War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2234
ตอนที่ 2,234 : ศาสตราพันอาคมเซียนเกลื่อนพื้น!
หากเทียบเผ่าปีศาจดั้งเดิมกับเผ่าปีศาจมนุษย์แล้ว ผู้ฝึกมารในวังเซียนสัญจรที่มีสายเลือดมนุษย์บริสุทธิ์นั้น ไม่ได้อาศัยแค่การกลืนกินแก่นแท้ ปราณโลหิตและพลังชีวิตในการฝึกฝนอย่างเดียว
นอกเหนือจากการกลืนกินแก่นแท้ ปราณโลหิตและพลังชีวิตของผู้อื่นเพื่อบ่มเพาะพลังแล้ว พวกมันยังอาศัยการดูดซับพลังวิญญาณฟ้าดินเพื่อบ่มเพาะเช่นเดียวกับผู้ฝึกตนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าอีกด้วย
ตอนนี้ด้วยความที่พรสวรรค์รากวิญญาณของหวงเหวินจิ้งได้เปลี่ยนเป็นสีม่วง เช่นนั้นนางจึงคิดกลับไปยังวังเซียนสัญจร เพื่อเพลิดเพลินกับรากวิญญาณสีม่วงของนาง!
“ไม่รู้ข้า…เมื่อไหร่จะได้เจอมันอีกครั้ง…”
ขณะที่เหินร่างจากไป หวงเหวินจิ้งอดกล่าวออกมาอย่างทอดถอนไม่ได้
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของนางมีผู้คนมากมายนักที่หมายปองนาง หากทว่านี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆที่มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาในใจของนางอย่างเงียบงัน
หากไม่ใช่เพราะนางพยายามหักห้ามใจเอาไว้ เมื่อครู่เผลอๆนางได้ตามอีกฝ่ายไปแล้ว
“มัน…เหมือนจะเรียกว่าต้วนหลิงเทียน…”
หววงเหวินจิ้งพึมพำกับตัวเองเบาๆ
นางยังจดจำวาจาที่ต้วนหลิงเทียนกล่าวได้ชัดเจน
“พวกมันล้วนเป็นข้าต้วนหลิงเทียนลงมือฆ่า เจ้าจะไปหาความกับคนอื่นทำอะไร…”
“ถ้ามีปัญญาก็เข้ามาจับข้าไปรับโทษที่วังเซียนสัญจรของเจ้าได้เลย…”
ในตอนนั้นวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียนทำให้นางมีโมโหไม่น้อย
แต่ตอนนี้พอมองย้อนกลับไปสองตาให้ความรู้สึกดั่งสารทฤดูของนางกลับโค้งดั่งเสี้ยวจันทร์ฉายให้เห็นถึงความสุข น้ำแข็งที่ฉาบเคลือบใบหน้าละลายหาย แทนที่ด้วยสีแดงระเรื่อ
หากแต่เมื่อนางโผล่พ้นจากอุโมงค์ทางเข้ามรดกสถาน ทีท่าก็กลับมาเย็นชาอีกครั้ง
“แม่นางเหวินจิ้ง”
และทันทีที่หวงเหวินจิ้งก้าวออกมา เสียงต่างกัน 3 เสียงพลันดังเข้าหูนางแทบจะพร้อมเพรียง
ได้ยินเสียงทั้ง 3 หวงเหวินจิ้งไม่ได้เผยความแปลกใจอะไร เพียงเงยหน้าขึ้นไปมองร่างทั้ง 3 เหนือฟ้าด้วยสีหน้าสงบใจเย็น ก่อนที่จะเอ่ยทักทั้ง 3 ออกไปเสียงเรียบ
“อาวุโสเหอ อาวุโสหลิน อาวุโสฉิว”
ทั้ง 3 ในสายตาของหวงเหวินจิ้งก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังศิษย์วังเซียนสัญจรทั้ง 3 ที่ถูกสังหารด้วยน้ำมือต้วนหลิงเทียน! ทั้งหมดเป็นชนชั้นเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยน!!
เผชิญกับการทักทายอย่างขอไปทีของหวงเหวินจิ้ง อาวุโสทั้ง 3 ไม่กล้าชักทีท่าไม่พอใจแต่อย่างใด
ล้อเล่นหรือไร!
สตรีที่อยู่เบื้องหน้าพวกมันไม่เพียงแต่เป็นรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในวังเซียนสัญจรเท่านั้น แต่ยังเป็นศิษย์รักของจ้าววังอีกด้วย!
และในวังเซียนสัญจรนั้น ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดก็คือจ้าววัง!
ศิษย์รักของจ้าววังนั้นยามพบปะพวกมันยังไม่กล้าละเลยท่าทีปฏิบัติด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับแสดงความไม่พอใจต่อหน้านาง!
“อาวุโสทั้ง 3 มาที่นี่ใช่เพราะชายหนุ่มชุดม่วงที่ชื่อ ต้วนหลิงเทียนหรือไม่?”
หวงเหวินจิ้งกล่าวถาม
“ใช่”
ได้ยินคำถามของหวงเหวินจิ้ง อาวุโสทั้ง 3 ของวังเซียนสัญจรพยักหน้าตอบกลับทันที
และในขณะที่พวกมันพยักหน้ารับ แววตาของพวกมันยังฉายชัดถึงเพลิงแห่งความเคียดแค้นชิงชังขุมหนึ่ง ยังร้อนแรงปานจะผลาญได้ทุกสิ่ง!
“มันจากไปแล้ว”
หวงเหวินจิ้งกล่าว
“ไปแล้ว?!”
ได้ยินคำพูดต่อมาของหวงเหวินจิ้ง อาวุโสทั้ง 3 อดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง
ก่อนหน้านี้พวกมันได้เข้าไปในมรดกสถานที่คาดว่าน่าจะถูกทิ้งไว้ด้วยตัวตนอย่างปรมาจารย์จารึกเซียนระดับสวรรค์ดูแล้ว แต่พอไปถึงห้องโถงใหญ่และพบอุโมงค์ทางแยกมากมายถึง 81 ช่องทางพวกมันจึงไม่คิดเข้าไปไหน แต่เลือกจะกลับออกมาเฝ้ารออยู่ด้านนอก
พวกมันกลัวว่าหากเลือกช่องทางใดช่องทางหนึ่งไป แล้วบังเอิญสวนกับต้วนหลิงเทียนขึ้นมา คงได้คลาดกัน จะให้คนอื่นเฝ้าแล้วใครบางคนเข้าไปไล่หาก็ใช่ที่ จึงเลือกออกมารอด้านหน้าแทน
ในขณะที่ออกมาเฝ้ารอด้านนอก อาวุโสทั้ง 3 ยังได้รับทราบความเป็นไปของเรื่องราวจากปีศาจหลายๆตนที่อยู่ในเหตุการณ์ฆ่าลูกหลานของพวกมัน
พวกมันจึงได้รู้ว่าคนที่ลงมือสังหารลูกหลานของพวกมันนั้น ที่แท้เรียกว่าต้วนหลิงเทียน! และยังได้รับทราบอีกวว่าพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนคนนี้ยังสูงกว่าแม่นางเหวินจิ้งเบื้องหน้าเสียอีก!!
“อืม”
หวงเหวินจิ้งพยักหน้า “ข้าตามมันเข้าไป…แต่พอมันพบว่าด้านในกลับมีอุโมงค์ทางแยกถึง 81 สาย มันก็ไม่ได้เลือกช่องทางใดแต่กลับออกไปทันที”
“ข้าคิดว่า…มันเองก็ไม่พ้นเป็นกังวลว่าอาวุโสทั้ง 3 จะตามมาเอาเรื่องมัน เช่นนั้นจึงรีบหนีไปก่อน”
หวงเหวินจิ้งกล่าวออกโดยทีสี่หน้าไม่เปลี่ยนแปลง ยังพูดตาไม่กระพริบ ราวกับว่าเรื่องราวเป็นแบบนั้นจริงๆ
สาเหตุที่นางโกหกนั้นแน่นอนว่าเพราะนางไม่อยากให้ต้วนหลิงเทียนปะทะกับผู้อาวุโสของวังเซียนสัญจรทั้ง 3 ตอนกลับออกมา
แม้ว่าต้วนหลิงเทียนจะแข็งแกร่งกว่านาง แต่นางไม่คิดว่าต้วนหลิงเทียนจะสามารถรับมืออาวุโสทั้ง 3 คนนี้ได้
“มันกลับออกมานานแล้วหรือ…”
ได้ยินหวงเหวินจิ้งบอกว่าต้วนหลิงเทียนไปแล้ว อาวุโสวังเซียนสัญจรทั้ง 3 ก็ร้อนใจไม่น้อย
“แม่นางเหวินจิ้ง ท่านรู้หรือไม่ว่ามันไปทิศทางใด?”
ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นบิดาของเหอเซินเจี๋ยที่ถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าเร่งกล่าวถามอย่างร้อนใจทันที
นอกจากนี้แม้ชายชรากับหญิงชราจะไม่กล่าวถามอะไรออกมา แต่สีหน้าท่าทีที่มองไปยังหวงเหวินจิ้ง ก็มากพอจะบอกให้รู้ว่าพวกมันอยากรู้ทิศทางของต้วนหลิงเทียนขนาดไหน
“มันไปทางใดข้าไหนเลยจะทราบได้ เพราะข้าไม่ได้ติดตามมันออกมา…นอกจากนี้ด้วยความเร็วของมันที่เร่งรุดจากไป แม้จะมีคนเฝ้ารอด้านนอกมากมาย ก็เกรงว่ามีไม่กี่คนเท่านั้นที่จับความเคลื่อนไหวมันได้ทัน”
หวงเหวินจิ้งกล่าว
ในวาจายังจงใจทิ้งระเบิดลูกหนึ่งไว้ให้อาวุโสวังเซียนสัญจรทั้ง 3!
“อาวุโสทั้ง 3 ข้าขอตัวลา…”
ป้องมือกล่าวลาอาวุโสวังเซียนสัญจรทั้ง 3 อย่างขอไปทีเสร็จ หวงเหวินจิ้งก็เหินร่างเดินทางไปยังทิศเหนือ อันเป็นที่ตั้งเมืองเหรินโม่เชิ่งทันที
ที่ตั้งของวังเซียนสัญจรในปัจจุบันก็อยู่เมืองเหรินโม่เชิ่งเช่นกัน
‘ข้าช่วยเจ้าได้แค่นี้…หวังว่าวันหน้าจะมีโอกาสได้พบเจ้าอีกครั้ง…’
ระหว่างเหินร่างกลับ ร่างในชุดสีม่วงพลันปรากฏขึ้นในใจหวงเหวินจิ้ง พาลให้นางอดทอดถอนในใจไม่ได้
อาวุโสของวังเซียนสัญจรคงไม่คิด กระทั่งหลับยังไม่อาจฝัน
ว่าศิษย์ปิดสำนักของจ้าววังเซียนสัญจร ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกต้วนหลิงเทียนซัดทำร้ายจนบาดเจ็บ จะหลอกลวงพวกมันเพื่อปกปิดตำแหน่งให้ต้วนหลิงเทียน…
(ศิษย์ปิดด่าน, ศิษย์ปิดสำนัก,ศิษย์รับบาตร = ศิษย์คนสุดท้าย)
ทั้ง 3 ลอยร่างอึนๆกลางฟ้าอยู่พักหนึ่ง
เดิมทีพวกมันคิดดักกระต่ายหน้าโพรง แต่ตอนนี้ได้รับคำยืนยันแล้วว่ากระต่ายที่เฝ้ารอดอดหนีไปเสียแล้ว เฝ้ารอต่อไปก็ไม่ได้อะไร
ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านนอกเป็นธรรมดา
ตอนนี้เขาท่องไปในอุโมงค์ต่างๆที่ยังไม่ได้เข้าไป
เมื่อใดก็ตามที่เขาพบเผ่าปีศาจมนุษย์ที่มีเลือดปีศาจไหลเวียนอยู่ในกาย เขาก็เข่นฆ่าพวกมันทุกตน กลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเผ่าปีศาจมนุษย์เหล่านั้นเพื่อเพิ่มพูนพรสวรรค์รากวิญญาณของตัวเอง
ในระหว่างดำเนินการดังกล่าว พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
พรสวรรค์รากวิญญาณของต้วนหลิงเทียนเดิมทีก็เป็นสีม่วงอ่อนเท่านั้น ทว่าตอนนี้สีของมันก็เข้มขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อดูจากลักษณะความเปลี่ยนแปลงแล้ว คงใช้เวลาอีกไม่นานก็จะบังเกิดความก้าวหน้า ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น!
และในระหว่างที่สังหารเผ่าปีศาจมนุษย์ทั้งหลาย ต้วนหลิงเทียนยังได้รับศาสตราพันอาคมเซียนมากมายเป็นสินสงคราม เรียกว่าในแหวนเขาตอนนี้มีศาสตราพันอาคมเซียนเต็มไปหมด!
ในอดีตนั้นศาสตราพันอาคมเซียนถือเป็นของหายากอยู่บ้าง แต่ในสถานที่แห่งนี้พวกมันกลับเป็นดั่งขยะเกลื่อนพื้นที่ไม่มีใครต้องการ…
‘ศาสตราพันอาคมเซียนเหล่านี้คงมีประโยชน์ไม่น้อยหากข้าได้เจอพวกท่านพ่อท่านแม่แล้วก็เสี่ยวเฟยเอ๋อ…’
เหตุผลที่ต้วนหลิงเทียนรววบรวมศาสตราพันอาคมเซียนเหล่านี้ไว้เป็นจำนวนมาก เนื่องเพราะเขาคิดใช้ศาสตราพันอาคมเซียนทั้งหลายในอนาคต! เขาจะมอบมันให้เป็นของขวัญกับครอบครัวญาติสนิทและมิตรสหายของเขา…
ศาสตราพันอาคมเซียนเหล่านี้สำหรับเขาแล้ว ไม่ได้มีราคาค่างวดอันใด
แต่สำหรับครอบครัวและสหายของเขามันเป็นดั่ง “ตัววิเศษน้อย” ที่หาได้ยากยิ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลย!
“ลุยต่อ!”
หลังจากฆ่าล้างเผ่าปีศาจที่พบเจอในช่องทางปัจจุบันอย่างอำมหิตจนหมด ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนกลับไปโถงใหญ่ ก่อนจะเข้าไปยังช่องทางอื่นๆ
“นี่พวกเจ้าจะทำอะไรกัน! ไหนว่าพวกเราจะร่วมมือกันฝ่าข่ายอาคมแล้วแบ่งของกันอย่างเท่าเทียมไงเล่า…แต่ตอนนี้พวกเจ้าคิดข้ามแม่น้ำรื้อสะพานงั้นเหรอ!?”
ในขณะที่กำลังจะเหินมาถึงสุดช่องทางในอุโมงค์สายหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนพลันได้ยินเสียงตะคอกด้วยความไม่พอใจดั่งขึ้นจากปลายทางเบื้องหน้า และเสียงนี้ก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกคุ้นๆหูนัก
“เป็นเจ้านั่น…”
ในห้วงคิดคล้ายมีบางสิ่งวาบผ่าน ต้วนหลิงเทียนพลันจำได้แล้วว่าเคยได้ยินเสียงนี้ที่ไหน
หวงฉี่หลิง!
มันคือศิษย์ของวังเซียนสัญจรที่เขาได้รู้จักก่อนเข้ามาในมรดกสถาน
ในตอนนั้นที่เจอกับนายน้อยสวะของวังเซียนสัญจรทั้ง 3 หวงฉี่หลิงได้ออกตัวปกป้องเขาเอาไว้อย่างไม่คิดจะถอย
พริบตานั้นเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าหวงฉี่หลิงผู้นี้เป็นคนดีคนหนึ่ง คู่ควรให้คบหาเป็นสหาย
ตอนนี้พอได้ยินเสียงหวงฉี่หลิงตะคอกด้วยโทสะ สองตาต้วนหลิงเทียนก็เย็นลงทันที
หลังมองไปยังเบื้องหน้าสุดทาง ต้วนหลิงเทียนก็ได้เห็นหวงฉี่หลิงถูกเผ่าปีศาจมนุษย์กลุ่มหนึ่งปิดล้อมเอาไว้ มันกำลังตกอยู่ในอันตราย!
“ข้ามแม่น้ำรื้อสะพานหรือพูดได้ดี! แล้วหากพวกเราคิดข้ามแม่น้ำรื้อสะพานจริง…เจ้าหวงฉี่หลิงจักทำไมเล่า?”
ปีศาจตนหนึ่งกล่าวออกด้วยรอยยิ้มมีชัย
“ถ้าพวกเจ้ากล้าฆ่าข้า วังเซียนสัญจรไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าไปแน่!”
หวงฉี่หลิงตะโกนเสียงเข้ม
“วังเซียนสัญจร? หากกมิใช่เพราะตอนนี้สถานะเจ้าในวังเซียนสัญจรมันตกอับไปแล้วพวกเราคงไม่คิดร่วมมือกันจัดการเจ้าหรอก! หากจะโทษก็โทษที่เจ้ามันกลายเป็นตัวไร้ค่าไปแล้วเถอะ ที่สำคัญวังเซียนสัญจรของพวกเจ้ามันก็แค่พวกกาฝาก! ไร้สายเลือดปีศาจแต่ยังกล้าอ้างตัวว่าเป็นเผ่าปีศาจ เหลวไหลสิ้นดี!!”
…
หลังปีศาจตนหนึ่งตะคอกกล่าวเสียงเหี้ยม ไอมารของเหล่าปีศาจที่ปิดล้อมหวงฉี่หลิงอยู่ก็เริ่มลุกโชนขึ้นมาดั่งเพลิงทมิฬ
สีหน้าหวงฉี่หลิงเปลี่ยนไปอย่างหนัก หากแต่มันก็ไม่คิดงอมืองอเท้ารอความตาย ปะทุพลังชั่วชีวิตโจนทะยานเปิดฉากสู้ทันที!
อนิจจาแม้พลังฝึกปรือของมันจะไม่ใช่ชั่ว แต่ก็ยากจะรับมือเหล่าปีศาจที่กลุ้มรุมเข้ามาทุกทาง สุดท้ายก็ตกเป็นรอง จนในที่สุดก็พลาดท่าเสียที
‘บัดซบ! ข้าหวงฉี่หลิงต้องมาจบแค่นี้หรือ!’
ในใจหวงฉี่หลิงได้แต่ตะโกนก้องด้วยความไม่ยินยอม
ทว่าในขณะที่หวงฉี่หลิงกำลังจะถูกเหล่าปีศาจที่ปิดล้อมปิดฉากออกกระบวนสังหารนั้นเอง…
“ฮึ่ม!!”
เสียงแค่นสบถด้วยความเย็นชาหนึ่งพลันดังขึ้น พาลให้เหล่าปีศาจทั้งหลายตกใจไม่น้อย
ฟั่ฟฟฟ!
ในเวลาเดียวกันกับที่หวงฉี่หลิงและเผ่าปีศาจที่ปิดล้อมเตรียมสังหารมันกำลังตกใจอยู่นั้น เสียงกระบี่แหวกอากาศฉับไวพลันแว่วดังขึ้นเข้าหู…
วินาทีต่อมาหวงฉี่หลิงก็ได้แต่ชมมองเรื่องราวด้วยความประหลาดใจ
นั่นเพราะเผ่าปีศาจทั้งหลายที่โจนเข้ามาด้วยกระบวนสังหารทั้งหลาย แต่ละตนพลันปรากฏหลุมโลหิตที่หว่างคิ้ว! ร่างปลิวมาตามแรงเฉื่อน สิ้นสูญสภาวะสังหาร…!!
“ปฐมเวทย์กลืนกิน!”
หลังจากกลืนกินพรสวรรค์รากวิญญาณของเหล่าปีศาจทั้งกลุ่มเสร็จสิ้นในชั่วพริบตา ต้วนหลิงเทียนที่ไม่คิดปรากฏตัวก็วูบหายกลับไปในอุโมงค์ช่องทางที่เขามาทันที
สำหรับสิ่งของใดๆที่เผ่าปีศาจกลุ่มนี้เหลือทิ้งไว้ เขาก็ไม่ได้เก็บมาแต่อย่างใด เหลือทั้งหมดไว้ให้หวงฉี่หลิง
“น้องหลิงเทียน!?”
อย่างไรก็ตามแม้ต้วนหลิงเทียนจะไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่หวงฉี่หลิงก็คาดเดาได้รางๆ ว่าสมควรเป็นฝีมือของต้วนหลิงเทียน เพราะเสียงกระบี่ฉับไวนั่น!