บทที่ 715 แม่สามีพบลูกสะใภ้

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 715 แม่สามีพบลูกสะใภ้

ใบหน้าครึ่งหนึ่งของหญิงผู้นั้นคว่ำลงกับพื้น โชคดีที่โรงละครเทียนเซียงตั้งเพิงไว้หน้าโรงละครและปูพรมไว้บนพื้น ทำให้พื้นไม่ร้อนและไม่แข็งจนเกินไป มิเช่นนั้นป่านนี้คงจะบาดเจ็บหรือไหม้เกรียมเป็นแน่

สวีเฟิ่งเซียนเดินเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงแล้วใช้มือปัดผมที่แก้มของนางออก

เมื่อเห็นครึ่งใบหน้าด้านข้างของหญิงผู้นั้นอย่างชัดเจน สวีเฟิ่งเซียนถึงกับสูดหายใจเฮือกด้วยความตกตะลึง

ตาเถร นี่นางฟ้าตกสวรรค์มาหรืออย่างไร

ข้าเปิดหอนางโลมมาหลายปีแล้ว รวมกับประสบการณ์จากโรงละครอีกหลายปี ไม่เคยเห็นความงามเช่นนี้มาก่อนเลย

เพียงแต่เสื้อผ้าดูธรรมดาไปหน่อย…

แถมยังแต่งตัวแบบหญิงออกเรือนอีกด้วย

ถ้าไม่ใช่สาวพรหมจรรย์ จะต้องเสียเปรียบเรื่องราคา

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่มีใครปฏิเสธความงามของนาง บางคนชอบหญิงที่เป็นผู้ใหญ่และมีเสน่ห์

“พาตัวเข้าไป!” สวีเฟิ่งเซียนบอกกับสาวใช้

“เจ้าค่ะ”

สาวใช้คนสนิทนามว่าหยินซิ่งเรียกบ่าวผู้ชายร่างกำยำหลายคนมาอุ้มหญิงผู้นั้นเข้าไปในห้องโถงใหญ่

ยามนี้ชั้นสองเต็มแล้ว จึงต้องหามไปยังห้องโถงเล็กๆ ด้านหลังก่อน

กู้เฉิงเฟิงเพิ่งกลับจากข้างนอก ม้าหยุดที่โรงเก็บม้าข้างท้ายเรือน เขาเดินเข้าทางประตูหลังมา เหลือบเห็นสาวใช้และบ่าวของโรงละครเทียนเซียงกำลังอุ้มหญิงคนหนึ่งที่แต่งกายแบบชาวบ้าน

เขาขมวดคิ้ว “หยุดก่อน”

ตอนนี้เขาเป็นดาวเด่นของโรงละครเทียนเซียง แถมยังมี “พรรคพวก” เก่งๆ คอยหนุนหลังอยู่ แม้แต่สวีเฟิ่งเซียนก็ไม่กล้าต่อกรกับเขา

หยินซิ่งและคนอื่นๆ หัวเราะเจื่อนแล้วหยุดลง

หยินซิ่งยิ้มทักทาย “ท่านชายฉัง”

เซียวเหิงยืมชื่อของหลงอี กู้เฉิงเฟิงยืมชื่อของฉังจิ่ง ล้วนแต่ไม่ใช่ชื่อที่ดีทั้งสิ้น

กู้เฉิงเฟิงเหลือบมองหญิงผู้นั้นที่ถูกบ่าวสาวอุ้มมา มิน่าละสวีเฟิ่งเซียนถึงได้ใจดีนัก เก็บหญิงชาวไร่ชาวนามาง่ายๆ ที่ไหนได้เป็นเพราะหญิงงามนี่เอง

หยินซิ่งหัวเราะเจื่อนแล้วอธิบาย “ท่านหญิงผู้นี้หมดสติอยู่ที่หน้าโรงละครเทียนเซียง แม่นางสวีเป็นห่วง จึงให้บ่าวสาวอุ้มหญิงผู้นี้เข้ามาในโรงละคร เพื่อให้นางพักฟื้นก่อนเจ้าค่ะ”

กู้เฉิงเฟิงถามเสียงเย้ยหยัน “เหอะ เกรงว่าสวีเฟิ่งเซียนจะบังคับคนดีๆ ให้มาเป็นนางโลมเสียมากกว่า”

หยินซิ่งไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไร

ท้ายที่สุดแล้ว นางหญิงของนางก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ

“คนผู้นี้ ข้าขอก็แล้วกัน”

ให้สวีเฟิ่งเซียนปล่อยตัวคนไป สวีเฟิ่งเซียนคงไม่ยอมแน่ แต่เขาเอาคนไปอยู่ในคณะละครของตัวเอง สวีเฟิ่งเซียนน่าจะไม่มีปัญหา

ก็อย่างว่าแหละหนา ตอนนี้โรงละครเทียนเซียงก็อยู่ได้ด้วยละครของเขา

“เอ่อ…” หยินซิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ก็ได้เจ้าค่ะ ข้าจะไปบอกนายหญิงก่อน แต่ก็เป็นไปได้ว่าคนผู้นี้จะร้องเพลงไม่เป็นนะเจ้าคะ”

กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างไม่ยอมให้ปฏิเสธ “จะร้องเพลงหรือไม่นั้นข้าเป็นคนตัดสินใจ เมื่อข้ายังไม่ได้ลองให้นางร้องเพลงก่อน ก็อย่าไปยุ่งกับนาง”

ข้อเรียกร้องนี้ก็ไม่มากเกินไป เดี๋ยวข้าจะพานางหญิงมาฟังนางร้องเพลงด้วยกัน หากนางร้องเพลงไม่ได้ ก็ค่อยเอาไปให้ไปรับแขกก็ไม่สาย

หยินซิ่งสั่งให้สาวใช้อุ้มร่างของหญิงผู้นั้นเข้าไปในห้องส่วนตัว

กู้เฉิงเฟิงมีแสดงคืนนี้ เขาต้องเตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้แล้ว

เมื่อเขาจากไป หยินซิ่งก็รีบสั่งบ่าวสาวสี่คนในห้อง “พวกเจ้าทั้งหลาย ดูแลนางให้ดี ถ้านางตื่นขึ้นมาก็อย่าลืมมารายงานข้า อย่าปล่อยให้นางหนีไป!”

ถ้านางหนีไป ข้าจะถลกหนังพวกเจ้าแน่!

บ่าวสาวคนหนึ่งตบหน้าอกพลางเอ่ย “แม่นางหยินซิ่ง วางใจเถอะ พวกข้าจะดูแลนางให้ดี ไม่ยอมให้นางก้าวออกจากห้องแม้แต่ก้าวเดียว!”

….

ยามเย็น สำนักบัณฑิตเทียนฉงเลิกเรียน

จงติ่งและโจวถงพร้อมเพื่อนอีกแปดคน รวมถึงกู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่น พบกันที่ประตูสำนัก

พวกเขาเตรียมรถม้าไว้เรียบร้อย ทั้งหมดสามคัน

ที่เหลืออีกหกคน แบ่งนั่งรถม้าคันละสามคน จงติ่ง โจวถง กู้เจียว และกู้เสี่ยวซุ่นนั่งรถม้าคันเดียวกัน

ขณะที่โจวถงยืนอยู่ข้างรถม้า บอกให้กู้เจียวและกู้เสี่ยวซุ่นขึ้นรถม้าก่อนนั้น หยวนเซี่ยวและจ้าวเวยก็ถือกระเป๋าหนังสือออกมา

หยวนเซี่ยวอยู่ห้องหมิงเฟิง จ้าวเวยเรียนห้องเดียวกันกับกู้เสี่ยวซุ่น ทั้งคู่อยู่ในห้องหมิงเย่ว์

เมื่อเห็นกู้เจียวและคนอื่นๆ เตรียมตัวออกเดินทาง ทั้งคู่ก็เดินมาหากู้เจียวโดยไม่ได้นัดหมาย

หยวนเซี่ยวถาม “ลิ่วหลัง เจ้าไปไหนกันหรือ”

กู้เจียวตอบอย่างเปิดเผย “ไปโรงละครเทียนเซียง”

หยวนเซี่ยวตกใจ “โรง..โรงละครเทียนเซียงหรือ เจ้าจะไปสถานที่แบบนั้นได้อย่างไร”

ไม่สิ หากเจ้าหมอนี่ไปที่แบบนั้นก็ไม่เห็นแปลกอะไรนี่

เขามาเมืองเซิ่งตูวันแรกก็ไปเยี่ยมชมหอนางโลมเลย

หยวนเซี่ยวเอ่ยน้ำเสียงเศร้า “ครั้งก่อนไม่ใช่ตกลงกันแล้วหรือว่าถ้าไปเล่นสนุกอีกจะต้องพาพวกข้าไปด้วย”

กู้เจียวคิดในใจ ข้าก็ไม่ได้ไปเล่นสนุกเสียหน่อย

จงติ่งกระแอมให้โล่งคอพลางเอ่ย “เอ่อ นั่นเป็นโรงละคร ไม่ใช่หอนางโลม!”

หยวนเซี่ยวฮึดฮัดก่อนจะเอ่ย “ก็เหมือนกันแหละน่า”

เมืองเซิ่งตูก็มีโรงละครที่แสดงแต่ละคร แต่ที่นั่นไม่ใช่โรงละครเทียนเซียง

โรงละครเทียนเซียงเดิมทีเป็นหอนางโลม เพียงแค่เปลี่ยนป้ายชื่อและรับคณะละครมาแสดงต่อเท่านั้น

“เจ้า… เจ้าจะไปไหม” หยวนเซี่ยวดึงแขนจ้าวเวย พยายามหาพันธมิตรให้ตัวเอง

จ้าวเวยเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “นี่ไม่เหมาะกระมัก พวกเราล้วนเป็นบัณฑิต ไม่ควรไปสุมหัวในสถานที่อบายมุข” เขาเอ่ยไปพลางเปลี่ยนเรื่อง “แต่ลิ่วหลังยังเด็กและไม่คุ้นเคยกับเมืองนี้ ในเมืองเขาดึงดันจะไปให้ได้ พวกเราก็ต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดี”

กู้เจียว “…”

คนแซ่จ้าวนี่ดูเหมือนเจ้าเองก็มิใช่คนเซิ่งตูนะ เจ้าเป็นคนจี้ตูแคว้นเยี่ยนมิใช่รึ

จ้าวเวยเอ่ยกับหยวนเซี่ยวด้วยน้ำเสียงลังเล “เจ้า เจ้าเป็นคนเซิ่งตู เจ้าเป็นเจ้าภาพสิ”

หยวนเซี่ยวยืดหน้าอกออก “เป็นเจ้าภาพก็เป็นเจ้าภาพ!”

โจวถงและจงติ่งไม่อาจคัดค้านการเข้าร่วมของพวกเขา จึงต้องไปขึ้นรถม้าอีกสองคัน

เมื่อขึ้นรถม้าแล้ว จ้าวเว่ยมองกู้เสี่ยวซุ่นด้วยสายตาแปลกประหลาดก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้าก็ไปหรือ”

กู้เสี่ยวซุ่นพยักหน้า “ใช่แล้ว ลิ่วหลังบอกว่าจะพาข้าไปเปิดหูเปิดตาน่ะ”

หยวนเซี่ยวตบไหล่เขาอย่างมีความหมาย “เพื่อนร่วมแค้ว้ยของลิ่วหลังก็คือเพื่อนร่วมแคว้นของข้า ทุกอย่างข้าจัดการเอง รับรองไม่ผิดหวัง!”

กู้เสี่ยวซุ่นสีหน้างุนงง ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล

รถม้าแล่นไปสักพัก จ้าวเวยก็เอ่ยเสียงเบาขึ้นมา “เอ่อ พวกเจ้าได้ยินข่าวไหมว่าตระกูลหันเกิดเรื่องแล้ว”

หยวนเซี่ยวถาม “ตระกูลหัน ตระกูลหันของหันเช่อหรือ”

ตระกูลหันมีบุคคลสำคัญหลายคน เช่น หันกุ้ยเฟย นายใหญ่หัน แม่ทัพหัน รองเสนาบดีหัน เป็นต้น แต่พวกเขาเพิ่งจะพบเจอหันเช่อในการแข่งม้าเท่านั้น ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเขา

จ้าวเวยพยักหน้า “ใช่แล้ว เรื่องเกิดขึ้นที่บ้านของหันเช่อ บ่ายวานข้าช่วยอาจารย์เอากระดาษคำตอบไปเก็บในห้องเก็บของ เมื่อเดินผ่านห้องเก็บของของเจ้าสำนัก ก็ได้ยินเขากับอาจารย์อู๋และอาจารย์คนอื่นๆ กำลังพูดถึงเรื่องตระกูลหัน”

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” หยวนเซี่ยวเป็นคนใจร้อน เขาทนไม่ได้กับท่าทีเนิบนาบของจ้าวเวย

จ้าวเวยเอ่ยอย่างระมัดระวัง “ใต้เท้ารองตระกูลหันตายแล้ว”

หยวนเซี่ยวเป็นคนเมืองเซิ่งตู เขาได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตระกูลหัน เขาคิดในหัว “ลุงรองของหันเช่อหรือ…”

จ้าวเวยตอบ “ดูเหมือนจะใช่”

หยวนเซี่ยวเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “เขาเป็นอะไร บอกข้าเร็ว อย่าถามคำตอบคำจะได้ไหม ข้าจะชักตายอยู่แล้ว!”

จ้าวเวยยังคงเอ่ยอย่างเนิบนาบ “เรื่องเกินขึ้นเมื่อคืนนี้เอง ข้าได้ยินเจ้าสำนักเฉินบอกว่าพระนัดดาพระองค์โตกลับมาในเมืองเซิ่งตูแล้ว ใต้เท้ารองตระกูลหันลอบสังหารพระนัดดาในเวลาเที่ยงคืน ผลปรากฏว่าถูกฮ่องเต้เห็นเข้า ทำให้ฮ่องเต้กริ้วมาก จึงสั่งประหารชีวิตเขา”

ความจริงแล้วไม่ใช่ฮ่องเต้ที่สั่งประหารชีวิต แต่คือนายใหญ่หันที่ตัดไฟแต่ต้นลม กำจัดคนในบ้าน

เพียงแต่ข่าวที่แพร่กระจายไปอาจมีความคลาดเคลื่อนได้บ้าง

กู้เจียวฟังอย่างตั้งใจ

พระนัดดาที่ลือกันกลับมาในเมืองเซิ่งตูแล้วหรือ

แล้วคนตระกูลหันบ้าบิ่นปานใด ถึงกล้าไปลอบสังหารเขาถึงในวังหลวง

บ้าไปแล้วหรือ

นางรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสงสัยยิ่งนัก บางทีความจริงอาจไม่เหมือนกับที่จ้าวเวยรู้

หยวนเซี่ยวรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที “ลอบสังหารพระนัดดาเป็นความผิดร้ายแรง ฮ่องเต้ไม่ได้ลงโทษตระกูลหันเลยหรือ”

จ้าวเวยตอบ “ลงโทษแล้ว ตระกูลหันสูญเสียเหมืองหนึ่งแห่งและตำแหน่งของรองเสนาบดีก็ถูกปลดด้วย”

เหมืองคือรากฐานของตระกูลหัน การสูญเสียเหมืองหนึ่งแห่งก็เหมือนขาดแขนไปข้างหนึ่ง

พวกเขาไม่รู้ว่าหันหย่งมีความสามารถแค่ไหน และพวกเขาไม่รู้ด้วยว่าหันหย่งทนผ่านบทลงโทษสี่สิบเก้าอย่างได้ หันหย่งต่างหากที่เป็นมือขวาและมือซ้ายที่แท้จริงของตระกูลหัน

“พวกเจ้าเคยเห็นพระนัดดาไหม เขาหน้าตาเป็นอย่างไร” กู้เจียวถามขึ้น

จ้าวเวยส่ายหัว “ข้าเป็นชาวเมืองฉีตู ถามหยวนเซี่ยวเถอะ”

หยวนเซี่ยวเอ่ย “ข้าก็ไม่เคยเห็นพระนัดดา เขาจากเมืองเซิ่งตูไปตั้งแต่ยังเล็ก ไปอยู่ที่สุสานกษัตริย์กับองค์หญิง เขากลับมาทุกๆ สองปี แต่ก็กลับมาที่ตำหนักกั๋วซือเท่านั้น คนภายนอกไม่มีทางได้พบเขาเลย”

“เขาชื่ออะไร” กู้เจียวถาม

“ซ่างกวานชิ่ง” หยวนเซี่ยวเอ่ย

“ชิ่ง”

กู้เจียวตกอยู่ในภวังค์

ระหว่างที่พูดคุยกันนั้น รถม้าก็มาถึงโรงละครเทียนเซียง

รถม้าของโจวถงและจงติ่งกับกลุ่มคนของพวกเขาอยู่ข้างหน้า พวกเขาจึงลงจากรถก่อน

โจวถงรีบกระโดดลงจากรถม้า เดินมาหากู้เจียว

“ลิ่วหลัง!”

เขาเปิดม่านรถม้าให้กู้เจียว

หยวนเซี่ยวเอามือของเขาออก ถอนหายใจฮึดฮัด “เจ้าถึงกับต้องมาเปิดม่านให้เชียวหรือ”

โจวถงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าเป็นสหายของลิ่วหลัง! ข้าจะนั่งแถวหน้าของเขา!”

หยวนเซี่ยวหัวเราะ “ข้ากับลิ่วหลังเคยลงสนามแข่งด้วยกัน! สนามแข่งเหมือนสนามรบ พวกเราก็คือสหายร่วมศึก!”

มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน!

โจวถงโต้เถียงแพ้ หน้าดำคล้ำเครียดในทันที

กู้เจียวลงจากรถม้า แต่ไม่ได้สนใจใครเลย นางปล่อยให้กู้เสี่ยวซุ่นตามพวกเขาไปก่อน นางขึ้นไปที่ชั้นสองเพื่อหากู้เฉิงเฟิง

แต่กู้เฉิงเฟิงไม่ได้อยู่ในห้อง เขาลงไปที่ชั้นล่างที่หลังเวทีเพื่อเตรียมการแสดงที่จะขึ้นแสดงในไม่ช้า

กู้เจียวลูบคาง ลังเลว่านางจะตรงไปหากู้เฉิงเฟิงเลยดีไหม หรือว่า…

ช่างมันเถอะ

กู้เจียวเดินจากไป

กระนั้นนางก็ไม่ได้กลับไปที่ห้องโถงทันที นางไปยังห้องเก็บของเล็กๆ ท้ายเรือน

ห้องเก็บของเล็กๆ ตั้งอยู่ในมุมท้ายเรือน เป็นห้องที่เงียบสงบที่สุด ห้องข้างๆ เป็นห้องชั่วคราวสำหรับพักอาศัย ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะถูกสวีเฟิ่งเซียนใช้เพื่อกักขังนักแสดงหรือหญิงสาวที่มีที่มาไม่แน่ชัด

สวีเฟิ่งเซียนผู้นี้ทำการใดมิเคยนึกสนวิธีการ แต่ก็ต้องยอมรับว่านางมีความสามารถจริง

สวีเฟิ่งเซียนมีกระปุกทองคำเล็กๆ ใบหนึ่ง สิ่งนี้ได้มาจากการเอาเปรียบนักแสดงและหญิงสาวทั้งหลาย กู้เจียวเคยเห็นนางซ่อนมันไว้ใต้ต้นไทรข้างห้องเก็บของ

กู้เจียวหมายตากระปุกทองคำของสวีเฟิ่งเซียนมานานแล้ว

ช่วงนี้มีลูกค้าเยอะยิ่งนัก สวีเฟิ่งเซียนไม่มีเวลาดูแลหลังบ้าน กู้เจียวจึงคิดจะขุดทองคำของนางออกมา

สวีเฟิ่งเซียนเป็นคนทำการรอบคอบ เมื่อขุดไปแล้ว สีของพื้นดินจะแตกต่างจากที่ไม่เคยขุด ดังนั้นสวีเฟิ่งเซียนจึงปลูกสวนดอกไม้เล็กๆ ที่นี่ และพรวนดินเป็นครั้งคราว

จนดูไม่ออกเลยว่าเพิ่งขุดที่ไหน

กู้เจียวไม่สนใจ นางขุดจากตั้งแต่หัวจรดท้าย นางไม่เชื่อว่าจะหาไม่พบ

กู้เจียวดึงกริชออกมา เริ่มขุดดินอย่างว่องไว นางแปลงร่างตัวเองเป็นรถขุดขนาดเล็ก

ขุดหลุมที่หนึ่ง ไม่พบสิ่งใด

ขุดอีกหลุมหนึ่ง ก็ไม่เห็นอะไรเช่นกัน

กู้เจียวไม่เชื่อโชคลาง เท้าที่กำลังจะชาของนางขยับไปด้านข้าง ยังคงขุดต่อไป

นางขุดไปขุดมา รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา

ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองนางอยู่

นางแปลกใจจนหันกลับมา ทันใดนั้น นางก็เห็นหญิงผู้หนึ่งแต่งกายแบบหญิงชาวบ้าน ทว่างามจนน่าทึ่ง

หญิงผู้นั้นนั่งย่อลงกับพื้น มือซ้ายโอบครึ่งหนึ่งของแตงโมลูกใหญ่สีแดงที่ถูกแช่เย็นไว้ มือขวากำช้อนทองเหลืองไว้

กู้เจียวกำลังขุดดินอยู่ ส่วนนางกำลังคว้านแตงโม

นางกัดแก้มเคี้ยวแตงโมอย่างเอร็ดอร่อย ขณะเดียวกันก็จับจ้องกู้เจียวขุดดินไม่วางตา

กู้เจียว “…”

ณสำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน

เซียวเหิงออกจากหอหลิงหลง และเดินทางไปยังสำนักบัณฑิตหลิงโป

เขาไปรับจิ้งคงที่เพิ่งเลิกเรียน และพาเขาไปเรียนพิเศษกับอาจารย์เฉิงต่อ

เด็กที่มาเรียนพิเศษในวันนี้ นอกจากจิ้งคงแล้ว ยังมีเพื่อนร่วมโต๊ะคนใหม่ของเขาคือองค์หญิงน้อย

เซียวเหิงเขียนบนกระดาษ “รบกวนอาจารย์เฉิงด้วย ข้าอาจจะมารับเขาช้าหน่อย”

อาจารย์เฉิงยิ้มก่อนจะตอบ “ไม่เป็นไร ข้าจะพาเขาไปกินข้าวเย็นเอง”

หลังจากลาอาจารย์เฉิง เซียวเหิงก็ขึ้นรถม้าเพื่อเดินทาง

สารถีมองไปรอบๆ แล้วถามเบาๆ “ท่านชาย เราจะไปไหนหรือขอรับ”

“ไปเมืองชั้นนอก” เซียวเหิงตอบ

สารถีอึ้งไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามเบาๆ “ท่านชาย ช่วงนี้มีใครคอยจับตามองเราอยู่หรือไม่”

เซียวเหิงถูกตระกูลหันจับตามองอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงไม่อยากไปไหน กลัวว่าตระกูลหันจะสืบพบความสัมพันธ์ของเขากับกู้เจียว

แต่ตระกูลหันก็เกิดเรื่องใหญ่ในวันนี้

ท่านชายใหญ่หันสั่งให้ถอนกำลังคนทั้งหมดที่คอยเฝ้าสะกดรอยตาม

และเหตุผลที่ตระกูลหันเกิดเรื่องใหญ่ก็เพราะใต้เท้ารองหันลอบสังหารพระนัดดา

พระนัดดา…

“พระนัดดา…”

นี่คือคำเอ่ยที่จางเต๋อเฉวียนตะโกนออกมาเมื่อคืนนี้

จางเต๋อเฉวียนกำลังเรียกใคร

พระนัดดาอยู่ใกล้ๆ ตอนนั้นหรือ

เขาถูกลอบสังหารด้วยหรือ

หรือว่า…

เซียวเหิงไม่กล้าคิดต่อไป

เขาจำเป็นต้องรีบสืบให้ได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น เขาต้องการคำตอบ

สารถีถามเบาๆ “ท่านชาย เราจะไปที่ไหนของเมืองชั้นนอกขอรับ”

เซียวเหิงตอบด้วยสายตาลึกซึ้ง “โรงละครเทียนเซียง”