บทที่ 719 แม่ลูกผูกพัน (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 719 แม่ลูกผูกพัน (1)

ซ่างกวานเยี่ยนถูกคนของจวนแม่ทัพพาตัวไป หมิงจวิ้นอ๋องก็เช่นกัน

ขุนนางของกรมเมืองต่างพากันเดือดดาล

เห็นกันอยู่ว่าพวกเขามาถึงก่อน ไฉนคนของจวนแม่ทัพถึงได้อภิสิทธิ์ไปเสียกระนั้น!

ระหว่างกลับวัง หมิงจวิ้นอ๋องได้แต่ครุ่นคิดอย่างหนัก

หากรู้แต่แรก เขาคงเลือกนั่งเฉยๆ ในห้องรับแขกเสียยังจะดีกว่า อย่างมากก็แค่ถูกนินทาว่าเป็นท่านอ๋องจอมเกียจคร้าน ไม่น่ามาหลบที่ห้องใต้ดินเลย

ดูปราดเดียวก็รู้ว่ามีพิรุธ

“ขอจวิ้นอ๋องโปรดกลับวังพร้อมกับพวกกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” หวังซวี่เอ่ยขึ้นขณะที่ควบม้าตามรถม้ามาติดๆ

หากถามว่าหน้าที่ของจวนแม่ทัพคืออะไร คงต้องตอบว่าพวกเขาเปรียบเสมือนหูตาของฮ่องเต้ เมื่อพวกเขาเห็นว่าหมิงจวิ้นอ๋องมีพิรุธ มีหรือจะไม่จับตัวไปซักถามให้รู้แล้วรู้รอด

คนอื่นอาจไม่กล้าจับเขาไป แต่หาใช่กับคนของจวนแม่ทัพ

หมิงจวิ้นอ๋องอดคิดไม่ได้ว่าเขาถูกซ่างกวานเยี่ยนเล่นงานเข้าเสียแล้ว

นางตั้งใจให้เป็นแบบนี้แน่ๆ พอเห็นว่าตัวเองหนีไม่รอดก็เลยลากเขาลงเรือด้วยกัน

เสด็จป้าผู้นี้ คราวก่อนก็หลอกเสด็จพ่อของเขาไปแล้ว มาวันนี้ถึงตาเขาจนได้

พวกเขาไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปีแล้ว เขาเองแทบจะจำไม่ได้แล้วว่านางหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วไยนางถึงจำเขาได้เล่า

ไหนว่าความจำเสื่อมมิใช่รึ

ไม่ได้การ เขาต้องนำเรื่องนี้ไปทูลเสด็จปู่ให้ได้!

ซ่างกวานเยี่ยนไม่ได้ความจำเสื่อมจริง นางกำลังเล่นละครตบตาอยู่!

หลังจากที่คนของจวนแม่ทัพและจวนกรมเมืองออกไป สวีเฟิ่งเซียนก็ยิ้มระรื่นเรียกแขกต่อ “มาฟังกันต่อนะเจ้าคะ! มาต่อกันเลย! สาวๆ ทั้งหลาย! ร้องเพลงกันต่อเลย!”

หอเทียนเซียงกลับมาครึกครื้นเช่นเดิม

กู้เจียวหาข้ออ้างปลีกตัวออกมา จากนั้นจึงเดินขึ้นไปชั้นบน

“พวกเขาไม่เจอเจ้าใช่ไหม” กู้เจียวถามเซียวเหิง

เซียวเหิงยืนพิงหน้าต่างพร้อมกับมองไปทางกลุ่มของหวังซวี่ที่เคลื่อนตัวออกไป ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าซับซ้อน “พวกนั้นเป็นคนจากจวนแม่ทัพน่ะ”

“จวนแม่ทัพรึ” กู้เจียวพึมพำ

ที่แคว้นเจาไม่มีสิ่งที่เรียกว่าจวนแม่ทัพ

จวนแม่ทัพที่ว่าเป็นหน่วยทหารพิเศษของแคว้นเยี่ยน คราวก่อนที่กู้เจียวเข้าไปที่วัง มู่ชวนก็เคยแนะนำให้นางฟังว่ารอบนอกของวังหลวงฝั่งขวามีศาลต้าหลี่และกรมทั้งหก ส่วนฝั่งซ้ายเป็นจวนเหล่าราชนิกูล และจวนแม่ทัพทั้งสี่

เพียงแต่กู้เจียวไม่รู้ว่าจวนแม่ทัพแบบนั้นมีไว้ทำอะไร

“ชายที่ควบม้าขนาบฝั่งขวาคนนั้นคือแม่ทัพหวังซวี่ เขาเป็นคนของฮ่องเต้” เซียวเหิงเคยสืบประวัติของคนใหญ่คนโตในแคว้นเยี่ยนมาก่อน จึงรู้ว่าแม่ทัพหวังซวี่ผู้นี้เป็นถึงบุตรชายคนโตของตระกูลหวัง และเป็นหลานชายของพระสนมหวังเสียนเฟย

ทว่าพระสนมไม่มีบุตรชาย และได้ให้กำเนิดองค์หญิงน้อยสององค์ กระนั้นตระกูลหวังก็มิได้อยากช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทแต่อย่างใดและจงรักภักดีต่อฮ่องเต้เสมอมา

พอกู้เจียวรู้ดังนั้นก็นึกตาม “แปลว่าฮ่องเต้ส่งคนมาจับตัวเขาอย่างนั้นรึ หญิงผู้นั้นมีความเกี่ยวข้องอะไรกับฮ่องเต้สินะ”

แล้วเหตุใดนางถึงได้สวมชุดซอมซ่อเช่นนั้นเล่า

แต่จะว่าไปแล้วพอมานึกดูดีๆ ใบหน้าของนางจัดว่างดงามราวกับนางฟ้าไม่ปาน

อีกทั้งดวงตาคู่นั้นของนาง

รูปตาเฉี่ยวดุจหางหงส์ตามตำรา น่าเสียดายที่ถูกผมเผ้าปรกหน้าจนไม่อาจเห็นได้ชัดนัก

“เจ้า…” กู้เจียวเอ่ยขึ้นขณะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังมองเหม่อไปที่รถม้าคันนั้นอย่างใจลอย “เจ้าคิดอะไรอยู่”

เซียวเหิงยื่นลูกแตงโมที่กำลังอุ้มอยู่ให้กู้เจียว “นางคว้านเองกับมือ บอกว่าให้ข้ากิน”

พอนึกถึงเรื่องนี้ ความรู้สึกหม่นหมองภายในใจก็เริ่มชัดขึ้น เซียวเหิงนึกภาพย้อนไปตอนที่ได้เห็นสายตาที่กลัวถูกเขาปฏิเสธของนาง รวมถึงความเจ็บปวดที่ฉายผ่านแววตาที่หลบลงต่ำ เมื่อเขาไม่ได้ยื่นมือรับแตงโมจากนาง

พอแม่ทัพเดินเข้ามา นางจึงรีบยัดแตงโมให้ในมือเขาในทันที

แม้ผิวของลูกแตงโมจะเย็นเฉียบ ทว่าพอมันอยู่ในมือของเขากลับพลันสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อน

“ยังมีนี่อีก” เซียวเหิงเอ่ยก่อนจะหยิบของบางอย่างที่ส่องแสงสีทองระยิบระยับขึ้นมาแล้วยื่นมันให้กู้เจียว มันคือทองที่กู้เจียวแบ่งกันกับซ่างกวานเยี่ยน “นางให้สิ่งนี้กับข้ามา ซ้ำบอกให้ข้าเอาใจภรรยาด้วย”

กู้เจียว “…”

นางรู้ได้อย่างไรว่ากู้เจียวปลอมตัวอยู่

กู้เจียวจำได้ว่าตอนที่อยู่กับนางก็ดัดเสียงเป็นเด็กหนุ่มอยู่เลย ขนาดตอนอยู่ในห้องกับเซียวเหิง กู้เจียวก็ไม่ได้ใช้เสียงเดิมของตัวเองด้วยซ้ำ

ต่อให้นางนึกสงสัยความสัมพันธ์ของพวกเขา แต่ก็ไม่น่าจะมองได้ทะลุปรุโปร่งขนาดนี้มิใช่รึ

หรือที่จริงแล้ว นางอาจอยากให้เซียวเหิงมีภรรยาเป็นเด็กหนุ่มก็เป็นได้

เดี๋ยวนะ นี่ตนทำตัวเหมือนกับพ่อหนุ่มคนนั้นขนาดนั้นเลยรึ

แย่ละ เริ่มออกนอกทะเลแล้วสิ!

สรุปแล้วนางเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงได้ทำตัวเหมือนรู้จักกับเซียวเหิงมานาน

ณ วังหลวง

ฮ่องเต้รู้เรื่องที่พวกจวนแม่ทัพจับตัวคนผิดไว้ได้แล้วและกำลังพาตัวกลับมาที่วังเพื่อรับโทษ

ทรงเก็บรวบรวมความอัดอั้นตันใจและความพิโรธทั้งหมดเพื่อเตรียมจะระบายกับซ่างกวานเยี่ยน แต่หารู้ไม่ว่าคนที่พวกเขาพามานั้นกลับกลายเป็นหมิงจวิ้นอ๋องแทน

หมิงจวิ้นอ๋องค่อยๆ โผล่หัวออกมาจากจุดที่ซ่างกวานเยี่ยนนั่งอยู่ด้วยท่าทีพิรุธ และนั่นยิ่งทำให้เขาดูน่าสงสัยขึ้นไปอีก

การที่หมิงจวิ้นอ๋องไปที่หอเทียนเซียงนั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับซ่างกวานเยี่ยนแม้แต่นิด

แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ฮ่องเต้จะทรงพินิจอย่างไรต่างหาก

แต่หมิงจวิ้นอ๋องไม่สามารถพูดออกไปได้ว่าเขาไปที่นั่นเพื่อรับยอดฝีมือผู้หนึ่งแทนไท่จื่อ

สายตาที่ทรงทอดพระเนตรไปยังหมิงจวิ้นอ๋องราวกับกำลังถามเขาว่า ‘เจ้าไปลอบฆ่าเสด็จป้าของเจ้าใช่ไหม’

หมิงจวิ้นอ๋องแทบเข่าทรุด “กระหม่อมจะไปรู้ได้อย่างไร ในเมื่อฝ่าบาทไม่เคยตรัสถึงเรื่องที่เสด็จป้าหายตัวไป!”

ฮ่องเต้พยักหน้า “ใช่แล้ว ข้ามิเคยตรัส เจ้าก็เลยมาสอดแนมใช่ไหมล่ะ!”

หมิงจวิ้นอ๋อง “กระหม่อมเปล่านะพ่ะย่ะค่ะ!”

จากนั้นซ่างกวานเยี่ยนก็เอ่ยเสริม “เจ้าทำ ข้าเห็นกับตา!”

ท่านเห็นอะไรของท่าน!

โกหกหน้าตายแบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ!

หมิงจวิ้นอ๋องกัดฟันกรอด “ท่านป้าจำกระหม่อมได้! ทรงเรียกหลานด้วย! ทรงไม่ได้ความจำเสื่อม!”

ฮ่องเต้ส่งเสียงฮึดฮัด “ซ่างกวานเยี่ยนเรียกเจ้าว่าหลานรึ เช่นนั้นก็แปลว่านางความจำเสื่อมจริงๆ เพราะแต่ไหนแต่ไหร่นางไม่เคยสนใจเจ้า”

หมิงจวิ้นอ๋อง “…”

แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ!

จากนั้นฮ่องเต้จึงรับสั่งขังหมิงจวิ้นอ๋องที่ตำหนักไท่จื่อเป็นเวลาสามเดือน อีกทั้งทรงสั่งให้จางเต๋อเฉวียนไปตามไท่จื่อมาต่อว่ายกใหญ่

ในเมื่อลูกผิด คนเป็นพ่อย่อมหนีไม่พ้น ไม่ว่าหมิงจวิ้นอ๋องมีจุดประสงค์อะไร ท้ายที่สุดย่อมเป็นความผิดของพ่อที่สั่งสอนบุตรได้ไม่ดี

ไท่จื่อคิดในใจ ในเมื่อจะมาไม้นี้ แปลว่าเสด็จพ่อท่านก็ทรงมีความผิดด้วยเหมือนกันนั่นแล

เขาได้แต่คิดในใจ ถ้าพูดออกไปจริงๆ มีหวังเสด็จพ่อได้ประหารเขาแน่

พอได้หมิงจวิ้นอ๋องมาเป็นที่รองรับอารมณ์กริ้วของฝ่าบาทไปแล้ว โทษของซ่างกวานเยี่ยนจึงเบาลงมาบ้าง อย่างน้อยก็ทรงไม่ลงดาบนาง

ทว่านางก็ถูกกักบริเวณด้วยเช่นกัน

อย่างน้อยฝ่าบาททรงไม่มีทางปล่อยนางไปง่ายๆ หลังจากที่ก่อวีรกรรมโป้ปดจนฝ่าบาทหลงเชื่อสนิท

“ชิ่งเอ๋อร์อยู่ที่ไหน เจ้าบอกข้ามาเดี๋ยวนี้ แล้วข้าจะลดโทษให้”

ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ ของซ่างกวานเยี่ยน

“ซ่างกวานเยี่ยน ที่ข้าให้เจ้าอยู่ในวังไม่ใช่เพราะข้าต้องการปกป้องเจ้า แต่เป็นเพราะคดีสุสานกษัตริย์ยังไม่คลี่คลาย หากสืบได้เมื่อไหร่ ข้าจะเนรเทศเจ้ากลับไปที่นั่นอีกครั้งโดยเร็วที่สุด!” ฮ่องเต้ตรัสเสียงแข็ง

ขณะเดียวกันนั้นก็มีคนเดินเข้ามารายงาน “ฝ่าบาท! มีความคืบหน้าเรื่องคดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ “…”