บทที่ 891 เทียบไม่ได้กับบ้านใหญ่

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 891 เทียบไม่ได้กับบ้านใหญ่

บทที่ 891 เทียบไม่ได้กับบ้านใหญ่

ทุกครั้งที่เห็นวันส่งท้ายปีเก่า จ้าวสวิ่นจะกลับบ้านใหญ่หนึ่งครั้งหลังจากรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน และจะกลับมาตอนเที่ยงวันแรกของปีใหม่

หงซื่อรู้สึกภาคภูมิใจกับมันเสมอ โดยคิดเสมอว่าไม่ว่าจ้าวสวิ่นจะอยู่ที่ใด ที่นั้นจะคือบ้านตระกูลจ้าว

ทว่าครั้งนี้ดูเหมือนว่านางจะไม่สามารถแข่งขันกับฮูหยินใหญ่ได้ นางไม่สามารถต่อสู้กับจ้าวสวิ่นได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจ้าวสวิ่น เขาสานความฝันอันงดงามให้นางมากนานนับสิบปี ปล่อยให้นางคาดหวังว่า ตนเองจะกลายเป็นฮูหยินจ้าวได้ในสักวัน และกว่าจะก้าวไปถึงจุดนั้น มันก็กินเวลามานานเกือบยี่สิบปี

หงซื่อทอดกายทิ้งไว้ในกำมือของชายผู้หนึ่ง และได้แต่หลอกตัวเอง…

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญที่สุด สิ่งที่เขานึกถึงที่สุดก็ยังเป็นบ้านใหญ่

ยังคงเป็นจ้าวจื่อชงที่จะสืบทอดตระกูลจ้าวในอนาคต

แม้แต่ภรรยาในอนาคตก็ยังเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้จ้าวจื่อชง

หงซื่อซวนเซถอยหลังไปสองก้าว สาวใช้ที่ถือถาดอยู่ข้าง ๆ เห็นว่าฮูหยินของตนกำลังจะล้มลง จึงรีบรุบขึ้นหน้าประคองนางไว้

แต่ใครจะคิดว่าหงซื่อเปรียบดังวิญญาณร้ายสิงอยู่ในร่าง มีคนแตะต้องตนเอง ก็ผลักอีกฝ่ายทันควัน สาวใช้กรีดร้องด้วยความตกใจ เผลอปล่อยถาดในมือร่วงลงพื้น

เครื่องประดับศรีษะตกลงกระแทกพื้นแตกกระจาย

แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

หงซื่อตกใจกับเสียงนั้น ดวงตาหลุบมองหินหยกที่แตกละเอียดพื้น ทั้งเจ็บปวดทั้งเกลียดชัง

เครื่องประดับศรีษะหยกชิ้นนั้น ตนเองลังเลอยู่นานก่อนจะกัดฟันซื้อมา

นางกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่ต้องการมัน หากซื้อข้าวของของเด็กหญิงใช้ เมื่อถึงเวลานานนางไม่ต้องการขึ้นมา สินค้าจะคืนก็คืนมิได้ สู้ซื้อสิ่งที่มีประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ?

หากกู้เสี่ยวหวานรับสิ่งนีไป ในอนาคตยังสามารถใช้มันได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมรับมัน นางก็ยังสามารถใช้มันได้ด้วยตัวเอง

เวลานี้หัวใจของหงซื่อแตกสลายราวกับโดนคนทุบ

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ใช้เงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงเพื่อซื้อเครื่องประดับศรีษะหยกชุดนี้มา

แต่แล้วฮูหยินจ้าวล่ะ?

เพียงแค่เคลื่อนไหวก็คือเงินห้าร้อยตำลึง และเครื่องประดับศรีษะทองและหยกสองชุด

สิ่งของอันใด มันก็มีคุณค่าในตัวของมันเอง

ท้ายที่สุดเป็นเพราะตนเองยากจน

ว่ากันจนถึงแก่นแท้แล้ว ล้วนเป็นเพราะอะไร

เพราะจ้าวสวิ่นไม่ให้เงินแก่หงซื่อ เมื่อใดก็ตามที่นางไปขอเงินจากจ้าวสวิ่น กิจการของจ้าวสวิ่นก็มีทีท่าไม่ค่อยดี และขอหงซื่อนำเงินมาช่วยจุนเจือกิจการของเขา

บางครั้งการสละเพียงเล็กน้อยอาจทำให้หงซื่อมีความสุขเป็นเวลานาน

คิดว่าผู้ชายคนนี้รักตัวเอง

หากตอนนี้ลองมองทบทวนดูแล้ว คนที่เป็นเพียงอนุภรรยาอย่างตนไม่อาจเทียบได้กับฮูหยินผู้นั้น

ไม่ใช่ว่าจ้าวสวิ่นไม่มีเงิน แต่เงินทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของฮูหยินจ้าว

ยิ่งหงซื่อคิดถึงเรื่องนี้โทสะก็ทวีมากขึ้น ยิ่งคิดเรื่องนี้ยิ่งหัวใจก็ยิ่งอึดอัด และนางเกลียดจ้าวสวิ่น จนแทบตาย

ดวงตาแข็งกร้าวจ้องฮูหยินจ้าวด้วยโกรธ

ฮูหยินจ้าวรู้สึกภูมิใจเมื่อเห็นความผิดปกติของหงซื่อ แต่คราวนี้นางกลับยิ่งรู้สึกภูมิใจมากขึ้น

นางมองไปที่หงซื่อโดยไม่เผยความอ่อนแอใด ๆ ออกมาให้เห็น แววดูตาดูถูกเหยียดหยามทำให้ หงซื่อแทบจะกระอักเลือด

หงซื่อไม่ต้องการอยู่อีกต่อไป และทุกคนที่อยู่ตรงนั้นล้วนมองนางด้วยสายตาเย็นชา

ใบหน้าของหงซื่อมืดมนและเย็นชา และเดินออกไปอย่างเร่งรีบโดยไม่พูดอะไร

ตามมาด้วยสาวใช้สองคนที่ถือถาดวิ่งหนีราวกับสุนัขหนีอันตรายหัวซุกหัวซุน

ฮูหยินจ้าวมองไปที่แผ่นหลังของหงซื่อที่จากไปอย่างรีบร้อน ก่อนจะป้องปากหัวเราะจนร่างกายสั่นสะท้าน

ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ในบ้านของกู้เสี่ยวหวาน ฮูหยินจ้าวคงจะกระโดดโลดเต้นอย่างมีความสุข

“หวานเอ๋อร์” เมื่อเห็นหงซื่อจากไป ฮูหยินจ้าวก็ไม่อาจลืมจุดประสงค์ของการมาของตนเอง และมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยสายตามั่นใจ “แม้ว่าตระกูลจ้าวจะไม่ร่ำรวยเท่าตระกูลเจียง แต่ชื่อเสียงที่สั่งสมมาตลอดร้อยปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับตระกูลเจียง แต่เมื่อหวานเอ๋อร์แต่งงานเข้าตระกูลจ้าว เจ้าจะกลายเป็นนายหญิงน้อย และต่อมาจะได้ตำแหน่งฮูหยิน ตลอดชีวิตของเจ้าจะได้สวมใส่เสื้อผ้าชั้นดี ผ้าแพร หรือแม้กระทั่งผ้าไหม เจ้าจะมีความสุขอย่างไม่มีสิ้นสุด”

ดีมาก

มุมปากของกู้เสี่ยวหวานยกขึ้นเล็กน้อย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ แล้วนางจะได้ยินได้อย่างไรว่าตระกูลจ้าวได้เดินทางมาถึงจุดจบอันเสื่อมโทรมแล้ว

พวกเขาคิดจะหาลูกสะใภ้ที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ดูแลตระกูลจ้าว

กู้เสี่ยวหวานยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง เฝ้าดูฮูหยินจ้าวคุยโวเกี่ยวกับตัวเอง “แม้ว่าชงเอ๋อร์ของข้าจะได้เปรียบดั่งพานอัน*[1] แต่ก็เป็นมีความรู้ ถึงแม้จะมีนิสัยพูดจาโผงผางเล็กน้อย แต่ก็อ่อนโยนและหล่อเหลาเช่นกัน”

พูดถึงจ้าวจื่อชง สตรีจากโรงเตี๊ยมเหยียนฮวาไม่มีผู้ใดไม่รู้จักเขา

“ในวันธรรมดา ชงเอ๋อร์ของเราจะไปที่ร้านเพื่อดูแลกิจการ ไม่ก็อ่านหนังสือ หรือฝึกคัดลายมือที่บ้าน ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความสุภาพและอ่อนน้อมถ่อมตน”

แล้วที่มักปรากฏตัวอยู่ที่บ่อนการพนัน ร้านอาหารคือผู้ใดกัน

ในวันธรรมดาแล้วไม่เอาการเอางาน วัน ๆ เอาแต่สร้างปัญหาคือผู้ใดกัน

อาโม่ที่อยู่ด้านข้างพยายามรักษาท่าทางนิ่งเฉยของตน

โชคดีที่นายท่านมองการณ์ไกล และส่งตนเองไปหาข้อมูลของตระกูลจ้าวไว้ก่อนแล้ว

ตระกูลจ้าวยังไม่เปิดเผยธาตุแท้

วัน ๆ นอกจากเรื่องสนุกแล้ว ที่เหลือล้วนไม่น่าฟัง

ไม่จำเป็นต้องพูดว่าคุณหนูไม่ชอบมันอีกต่อไป แม้ว่าคุณหูนจะชอบมัน แต่ก็ยังต้องคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบ

ตระกูลจ้าวที่ว่างเปล่า ตอนนี้พวกเขาแค่ต้องการหาภรรยาที่มีความสามารถให้เร็วที่สุด มันเป็นอย่างไร?

แต่เมื่อมองไปที่ฮูหยินจ้าวผู้มีสีสันคนนี้ ยามนางเอ่ยถึงตระกูลจ้าว ใบหน้าของอาโม่ปรากฏความไม่พอใจ นางผู้นี้ช่างหลอกลวงเก่งจริง ๆ เกือบจะตกหลุมพรางเชื่อไปแล้ว

แต่เพื่อเกลี้ยกล่อมกู้เสี่ยวหวาน

นั่นเป็นการคำนวณที่ผิดพลาดจริง ๆ

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้บอกว่าไม่ต้องการแต่งงาน แม้ว่านางต้องการแต่งงาน นางก็จะไม่แต่งงานกับตระกูลจ้าว

เมื่อเห็นฮูหยินจ้าวยังคงพูดถึงความเป็นอยู่ของตระกูลจ้าว และความเป็นอยู่ที่ดีของลูกชายที่แสนดีของตนอย่างฉะฉาน กู้เสี่ยวหวาก็เริ่มปวดสมองขึ้นมา

“หวานเอ๋อร์…” ฮูหยินจ้าวเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แต่ก่อนที่นางจะทันได้พูด ก็ได้ยินเสียงโกรธเคืองราวกับจะคร่าชีวิตตน “หุบปาก!”

ฮูหยินจ้าวตกใจสะดุ้งโหยง นางหุบปากฉับทันควัน และหันไปมองทางที่มาของเสียง

เขาเห็นเด็กหนุ่มในชุดสีดำจ้องเขม็งด้วยความโกรธ

รูปลักษณ์นั้น หึ ๆ ความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า

แม้แต่ฮูหยินจ้าวที่อายุเกือบสี่สิบปีก็ยังตกตะลึงเล็กน้อย

ทันทีที่ฉินเย่จือย่างกรายเข้ามา เขาก็ได้ยินคนเรียกขานกู้เสี่ยววานของเขาว่าหวานเอ๋อร์ ซึ่งเหมือนกับเขาที่เรียกออกมาอย่างสนิทสนม

แม้ว่าจะเป็นเสียงผู้หญิง แต่ฉินเย่จือก็ยังไม่ชอบใจ

ฮูหยินจ้าวรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคำพูดของตนถูกขัดจังหวะโดยชายรูปงาม แต่นางก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าใบหน้าของชายคนนั้นดำมืดราวถ่านหิน

“นี่คือ…” ฮูหยินจ้าวไม่เคยเห็นท่าทางที่ก้าวร้าวเช่นนี้จากใครในเมืองหลิวเจีย และนางรู้สึกผิดเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่กู้เสี่ยวหวานและถามอย่างเขินอาย

*[1] พานอัน เป็น 1 ใน 4 ของหนุ่มหล่อในประวัติศาสตร์จีน กล่าวกันว่าพานอันมีหน้าตาหล่อเหลา อาจเรียกได้ว่าหล่อที่สุดในประวัติศาสตร์จีน พานอันเป็นนักปราชญ์ นักกวีเกิดในสมัยจิ้นตะวันตก วีรกรรมความหล่อของพานอัน เช่น เวลาขี่รถม้าออกไปข้างนอก สาวน้อยสาวใหญ่ต่างก็เข้ามารุมล้อมอยากใกล้ชิดพานอัน สาวบางคนไม่สามารถฝ่าดงเข้าไปหาพานอันได้ก็ทำการโยนผลไม้เข้าไปในรถม้าของพานอันเพื่อแสดงความรัก พานอันเหล่าจนมีคำเปรียบเปรยของจีนว่า ‘หล่อเหมือนพานอัน’ หรืออีกประโยคนึงก็คือ ‘โยนผลไม้ให้เต็มรถ’ ซึ่งใช้เปรียบเทียบผู้หญิงที่ชอบผู้ชายหน้าตาดี และตามไปคลั่งไคล้ แต่ชีวิตของพานอันก็ไม่ได้ดีเหมือนหน้าตา เพราะตัวเองก็โดนกลั่นแกล้งให้ไม่เจริญในหน้าที่การงาน ซ้ำร้ายภรรยาก็มาตายจากไป สุดท้ายก็โดนประหารทั้งครอบครัวเพราะเข้าไปพัวพันกับการเมืองแล้วเลือกข้างผิด