำผิดมหันต์ เมื่อตายแล้วไม่อาจได้เข้ามายังสุสานแห่งนี้

องค์หญิงเจาหมิงก็ไม่ได้นำมาฝังในสุสานตระกูลจีเช่นกัน ฮ่องเต้เห็นใจที่นางต้องลำบากเป็นภรรยาคนธรรมดา จึงสร้างสุสานองค์หญิงให้นางไว้ต่างหาก แต่คุณชายรองซึ่งเป็นบุตรขององค์หญิงเจาหมิงคนที่เสียชีวิตตั้งแต่กำเนิดถูกฝังอยู่ที่นี่

ทั้งสองตรวจตราสุสานทุกหลุมรอบหนึ่งตามปกติ ตอนเดินผ่านสุสานขององค์ชายรอง ทั้งสองได้ยินเสียงประหลาด

คนร่างสูงพลันขนลุก “เสียงอะไรน่ะ”

คนร่างเล็กเขยิบเข้าไปตั้งใจฟัง “เหมือนเป็นเสียงหนูนะ”

ทั้งสองผลักประตูหินเข้าไปให้ห้องสุสาน

เสียงจี๊ดๆ ของหนูดังมากขึ้น มาจากโลงศพคุณชายรอง

ทั้งสองตกใจไม่น้อย โลงศพของคุณชายรองมีหนูเข้าไป เช่นนี้จะทำอย่างไรดี

“ไล่ ไล่ออกมา?” คนตัวเล็กถาม

คนตัวสูงเอ่ยด้วยความหวาดหวั่นว่า “จะเปิดโลงศพซี้ซั้วไม่ได้นะ…”

คนตัวเล็กบอกว่า “แต่ถ้ามันกัดร่างคุณชายรองจนเสียหาย พวกเราก็มีโทษถึงตายเหมือนกันนะ!”

ทั้งสองลังเลกันอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะจับหนูในโลงออกมาก่อน

ทั้งสองช่วยกันดันฝาโลงหินออก แต่ที่ทำให้ทั้งสองตกใจเป็นที่ยิ่งก็คือ ตัวหนูน่ะเห็นแล้ว แต่ศพของคุณชายรองเล่า? ศพของคุณชายรองไปอยู่ที่ใด!