“……” ปาจรีย์กัดริมฝีปาก นานมากที่ไม่ได้ตอบกลับ
พงศกรมองเธอ “นี่เธอตอบไม่ออก หรือว่าอะไร??”
ปาจรีย์ยิ่งก้มหัวต่ำลง ก็ยังไม่พูดอะไร
เธอจะพูดได้อย่างไร ในใจของเธอ จริงจริงแล้วก็คือผู้ชายคนหนึ่งที่ตีผู้หญิงนั่นแหละ?
ไม่ว่ายังไงแล้วแม้กระทั่งเรื่องที่ดึงเธอไปทำแท้งลูกก็สามารถทำออกมาตี การที่ตีเธอจะนับประสาอะไร?
อีกอย่าง ระหว่างพวกเขาก็ยังมีความแค้นต่อกัน พอเรื่องพวกนี้มาบวกกันแล้ว ยังมีเหตุผลไม่พอที่เขาจะตีคนเหรอ?
แต่ว่าคำพูดพวกนี้ เธอไม่สามารถพูดได้ ไม่เช่นนั้นจะยิ่งเป็นการยั่วโมโหเขา ทำให้เขารู้สึกว่า เธอดูถูกเขาในใจ
อย่างไรก็ตามผู้ชายคนหนึ่งที่ตีผู้หญิงเป็น จะคิดว่าตนเองมีปัญหาได้อย่างไร คนที่มีปัญหา ล้วนเป็นผู้หญิงทั้งนั้น
มองดูท่าทางของปาจรีย์ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมตอบ พงศกรถอนหายใจ “เธอไม่อยากพูดก็ช่างเถอะ ฉันก็ไม่บังคับเธอ”
“ขอบคุณ” ปาจรีย์ตอบกลับด้วยเสียงเบาดั่งยุง
พงศกรยื่นมือที่ถูกลวกจนบาดเจ็บออกไป “ตุ่มพองที่ถูกลวกบนมือของฉัน เธอคงต้องรับผิดชอบสินะ?”
“แน่นอน” ปาจรีย์พยักหน้า จากนั้นก็มองดูมือข้างหลังที่เขาถูกลวก เห็นจุดที่ตอนแรกแดงๆ ตอนนี้กลับเกิดตุ่มพองขึ้นมากะทันหัน คนทั้งคนของเธอตะลึงงันไปเลย ตะโกนพูดพลางปิดปากอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ทำไมแค่แป๊บเดียวก็เกิดตุ่มพองแล้ว”
“ซุปที่ร้อนขนาดนั้น บวกกับอุณหภูมิที่ขึ้นสูงของน้ำมัน จะร้อนกว่าอุณหภูมิของน้ำต้มสุกธรรมดา และมือของฉัน เพราะว่าต้องทำการผ่าตัดบ่อยๆ ดังนั้นจึงให้ความสำคัญกับการบำรุง ผิวพรรณจึงละเอียดอ่อนกว่าอวัยวะในที่อื่นๆ เธอคิดว่าถูกลวกลงมาแบบนี้ จะไม่เกิดตุ่มพองเหรอ?” พงศกรมองเธอ
ปาจรีย์ส่ายหัวด้วยความรน “ขอโทษ ฉันไม่รู้”
เธอไม่รู้จริงจริงว่าผิวตรงมือของเขาจะเบาะบางเช่นนี้ อ่อนนุ่มยิ่งกว่ามือของเธอเสียอีก
“ครั้งนี้ก็ช่างเถอะ ครั้งหน้าระวังด้วย” พงศกรพูด
ปาจรีย์อื้มตอบกลับ “ฉันรู้แล้ว หลังจากนี้ฉันจะระวัง จะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก ดังนั้นคุณพงศกร ฉันไปเรียกคุณหมอของคุณมา ตุ่มพองนี้ ฉันจัดการไม่เป็น”
พูดจบเธอก็จะไปหาคุณหมอ
และยังไม่ทันรอให้เธอเดินก้าวออกไป ก็ถูกพงศกรเรียกไว้
“ไม่ต้องเรียกหมอ” พงศกรชี้ไปทางลิ้นชักตรงหัวเตียง “ถุงปฐมพยาบาลในลิ้นชักมียาสำหรับรักษาแผลปกติธรรมดาอยู่ รวมถึงแผลที่ถูกลวก ครั้งที่แล้วยาที่ใช้จัดการกับแผลคุณพ่อของเธอ ก็สามารถจัดการให้ฉันเหมือนกัน ดังนั้นเธอแค่ใช้พวกนี้ก็พอแล้ว”
“จริงเหรอ?” ปาจรีย์มองเขาแล้วถาม
พงศกรเม้มริมฝีปากบางแล้วพูด “ฉันเป็นหมอ ไม่มีทางโกหกเธอ”
“ฉันรู้แล้ว ฉันมาเดี๋ยวนี้เลย” ปาจรีย์พยักหน้า จากนั้นก็โค้งเอวเปิดลิ้นชักออก หยิบถุงปฐมพยาบาลข้างในออกมา
หลังจากที่หยิบออกมาแล้ว เธอเปิดถึงออก แล้วถามว่า “ใช้ยาแบบเดียวกันเหรอ?”
“อื้ม” พงศกรพยักหน้า
ได้รับการตอบรับแล้ว ปาจรีย์จึงจะค่อยๆ ปิดตาลง นึกย้อนกลับไปถึงยาที่ใช้จัดการกับแผลของคุณพ่อในตอนนั้น รวมถึงขั้นตอนหลังจากนั้น จึงจะนำยาในครั้งที่แล้วออกมา เริ่มทำแผลให้เขา
ท่าทางของเธออ่อนโยนมาก ภายในอ่อนโยน ก็มีความระมัดระวังแฝงอยู่ กลัวว่าจะทำให้พงศกรเจ็บ จากนั้นก็ทำให้เขาโมโห ดังนั้นเธอดูตื่นเต้นเป็นพิเศษเลยจริงจริง
พงศกรอยากจะให้เธอสงบหน่อย ทว่าเขารู้ หากตนเองเอ่ยปากพูด เธอจะต้องตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม
สู้เงียบๆ อยู่แบบนี้จะดีกว่า ไม่พูดอะไรเลย ไม่แน่ผ่านไปสักพัก พอเธอจริงจังขึ้นมา ก็จะละเลยเขาไป ตัวเธอเองก็จะสงบลง
พอคิดแบบนี้ พงศกรจึงปิดตาไปเลย
ในตอนที่ปาจรีย์เห็นเขาปิดตาลง ก็ยังรู้สึกโล่งอกไปที
เพราะเขาไม่มองเธอ ในใจของเธอก็ไม่ได้มีความกดดันมากมาย ทำงานขึ้นมา ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเขาจ้องอยู่ตลอด และกลัวว่าตัวเองจะทำผิด
ดังนั้น ปาจรีย์ก็ค่อยๆ สงบลง ไม่ได้ตื่นเต้นขนาดนั้นแล้ว ท่าทางที่ทำแผลให้พงศกร ก็ดูเร็วขึ้นไม่น้อย
ในไม่ช้า จัดการกับแผลเรียบร้อยแล้ว ปาจรีย์มักผูกโบอยู่บนมือของพงศกร จากนั้นก็มองผู้ชายตรงหน้าที่ปิดตาอยู่อย่างระมัดระวัง “คุณพงศกร เรียบร้อยค่ะ”
พงศกรได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ปาจรีย์ก้มมองลงล่าง หลีกเลี่ยงจะที่สบตากับเขา
พงศกรมองดูสีหน้าที่หวาดกลัวตนเองของเธอ ในใจทั้งโมโหทั้งจนปัญญา
ทว่าเขารู้ เธอเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะตนเองสร้างขึ้นมา โทษเธอไม่ได้
“เสร็จแล้ว?” พงศกรถาม
ปาจรีย์พยักหน้า “อื้ม? เสร็จแล้ว เธอลองดูว่าเป็นยังไงบ้าง?”
พงศกรก้มหน้ามองไป
ต้องพูดเลยว่า เธอถือว่ามีพรสวรรค์ด้านพยาบาล ผ้าก๊อซนี้ อย่างน้อยก็พันได้ไม่เลว ยังมีผูกโบนั่น ก็สวยมาก
พงศกรพยักหน้าเบาๆ “ไม่เลว”
ได้ยินคำพูดของเขาแล้ว ปาจรีย์โล่งอดไปที ยิ้ม “งั้นก็ดี”
เขารู้สึกไม่เลว งั้นเธอก็วางใจแล้ว
เธอแค่กลัวว่าเขาจะรู้สึกว่าเธอทำแผลได้ไม่ดี แล้วอารมณ์เสีย ฉีกออกจากนั้นก็ให้เธอทำใหม่
ทว่ายังดีที่สุดท้ายแล้วผลออกมาดี เขาไม่ได้ไร้เหตุผลถึงขั้นนั้น
“พอแล้ว ตอนนี้ป้อนซุปให้ฉัน” พงศกรวางมือลง นัยน์ตามองไปทางซุปซี่โครงหมูตรงหัวเตียง
ปาจรีย์ตะลึงงันไปเลย “ป้อนคุณ……ดื่มซุป?”
เธอคิดว่าตนเองฟังผิดไปแล้ว รู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อหูของตนเอง
และแล้วพงศกรก็เอ่ยปากพูดซ้ำอีกครั้ง “แน่นอนว่าเธอป้อนฉัน มือของฉันถูกเธอลวกโดนแล้ว เธอคิดว่าฉันจะยังสามารถถือถ้วยได้อยู่หรือเปล่า?”
เขายกมือซ้ายที่พันแผลไว้ขึ้นมา
ปาจรีย์มองมือของเขาที่ถูกผ้าก็อซพันไว้ ทันใดนั้นก็เงียบไปเลย
พงศกรวางมือลงแล้วพูดเร่ง “ยังไม่รีบอีก อึ้งอยู่ทำไม เดี๋ยวเย็นแล้ว”
“…….โอเค” ปาจรีย์ไม่ได้ปฏิเสธอีก หลังจากที่สูดหายใจลึกแล้ว ก็หยิบซุปซี่โครงหมูตรงหัวเตียงขึ้นมา ตักขึ้นมาหนึ่งช้อน ยื่นไปทางปากของพงศกร
ครั้งแรกที่เธอป้อนอาหารให้เขา นอกจากจะไม่ชินแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือยังคงตื่นเต้นอยู่ ดังนั้นในตอนนี้ มือจึงสั่นคือมาอย่างไม่สามารถเลี่ยงได้
พงศกรเห็นแล้ว นัยน์ตาเปล่งประกายเล็กน้อย “เธอเป็นแบบนี้ ไม่กลัวว่าซุปจะหยดลงมาแล้วลวกโดนฉันอีกเหรอ?”
สีหน้าของปาจรีย์เปลี่ยนไปเลย รีบนำช้อนตักซุปวางลงในถ้วย ขอโทษด้วยความรน “ขอโทษ”
เธอไม่สามารถควบคุมความตื่นเต้นของตนเองได้จริงๆ อีกอย่างพอตื่นเต้นขึ้นมา มือก็จะสั่นง่าย
ดังนั้น เธอไม่สามารถป้อมเขาดื่มซุปได้จริงๆ ทว่าหากไม่ป้อนเขาดื่มซุป ตัวเขาก็ไม่สามารถดื่มเองได้
ตอนนี้ควรทำอย่างไรดี?
ปาจรีย์ก้มหน้าลง ทันใดนั้น ก็ตกอยู่ในความลำบากใจ
พงศกรเชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาอยู่แล้ว แน่นอนที่จะมองออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ถอนหายใจ “โอเค เธอออกไปเถอะ ฉันทานเอง”
“คุณจะทานยังไง?” ปาจรีย์มองเธอด้วยความแปลกใจ
พงศกรพูดด้วยเสียงเบา “ฉันใช้มือข้างเดียวได้ อย่างไรก็ตามมือเธอสั่น หากฉันไม่ทานเอง จะรอให้ฉันหิวตายเหรอ?”
“ฉัน……ขอโทษ” ปาจรีย์ก้มหน้าลงด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
เธอไม่ได้ตั้งใจจะมือสั่นจริงๆ
แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ทนไม่ไหวจริงๆ
พงศกรโบกมืออีกข้างหนึ่ง “พอแล้ว ไม่ต้องพูดขอโทษแล้ว เธอออกไปเถอะ”
“แต่ว่าคุณคนเดียวไหวจริงๆ เหรอ?” ปาจรีย์ยืนอยู่ตรงข้างเตียง รู้สึกไม่ค่อยวางใจ
พงศกรเผยใบหน้าที่ดูถูกเยาะเย้ยออกมา “ฉันไม่ไหว เธอก็จะป้อนฉันเหรอ? เธอสามารถควบคุมไม่ให้มือตัวเองสั่นได้เหรอ?”
“ฉัน……”
ปาจรีย์ไม่พูดอะไรแล้ว
พงศกรถอนหายใจ “ปาจรีย์ ฉันคือปีศาจเหรอ?”
เขาถาม
ปาจรีย์ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงถามคำถามนี้ ทันใดนั้นสมองของเธอก็ตันไปหมด “หมาย……หมายความว่าอะไร?”
“ฉันบอกว่า ฉันเป็นปีศาจเหรอ?” พงศกรมองเธอ
เขาไม่ได้ตอบเธอว่าหมายความว่าอะไร แต่กลับถามอีกครั้ง
ปาจรีย์ส่ายหัว “ไม่ใช่ คุณเป็นคน”
เขาเป็นคน จะเป็นปีศาจอะไรได้ยังไง