เซวียนซงเห็นเงาแผ่นหลังของต้วนอู๋ตี๋ ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกนับถือ คนผู้นี้ตรากตรำทำศึกติดต่อกันมาหลายวัน ขัดขวางการบุกของกองทัพต้ายงเพื่อให้ทหารและประชาชนเป่ยฮั่นนับล้านได้ล่าถอยและมีโอกาสหนีพ้นความตาย เซวียนซงทราบดีว่าแม้ต้ายงรักษากฎกองทัพเคร่งครัด แต่นี่มิอาจรับประกันได้ว่าพวกทหารจะมิทำร้ายชาวบ้ายเป่ยฮั่นผู้บริสุทธิ์ คนผู้นี้จงรักภักดีและรักปวงประชา หากโน้มน้าวให้เขาสวามิภักดิ์ได้ ต้ายงย่อมได้ขุนนางดีมาหนึ่งคน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เซวียนซงก็หัวเราะเสียงกังวาน กล่าวขึ้นว่า “หากกล่าวถึงการป้องกันเมือง ใต้หล้ามิมีผู้ใดเหนือกว่าแม่ทัพต้วนแล้ว ฉีอ๋องโหมบุกหลายหนในหนึ่งวันยังถูกท่านโจมตีจนถอยกลับไป เพียงแต่ว่ากองทัพต้ายงมีกำลังพลมากมายนัก ส่วนท่านแม่ทัพไร้กำลังเสริม ขวัญกำลังใจของทหารในเมืองก็มิมั่นคง แล้วเสบียงยังร่อยหรอ มิทราบว่าจะรักษาเมืองไว้ได้สักกี่วัน”
ต้วนอู๋ตี๋มิหันกลับมา แต่ตอบอย่างนิ่งสงบ “ป้องกันไว้ได้อีกสองวันก็เพียงพอ องค์หญิงจยาผิงส่งคำสั่งทหารมา ประชาชนแถบจิ้นหยางล้วนเข้าไปในเมืองจนหมดแล้ว ถึงยามนั้นจิ้นหยางย่อมมีทหารและประชาชนเรือนล้าน เสบียงอาวุธล้วนมิขาดแคลน ต่อให้ต้องป้องกันหนึ่งปีครึ่งก็เป็นเรื่องง่าย”
เซวียนซงถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “แม้นเป็นเช่นนี้ เป่ยฮั่นจะยืนหยัดได้อีกนานเท่าใด ต่อให้มิมีผู้ใดบอกกล่าวข้า แต่ข้าทราบว่าสถานการณ์ในยามนี้มิเอื้ออำนวยต่อพวกท่านมากเพียงใด มิต้องพูดถึงเรื่องแม่ทัพหลงพลีชีพเพื่อแว่นแคว้น เพียงดูจากที่องค์หญิงจยาผิงออกคำสั่งหดแนวป้องกันไปยังจิ้นหยาง ก็ทราบแล้วว่าพวกท่านไม่มีหวังคว้าชัยชนะ ทำได้เพียงอาศัยชัยภูมิของจิ้นหยางต้านศัตรู รักษาโอกาสรอดสุดท้ายเอาไว้
หากสุดท้ายกองทัพต้ายงของข้ามิถอยทัพด้วยเหตุจำเป็นบางประการ แคว้นเป่ยฮั่นย่อมล่มสลายเป็นแน่ แม่ทัพต้วน แม้ท่านมิรักชีวิตของตน แต่มิรักชีวิตของทหารใต้บัญชาของตนหรือ ยามนี้กองทัพต้ายงโอบล้อมผิงเหยา ฉีอ๋องกังวลว่าท่านจะลอบจู่โจมเส้นทางขนเสบียงด้านหลัง ประกอบกับมีเวลาเหลือเฟือ จึงบุกตีเมืองเต็มกำลังเช่นนี้ มิเช่นนั้นเพียงทิ้งคนสองสามหมื่นไว้ล้อมผิงเหยา กองทัพหลวงก็ขึ้นเหนือต่อได้แล้ว หากท่านอยู่ป้องกันอีกสองวัน น่ากลัวว่าคงมิมีโอกาสได้หวนกลับจิ้นหยางอีกต่อไป”
ต้วนอู๋ตี๋มิโต้แย้ง หลายวันที่ผ่านมาเขาสนทนากับเซวียนซงมาหลายหน แม้นทั้งสองฝั่งต่างระแวงกันและกัน คิดแต่จะล้วงข้อมูลจากอีกฝ่ายเพิ่มสักหน่อย ทว่าต่างคนก็ชื่นชมความสามารถของอีกฝ่ายอยู่พอสมควร ทั้งสองคนล้วนเป็นยอดแม่ทัพผู้ชำนาญในการป้องกัน ดังนั้นเซวียนซงเห็นเพียงไม่กี่อย่างเท่านี้ก็ทราบสถานการณ์ในเมืองแล้ว
สิ่งที่เซวียนซงกล่าวมิผิดสักคำ ยิ่งไปกว่านั้น มีบางเรื่องต้วนอู๋ตี๋ก็ทราบอยู่แล้ว แต่มิได้เผยให้เซวียนซงรู้ ตัวอย่างเช่นจักรพรรดิแห่งต้ายงหลี่จื้อยกทัพมาด้วยตนเอง รวมถึงว่ากองทัพหลวงของหลี่จื้อตัดขาดเส้นทางระหว่างไต้โจวกับซินโจวแล้ว
ต้วนอู๋ตี๋กังวลใจกับเรื่องนี้ยิ่งนัก แม้องค์หญิงจยาผิงจะได้รับบัญชาจากเจ้าแคว้น กลายเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งจิ้นหยางของกองทัพเป่ยฮั่นอย่างเป็นทางการเพราะกองทัพไต้โจวไร้หนทางหวนคืนบ้าน ถูกบีบให้ต้องอยู่ในจิ้นหยาง ทว่าต้วนอู๋ตี๋รู้สึกได้เลือนรางว่านี่น่าจะเป็นหมากตาสำคัญยิ่งของกองทัพต้ายง มันอาจทำให้เป่ยฮั่นล่มสลาย
น่าเสียดายเขาเป็นนายทหารตัวคนเดียว มีบางเรื่องเขายังมิเข้าใจนัก เขาเพียงสังหรณ์ว่าการกระทำนี้ของต้ายงเป็นอันตรายด้วยสัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว แต่มิทราบเจตนาแท้จริงในเรื่องนี้
เซวียนซงเห็นต้วนอู๋ตี๋เงียบงันยอมรับคำพูดของตนก็เอ่ยต่อว่า “อีกประการหนึ่ง สถานภาพของแม่ทัพต้วนก็ดูเหมือนจะมิดีนัก…”
เพิ่งกล่าวถึงตรงนี้ ต้วนอู๋ตี๋ก็ยกมือขึ้น ห้ามคำพูดที่เขากำลังจะเอ่ยตามมา แล้วกล่าวเสียงเข้มว่า “ใจข้ายึดมั่นเจตจำนง แม้นชีวิตปลิดปลงมิเสียใจ”
เซวียนซงสะท้าน เขามองใบหน้าจริงจังแน่วแน่ของต้วนอู๋ตี๋ ในที่สุดก็ถอนหายใจกล่าวว่า “ในเมื่อแม่ทัพต้วนมิเสียใจกับการตัดสินใจหนนี้ ผู้แซ่เซวียนก็มิต้องการจะดูแคลนเกียรติยศของท่านแม่ทัพ เพียงแต่ผู้สัตย์ซื่อมักถูกคลางแคลง ขุนนางภักดีมักถูกใส่ไคล้ นี่คือความทุกข์โศกนับแต่โบราณ แม้นเจ้าแคว้นของท่านมิใช่เจ้าแคว้นผู้โง่เขลา ทว่ายามเผชิญวิกฤตเช่นนี้ อาจรอบคอบมากเกินไปอย่างยากจะเลี่ยง หวังว่าหากถึงยามไร้หนทางแก้ไข ท่านแม่ทัพจะมิภักดีอย่างโง่เขลาจนถึงสุดท้าย”
ในที่สุดต้วนอู๋ตี๋ก็หันกลับมา กล่าวขึ้นมาอย่างราบเรียบ “หากข้าปล่อยแม่ทัพเซวียนกลับไป ท่านจะให้สิ่งใดตอบแทน”
เซวียนวงเตรียมตัวมาก่อนแล้ว หากมิคิดจะใช้ประโยชน์จากตน มีหรือจะมิสังหารไปเสียแต่แรก หรือไม่ก็ส่งตนเองให้องค์หญิงจยาผิงพาไปจิ้นหยาง ไยต้องเปลืองแรงรั้งไว้ในกองทัพ เขามองสีหน้าซีดเซียวแต่นิ่งสงบของต้วนอู๋ตี๋แล้วคลี่ยิ้ม “แม่ทัพผู้ติดกับของศัตรู แต่เดิมก็ไร้อำนาจตัดสินชะตาชีวิตตน หากท่านตั้งใจเช่นนั้น มิสู้ส่งทหารส่งสารไปพบฉีอ๋องดู”
ต้วนอู๋ตี๋ตอบอย่างสุขุม “ถึงอย่างไรก็ต้องป้องกันอีกวัน จึงจะมีช่องให้ต่อรอง”
เซวียนซงยิ้มเจื่อน คิดมิถึงตนเองกลับกลายเป็นสินค้าไปเสียแล้ว เขาสบสายตาต้วนอู๋ตี๋ ทันใดนั้นรอยยิ้มจืดเจื่อนของเซวียนซงก็ค่อยๆ มลายหายไป เขามองเห็นความโศกเศร้าที่อยู่ลึกลงไปในดวงตาของบุรุษผู้นี้ ทุกสิ่งที่ตนกล่าวมา เขาล้วนเข้าใจดี หากกล่าวถึงความสามารถ ต้วนอู๋ตี๋เหนือกว่าตนอย่างแน่นอน เพียงแต่ตนโชคดีเกิดเป็นขุนนางของต้ายง ส่วนคนผู้นี้โชคร้ายที่เป็นแม่ทัพของเป่ยฮั่น ‘แม้นชีวิตปลิดปลงมิเสียใจ’ เอ่ยบทกวีดังวรรคนี้ออกมาย่อมบ่งบอกว่าใจของคนผู้นี้ปล่อยวางแล้ว
เขาโค้งกายคำนับ กล่าวขึ้นว่า “หากผู้แซ่เซวียนได้กลับถึงค่ายต้ายงและองค์ชายมิกล่าวโทษ ข้าจักนำทัพออกมาสู้รบกับท่านแม่ทัพ หากท่านแม่ทัพโชคร้ายติดอยู่ในวงล้อม หวังว่าท่านแม่ทัพจะมิมุ่งแสวงแต่ความตาย ผู้แซ่เซวียนจักขอความเมตตาจากองค์ชาย ให้รักษาชีวิตและเกียรติยศของท่านแม่ทัพ”
ตอนแรกต้วนอู๋ตี๋โมโหอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเซวียนซงสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง สีหน้าของเขาก็อ่อนลง ตอบว่า “ในอดีตผู้แซ่ต้วนเคยได้ยินมาว่าแม่ทัพเซวียนชื่นชมผู้มีใจภักดี ท่านมีวาสนาพบบัณฑิตบ้าหยางช่านในแคว้นสู่เพียงหนเดียวก็มอบทองคำที่มีทั้งหมดให้ ทำให้ภรรยาและบุตรของเขาได้มีชีวิตอย่างสงบสุข ผู้แซ่ต้วนทราบว่าท่านเจตนาดี แม้มิอาจรับแต่ก็ซาบซึ้งอย่างยิ่ง”
แม้จะถูกต้วนอู๋ตี๋ปฏิเสธอ้อมๆ แต่ในใจเซวียนซงหามีความขุ่นเคือง เพียงมีความรู้สึกเสียดายเพิ่มขึ้นมาอยู่บ้างเท่านั้น ระหว่างที่หมุนตัวเดินออกมา ในหัวใจของเซวียนซงรู้สึกแสนเสียดาย นับตั้งแต่รบกับกองทัพเป่ยฮั่นมาล้วนต้องทอดถอนใจให้ทหารหาญผู้จงรักภักดีเหล่านี้ หากล่มแคว้นเป่ยฮั่นสำเร็จ จะเข้าครองใจประชาชนของดินแดนแห่งนี้ได้จริงหรือ เซวียนซงรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าการบุกโจมตีเป่ยฮั่นอาจเป็นการจมลงสู่บึงโคลน
สองวันหลังจากนั้น หลี่เสี่ยนก็มิบุกโจมตีเมืองอีก ต้วนอู๋ตี๋ฉงนยิ่งนัก แต่เขายุ่งอยู่กับการปรามคลื่นใต้น้ำในกองทัพจนหัวแทบไหม้ จึงมิทันสนใจขบคิดให้ลึกซึ้ง วันที่สี่กองทัพต้ายงแห่จากทุกสารทิศมารวมตัวกันที่ผิงเหยา แม้ต้วนอู๋ตี๋ถ่วงเวลากองทัพต้ายงจากการบุกตีจิ้นหยางได้ แต่ตนเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอกไร้ทางถอย
ต้วนอู๋ตี๋ยืนอยู่บนกำแพงเมืองพลางคิดว่ามิรู้ว่าทูตที่ส่งไปยังกองทัพต้ายงจะทำหน้าที่ลุล่วงหรือไม่ แม้การใช้ตัวประกันบีบบังคับจะน่าอับอายอยู่บ้าง แต่หากช่วยเหล่าทหารใต้บัญชาให้รอดได้ก็คุ้มค่าแล้ว
เขารู้ชัดเจนยิ่งนัก แม้เซวียนซงมีตำแหน่งสำคัญในกองทัพต้ายง แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่แม่ทัพเอก ดังนั้นข้อเรียกร้องของเขาจึงมิยากเย็น ขอเพียงกองทัพต้ายงมิไล่ตามโจมตีกองทัพเป่ยฮั่นที่ล่าถอย เมืองผิงหยวนก็จะตกอยู่ในมือของกองทัพต้ายงอย่างสมบูรณ์เรียบร้อย เขาสัญญาว่าจะมิเผาทำลายเสบียงและอาวุธในเมือง
เขาเชื่อว่าเงื่อนไขนี้น่าจะทำให้ข้อตกลงสำเร็จ เพราะสำหรับกองทัพต้ายงแล้ว กำลังทหารกองนี้ของตนมิสำคัญ แต่เซวียนซงเป็นที่นับถือของเหล่าทหารในกองทัพ หากฉีอ๋องมิสนใจไยดีชีวิตของเซวียนซง เกรงว่าในใจทหารกองทัพต้ายงคงเกิดความขุ่นเคือง ในสถานการณ์ที่มิต้องเสียสิ่งใดมากมาย เขาเชื่อว่าฉีอ๋องจะมิทำเรื่องโง่เขลาอย่างการทำให้คนฝั่งตนเจ็บปวด แต่ฝ่ายศัตรูสาแก่ใจเช่นนั้น
เมื่อหลี่เสี่ยนได้รับสารจากต้วนอู๋ตี๋ก็หัวเราะดังลั่น สองวันนี้เขาหยุดกองทัพมิบุกโจมตีก็เพื่อสารฉบับนี้ วันนั้นหลังจากประชุมกองทัพเสร็จ เขาก็เรียกซูชิงเข้ามาพบเป็นการส่วนตัว ถามเรื่องการกระจายข่าวลือจนกระจ่าง เขาเข้าใจเจตนาของเจียงเจ๋อ หลังจากได้รับจดหมายจากเจียงเจ๋อ ใจเขาก็ยิ่งกระจ่างดั่งคันฉ่อง เพื่อให้ข่าวลือยิ่งสมจริง เขาจึงมิบุกโจมตีต่อ เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมีโอกาสปล่อยข่าวลือว่าต้วนอู๋ตี๋เห็นสถานการณ์อันตรายจึงคิดเปลี่ยนฝ่าย
คำนินทาทำลายคนได้ หลี่เสี่ยนเชื่อว่าต้วนอู๋ตี๋คงทนได้อีกมินาน ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่มีประโยชน์อื่นใด เพียงช่วยเซวียนซงกลับมาได้ก็นับว่าคุ้มแล้ว หวนนึกถึงการจากลากลางดึกคืนนั้น หลี่เสี่ยนยังรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ ดังนั้นเขามิเพียงรับปากเงื่อนไขของต้วนอู๋ตี๋ แต่ยังส่งทูตเดินทางไปยังผิงหยวนด้วย ทูตคนนี้ก็คือซูชิง