เล่ม-1 ตอนที่ 236-1 ตัวน้อยผู้กล้าหาญทั้งสาม เผชิญหน้าและบดขยี้

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก นิยายอัพทุกวันเข้ามาดูก่อน

ตอนที่ 236-1 ตัวน้อยผู้กล้าหาญทั้งสาม เผชิญหน้าและบดขยี้

สตรีบนเสลี่ยงยกมือขึ้น สาวใช้ในชุดสีฟ้าเอ่ยกับไซน่าฮูหยินว่า “เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถิด”

ไซน่าฮูหยินพลันยินดี “ขอบคุณธิดาเทพ!”

คณะของเฉียวเวยจึงเดินตามเสลี่ยงเข้าไปในวังหลวง พวกองครักษ์ที่ก่อนหน้านี้ยังขัดขวางพวกเขาอยู่ดูราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ได้แต่ยืนอย่างเคารพนบนอบอยู่ด้านข้าง ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปข้างใน

ดูท่าฐานะของธิดาเทพในชนเผ่าถ่าน่าคงจะสูงส่งมากทีเดียว แม้แต่ปราสาทเฮ่อหลันที่มีศักดิ์เป็นประหนึ่งวังหลวง นางยังสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ มิน่าเล่าแม้แต่ไซน่าฮูหยินยังเกรงใจนางถึงเพียงนี้

คราก่อนที่มาปราสาทเฮ่อหลัน พวกนางตรงเข้าไปยังโถงประชุม จึงไม่ทันได้ชื่นชมทิวทัศน์ภายในปราสาทโบราณแห่งนี้สักเท่าไร วันนี้เมื่อได้เดินเอื่อยๆ ตามขบวนธิดาเทพเข้าไป ถึงได้เห็นว่าทิวทัศน์ภายในปราสาทช่างน่าอภิรมย์ยิ่งนัก สนามหญ้าผืนใหญ่เขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ต้นมะพร้าวกับต้นไผ่น้ำเต้าดกหนา เป็นที่เขียวขจียิ่ง ยังมีแปลงดอกไม้ทรงกลมกระจายอยู่ ปลูกไม้อวบน้ำ ดอกชบาและต้นปั้นจือเหลียนอยู่เต็มไปหมด

ระหว่างทางนอกจากต้นไม้ใบหญ้าแล้ว ยังเห็นสิ่งปลูกสร้างหน้าตามีเอกลักษณ์อยู่อีกไม่น้อย รูปแบบสิ่งก่อสร้างที่นี่มีสีสันดูประหลาดตา ให้ภาพที่งดงามยิ่งนัก

เข้ามาในปราสาทเฮ่อหลันได้ไม่เท่าไร รถม้าก็แล่นต่อไปไม่ได้อีก เฉียวเจิงกับซาลาเปาน้อยทั้งสองรวมถึงสัตว์น้อยทั้งสามจึงลงจากรถม้า

เฉียวเจิงมองสภาพโดยรอบด้วยความใคร่รู้ นี่เป็นสถานที่ที่ชิงหลวนเติบโตมา แม้แต่ในอากาศก็คล้ายสามารถได้กลิ่นของชิงหลวน

ซาลาเปาน้อยทั้งสองเบิกตากลมโตที่ใสแจ๋วราวกับอัญมณี หันมองไปทั่วด้วยความสนใจ พวกเขาไม่รู้เรื่องต้นไม้ใบหญ้ามากนัก แต่พวกเขาเห็นม้าเห็นแกะที่อยู่ทั่วทุกหนแห่งแล้วรู้สึกน่าสนุกยิ่งนัก!

ต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋เดินตามหลังทั้งสองไปด้วยความภูมิใจ จูเอ๋อร์ก้าวเดินด้วยท่วงท่าสง่างาม กางร่มคันเล็ก หิ้วกระเป๋าใบน้อย ครานี้ไม่ใช่ของในจินตนาการอีก แต่เป็นร่มกันแดดสีเหลืองสดน่ามองที่เฉียวเวยทำให้ กระเป๋าที่ถือเฉียวเวยก็เป็นคนเย็บให้เช่นกัน บนกระเป๋า เฉียวเวยยังใช้ฝีเข็มที่ดูไม่เชี่ยวชาญนัก ปักเป็นรูปตัว LV บิดๆ เบี้ยวๆ ให้อีกด้วย เรียกได้ว่าดูหรูหรามีสกุลมากทีเดียว!

จูเอ๋อร์ดูเหมือนคุณนายผู้สง่างาม ระหว่างที่เดินยืดอกเชิดหน้าไปนั้น ก็ยังไม่ลืมที่จะเด็ดดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กๆ ขึ้นมาทัดผมด้วย

บ่าวไพร่ในปราสาทถูกครอบครัวที่น่าสนใจนี้ดึงดูดสายตากันไปหมด

แน่นอนว่า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้เชยชมรูปลักษณ์ของจั๋วหม่าน้อย อย่างเช่นระหว่างทางนี้ คนในปราสาทจำนวนมากล้วนไม่คุ้นหน้าเฉียวเวย รู้สึกเพียงว่าสตรีสาวนางนี้รูปโฉมงดงามยิ่งนัก ทั้งยังดูคุ้นตาอยู่เล็กน้อย แต่ให้บอกตอนนี้ว่าเคยพบเห็นที่ไหนก็บอกไม่ถูก

ยิ่งได้มองเด็กทั้งสองข้างกายนาง ก็ยิ่งเห็นว่างดงามด้วยกันทั้งคู่ เด็กชายผอมเพรียวอยู่สักหน่อย ช่วงตาหล่อเหลา เครื่องหน้าทั้งห้าประณีต สายตามีแววมุ่งมั่น ตามตัวเขามีกลิ่นอายแห่งความสูงส่งอย่างยากจะอธิบายแผ่ออกมา ส่วนเด็กหญิงตัวน้อยตัวอ้วนกลม แก้มแน่นอวบแดงปลั่ง ตากลมโตกะพริบปริบๆ ดูน่ารักสดใสอย่างบอกไม่ถูก

ด้านหลังเด็กน้อยทั้งสองมีเพียงพอนหิมะสองตัวที่ดูองอาจ (ในที่สุดก็มีคนไม่เห็นพวกเขาเป็นสุนัขตัวน้อยเสียที!)

ที่ทำให้คนตาโตอ้าปากค้างมากที่สุดคือเจ้าลิงน้อยที่มือถือร่มสีเหลือง ทัดดอกไม้สีเหลือง หิ้วกระเป๋าถือใบเล็ก ทั้งยังคอยเอาผ้าเช็ดหน้าซับจมูกเป็นพักๆ เจ้าลิงน้อยคอยชี้ชวนไปยังต้นไม้ใบหญ้าที่อยู่ด้านข้าง

“มันบอกว่าดอกนั้นน่าเกลียดมาก!”

“มันบอกว่าดอกนี้น่าเกลียดกว่าเสียอีก!”

เหตุใดใบหน้าของเจ้าลิงน้อยถึงได้ดูเปลี่ยนไปมาหลากหลายอารมณ์เพียงนี้ ทุกคนงงงวยกันยิ่งนัก ที่น่างงไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาถึงขั้นอ่านสีหน้ามันออกด้วยนี่สิ

หลังจากเดินไปได้พักหนึ่ง พวกเขาก็มาถึงที่พักของเหอจั๋ว สาวใช้สิบหกคนค่อยๆ วางเสลี่ยงลงบนพื้นราบ สาวใช้ในชุดสีฟ้าค้อมกายลงเปิดม่านโปร่ง สตรีในชุดกว้างกรุยกรายสีแดงก้าวออกมาจากเสลี่ยง

เฉียวเวยเห็นเพียงแผ่นหลังของนางเท่านั้น แต่กระนั้นแม้จะเห็นเพียงแผ่นหลัง แต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงรัศมีแห่งความยิ่งใหญ่

สาวใช้ที่เฝ้าอยู่ตรงประตูสวนค้อมกายคาราวะ ธิดาเทพเดินผ่านไป

คณะของเฉียวเวยถึงแม้จะตามธิดาเทพเข้ามา แต่หากต้องการเข้าพบเหอจั๋ว ก็ยังต้องให้เหอจั๋วเอ่ยปากเรียกอยู่ดี ดังนั้นพวกเขาเลยรออยู่ด้านหลังเสลี่ยง คนที่รออยู่ด้วยกันยังมีสาวใช้ยกเสลี่ยงทั้งสิบหกคนกับสาวใช้ในชุดสีฟ้าผู้นั้นที่ดูมีฐานะอยู่พอตัว

สีหน้าทุกคนดูเคร่งขรึม ท่าทางห้ามใครย่ำกรายทั้งสิ้น

เฉียวเวยยืดคอยาว มองไปทางสวนก็เห็นธิดาเทพเดินไปตรงริมสระน้ำ หลังจากนั้นก็มีคนยกเก้าอี้เข้ามา ธิดาเทพนั่งลง เฉียวเวยมองอะไรไม่เห็นทั้งสิ้นแต่ได้ยินเสียงของธิดาเทพบางเบาประหนึ่งลมอ่อนๆ ที่พัดผ่านซอกเขา เพียงแต่สิ่งที่นางพูดนั้นเฉียวเวยฟังไม่เข้าใจ

ไซน่าฮูหยินดูเหมือนจะดูออกว่าเฉียวเวยกำลังงุนงง จึงอธิบายให้นางฟังเบาๆ ว่า “ที่พวกเขาพูดกันไม่ใช่ภาษาทางการของชนเผ่าถ่าน่า แต่เป็นภาษาโบราณ”

“ภาษาโบราณคืออะไร” เฉียวเวยถามด้วยความไม่เข้าใจ

ไซน่าฮูหยินบอกว่า “เป็นภาษาแรกเริ่มของชนเผ่าถ่าน่า ตอนหลังชนเผ่าถ่าน่าจงรักภักดีต่อราชสำนัก ถึงได้เริ่มพูดภาษาราชสำนักกัน มีเพียงประมุขแต่ละสมัยกับโหราจารย์เท่านั้นที่ยังคุ้นชินกับการพูดภาษาโบราณ แต่ตั้งแต่ชนเผ่าถ่าน่าถูกสังหารล้างบางแล้ว โหราจารย์คนสุดท้ายก็เสียชีวิตไป เมื่อโหราจารย์ขาดการสืบทอด ตำหนักธิดาเทพจึงเรืองอำนาจขึ้นมา นับว่าเข้ามามีบทบาทแทนที่โหราจารย์”

เฉียวเวยถามต่อว่า “พวกเขาคุยอะไรกันหรือ”

ไซน่าฮูหยินกระแอมไอ จั๋วหม่าน้อย ท่านแอบฟังคนอื่นเช่นนี้จะดีหรือ ในใจคิดต่อต้านเช่นนี้แต่หูกลับคอยเงี่ยฟังพร้อมแปลให้ว่า “ธิดาเทพบอกว่านางมาเยี่ยมเหอจั๋ว แค่เพราะอยากดูว่าสุขภาพของเหอจั๋วดีขึ้นหรือยัง เหอจั๋วบอกกับธิดาเทพว่าเขาดีขึ้นมากแล้ว ธิดาเทพกำชับเหอจั๋วว่าอย่าได้เหน็ดเหนื่อยจนเกินไป ต้องนอนพักผ่อนให้มาก”

ก็ใช่น่ะสิ ท่านตานางสุขภาพไม่ดีแล้ว ควรจะพักผ่อนให้มากๆ นังตัวปลอมนั่นไม่สนใจความเป็นความตายของท่านตานาง แกล้งทำเป็นป่วยต้องให้ท่านตานางอยู่เป็นเพื่อน ช่างเลวร้ายยิ่งนัก!

จู่ๆ ไซน่าฮูหยินก็ตาเป็นประกาย “ธิดาเทพเอ่ยถึงพวกเรากับเหอจั๋วแล้ว!”

พอสิ้นเสียงนาง ทางด้านธิดาเทพก็เดินออกมา สาวรับใช้ในชุดสีฟ้ารีบเรียกให้สาวใช้ทั้งสิบหกคนยกเสลี่ยงเดินไปทางธิดาเทพ

เฉียวเวยอยากดูว่าธิดาเทพแห่งชนเผ่าถ่าน่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าถูกเสลี่ยงบังเอาไว้อีก

เฮ่อ อยากเห็นแม่หญิงงามสักหน่อยยังยากเพียงนี้ ช่างขัดใจนัก!

เสลี่ยงของธิดาเทพถูกยกออกไป

ในบรรยากาศยังคล้ายมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยอยู่

สาวใช้ที่แต่งกายคล้ายนางกำนัลเดินออกมาเอ่ยทักทายกับไซน่าฮูหยิน

ไซน่าฮูหยินระบายยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางชิงเหยียน ใช่ว่าเหอจั๋วยินดีจะพบพวกเราแล้วหรือไม่”

นางกำนัลที่ถูกเรียกว่าชิงเหยียนพยักหน้าพลางมองตรงมา “เชิญตามข้ามา”

วาจาของธิดาเทพช่างใช้การได้ดีจริงๆ แค่นางเอ่ยกับท่านตานางเพียงประโยคเดียว ท่านตาก็ยอมกดข่มความเหนื่อยล้าเพื่อพบหน้าพวกเขาแล้ว

คณะของเฉียวเวยกับไซน่าฮูหยินเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมกัน

คนในตำหนักแห่งนี้ล้วนเคยพบเห็นจั๋วหม่าน้อยกับครอบครัวของนางมาก่อน ดังนั้นเมื่อได้เห็นใบหน้าที่เหมือนเฉียวเวยราวกับแกะพร้อมกับครอบครัวที่เห็นชัดว่ามีทั้งจำนวนและประเภทที่เท่ากันแล้ว แต่ละคนจึงพากันตะลึงงัน

เมื่อได้มองประเมินสีหน้าคนกลุ่มนี้ เฉียวเวยอดคิดถึงธิดาเทพคนเมื่อครู่ขึ้นมาไม่ได้ ว่ากันโดยหลักเหตุผลแล้ว ธิดาเทพเคยพบเห็นนังตัวปลอมคนนั้นมาก่อน ตนกับนังตัวปลอมหน้าตาเหมือนกันราวกับแกะ เมื่อครู่ธิดาเทพไม่ทันเห็น หรือว่าเห็นแล้วแต่ไม่สนใจกันแน่ ถึงได้พานางเข้ามาในปราสาทเฮ่อหลันตามที่นางต้องการเช่นนี้

“เหอจั๋ว ไซน่าฮูหยินกับแขกของนางมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” ชิงเหยียนรายงาน

ทุกคนหยุดยืนกันอยู่ที่ริมสระน้ำ

ที่นี่แสงอาทิตย์กำลังดี สาดส่องให้ความอบอุ่นแก่ผู้คน ตรงข้างสระมีโต๊ะที่วางผลไม้กับขนม ข้างโต๊ะทั้งสองด้านเป็นเก้าอี้นอนสองตัวที่ปูด้วยหนังเสือ เก้าอี้ตัวซ้ายมีสตรีที่รูปร่างสะโอดสะองแต่งกายอย่างชนเผ่าถ่าน่านอนอยู่ บนตัวสตรีนางนั้นห่มด้วยเสื้อคลุมตัวบาง ท่าทางดูอ่อนระทวยยิ่งนัก ไม่ต้องดูก็รู้ว่าเป็นใคร นอกจากนังตัวปลอมนั่นแล้ว ยังจะมีใครกล้าหลอกเหอจั๋วมานั่งตากลมที่ริมน้ำอีก

บนเก้าอี้ทางฝั่งขวา เฉียวเวยได้เห็นเหอจั๋วในตำนาน เขาเป็นชายชราอายุใกล้จะเจ็ดสิบปี วันเวลาได้ทิ้งร่องรอยสลักลึกไว้บนใบหน้าของเขา ผมเขาเป็นสีดอกเลาทั้งศีรษะ นวดเคราและขนคิ้วก็เปลี่ยนเป็นสีเงินขาว สีหน้าเขาไม่สู้ดีนัก แต่ดวงตาที่ดูมีเมตตานั้นดูมีแววตื่นเต้นยินดีอย่างชัดเจน ดูออกว่าเขากำลังอารมณ์ไม่เลวนัก

เค้าโครงเครื่องหน้าทั้งห้าของเขายังพอมีความหล่อเหลาสง่างามให้เห็น พอจินตนาการได้ว่าในวัยหนุ่มเขาจะต้องเป็นบุรุษรูปงามที่มีหญิงสาวนับพันหลงใหลแน่นอน น่าเสียดายที่สายน้ำไม่หยุดไหล วันคืนไร้ปรานี ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังกลายเป็นชายชราคนหนึ่ง

“เหอจั๋ว!” ไซน่าฮูหยินก้าวเข้าไปทำความเคารพ

เหอจั๋วหันมามองนาง เอ่ยอย่างมีเมตตาว่า “ลุกขึ้นเถิด ธิดาเทพบอกว่าเจ้าอยากพบข้า ใช่มีธุระอะไรหรือไม่”

พอสิ้นเสียง สตรีบนเก้าอี้ก็ไอออกมาเบาๆ หลายที นางเอามือยันที่เท้าแขนเพื่อลุกขึ้นยืน ค้อมศีรษะให้ไซน่าฮูหยินเล็กน้อย “ไซน่าฮูหยินมานี่เอง”

“หึ!” ไซน่าฮูหยินกรอกตาบนด้วยความดูแคลน สองมือจับข้อมือเหอจั๋วไว้ “เหอจั๋ว ข้าอยากให้ท่านพบใครคนหนึ่ง ไม่ใช่สิ ใครหลายคน ท่านรับปากข้านะว่าท่านจะต้องพบพวกเขา!”

เหอจั๋วระบายยิ้มอบอุ่น “เจ้าอยากให้ข้าพบผู้ใด”

“เสี่ยวเวย” ไซน่าฮูหยินกวักมือเรียกเฉียวเวยที่อยู่ห่างไปไม่ไกล

เฉียวเวยกำลังพูดคุยกับเฉียวเจิงอยู่ จากมุมของเฉียวเจิง เขาได้เห็นใบหน้าด้านข้างของบุตรสาวตัวปลอมพอดี เท่าที่เขารู้จักบุตรสาว นั่นเป็นรูปลักษณ์ที่เหมือนกับบุตรสาวตนอย่างแยกไม่ออก ตาเขาแทบจะบอดไปเลยทีเดียว “นี่มันเรื่องอะไรกัน ในโลกหล้านี้มีคนหน้าตาเหมือนกันเพียงนี้จริงๆ หรือ”

เฉียวเวยเอ่ยล้อว่า “บางทีท่านแม่ข้าอาจคลอดอีกคนลับหลังท่านก็ได้”

เฉียวเจิงไม่ล้อเล่นด้วย “เป็นไปได้อย่างไร! ในใจชิงหลวนมีเพียงข้า นางไม่มีทางคลอดบุตรให้บุรุษอื่นเด็ดขาด!”

เฉียวเวยหัวเราะเบาๆ แล้วไม่แหย่บิดาตนเองอีก นางเอ่ยตามจริงว่า “วิธีการเดียวกับที่คราก่อนอี้เชียนอินปลอมตัวเป็นท่าน พวกเขาใช้วิธีการเดียวกันในการแปลงโฉมเป็นผู้อื่นชั่วคราว”

คราก่อนนางใช้วิธีนอกรีตเช่นนี้เล่นงานคนตระกูลเฉียว เวลานี้มีคนอื่นใช้วิธีการเดียวกันมาเล่นงานนาง บาปกรรมช่างตามสนองได้ทันใจดีเหลือเกิน สวรรค์เคยละเลยผู้ใดบ้าง!

“ลูกเอ๋ย วันนี้ข้ารูปหล่อหรือไม่” จู่ๆ เฉียวเจิงก็ลูบศีรษะ

เฉียวเวยเข้าใจทันที นางหรี่ตายิ้ม “หล่อ หล่อแทบทนไม่ไหวทีเดียว ท่านตาต้องชอบท่านแน่”

เฉียวเจิงหัวเราะแหะๆ

“เสี่ยวเวย” ไซน่าฮูหยินกวักมือเรียกนางอีกครั้ง

เฉียวเจิง “ไซน่าฮูหยินเรียกเจ้าแหนะ”

เฉียวเวยเดินเข้าไป

นางกำนัลชิงเหยียนถึงได้หันมามองเฉียวเวยเต็มๆ ตา พอได้มองหนังตานางก็พลันกระตุก!

เฉียวเวยเดินมาตรงหน้าเหอจั๋วแล้วค้อมกายทำความเคารพ “เหอจั๋ว”

สายตาตื่นตะลึงของเหอจั๋วหยุดมองที่ใบหน้านาง

ไซน่าฮูหยินรีบดึงมือนางไปจับ “ยังเรียกเหอจั๋วอะไรอีก ควรเรียกว่าท่านตาได้แล้ว!”

“แค่กๆๆ…” สตรีนางนั้นเอามือจับหน้าอกแล้วไอขึ้นมาอย่างรุนแรง

สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ รีบยกน้ำอุ่นเข้ามาให้ทันที นางผลักถ้วยน้ำออก ก่อนเอ่ยด้วยความทรมานว่า “ไซน่าฮูหยิน ท่านยังจะก่อความวุ่นวายอีกหรือ คราก่อนท่านพานางมาอาละวาดที่โถงหน้า ผู้อาวุโสใหญ่เห็นแก่หน้าบิดาท่านกับประมุขตระกูลไซน่า จึงไม่ถือสาหาความกับท่าน ข้าก็ให้อภัยที่ท่านถูกคนหลอกลวง จึงไม่เคยว่าร้ายกล่าวโทษท่านกับท่านตาของข้า คิดไม่ถึงว่าวันนี้ท่านจะถึงขั้นกล้าพาข้าตัวปลอมมาให้ท่านตาข้าพบหน้าอย่างเปิดเผยอีก ท่านคิดจะทำอะไรกันแน่”

สายตาซับซ้อนของเหอจั๋วหยุดมองที่ใบหน้าของเฉียวเวยครู่หนึ่ง ก่อนจะหันไปถามชิงเหยียนว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน”

นางกำนัลชิงเหยียนตอบว่า “เมื่อหลายวันก่อนไซน่าฮูหยินได้พาแม่นางคนหนึ่งมาที่ปราสาทเฮ่อหลันจริงเจ้าค่ะ นางกล่าวอ้างว่าสตรีนางนั้นคือหลานสาวของท่าน แต่ในตอนนั้นผู้อาวุโสทั้งหลายพบพิรุธของนาง จึงได้ไล่ออกจากปราสาทเฮ่อหลันไป”

ไซน่าฮูหยินตะคอกเสียงดังว่า “พบพิรุธอะไร เจ้าอย่าได้พูดเสียไม่น่าฟังเพียงนั้นเชียว! ทั้งๆ ที่เป็นสตรีนางนี้ที่ไม่รู้ใช้วิธีการอะไร ถึงได้ทำให้ตนมีรูปลักษณ์เหมือนจั๋วหม่าน้อยราวกับแกะเช่นนี้! ซ้ำยังเลียนแบบไปถึงคนในครอบครัวของจั๋วหม่าน้อยอีก ตอนหลังก็ขโมยของดูต่างหน้าของจั๋วหม่าน้อยไปเพื่อมาหลอกลวงเหอจั๋วถึงที่นี่! พวกเจ้าถูกหลอกกันทั้งสิ้น! นางไม่ใช่จั๋วหม่าน้อยตัวหจริง! เสี่ยวเวยต่างหากที่ใช่!”

“ข้านี่แหละคือเสี่ยวเวย” สตรีนางนั้นกล่าว

ไซน่าฮูหยิน “ถุย!”

สตรีนางนั้นพลันสะอึก

เหอจั๋วจับจ้องเฉียวเวยนิ่ง “เจ้าเป็นใคร”

เฉียวเวยหันมองเขา สายตาไม่มีหลบหลีกเลยสักนิด “ข้าคือเสี่ยวเวย”

สตรีนางนั้นไอให้หลายทีพลางเอามือจับหน้าอก “เจ้าโกหก!”

ไซน่าฮูหยินตะคอกกลับว่า “เจ้าต่างหากที่โกหก! โกหกกันทั้งครอบครัวเจ้าเลย!”

พูดจบนางก็เดินเข้าไปข้างกายเหอจั๋ว หันมองเฉียวเวยแล้วเอ่ยเกลี้ยกล่อมสุดกำลังว่า “เหอจั๋ว นางต่างหากคือเสี่ยวเวย บุตรสาวที่ชิงเอ๋อร์ให้กำเนิด นางคือหลานสาวแท้ๆ ของท่านนะเจ้าคะ! ท่านอย่าได้ถูกเจ้าตัวหลอมนั่นปิดหูปิดตาเชียว นางเป็นตัวปลอม พ่อของนาง ลูกของนางล้วนเป็นตัวปลอมทั้งสิ้น ตัวจริงอยู่ตรงนู้นอย่างไรเล่า! นายท่านเฉียว! จิ่งอวิ๋น! วั่งซู! พวกเจ้ามานี่!”

เฉียวเวยพาซาลาเปาน้อยทั้งสองที่อยู่ไม่ไกลเดินเข้าไปหา

ตั้งหลายปีเพียงนี้ ในที่สุดก็ได้พบท่านพ่อตาเสียที เฉียวเจิงตื่นเต้นจนมือเหงื่อออก ตอนแรกฝีเท้ายังเต็มไปด้วยความมั่นคง เดินไปอย่างองอาจ แต่เมื่อเข้าไปใกล้ อยู่ๆ สองเท้ากลับพันกันจนหน้าขมำโผเข้าไปแทบเท้าเหอจั๋วจนได้หญ้ามาเต็มปาก

สาวใช้ที่ดูอยู่โดยรอบพากันฮาครืน

เฉียวเวยรีบเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา “ท่านพ่อ!”

เขาถึงขั้นทำเรื่องขายหน้าต่อหน้าท่านพ่อตา ไม่ได้การ ไม่ได้การ! เฉียวเจิงลอบหยิกตัวเองทีหนึ่ง ให้บุตรสาวพยุงตนลุกขึ้นมาแล้วมองไปยังเหอจั๋วที่นั่งอยู่ คำว่า “ท่านพ่อตา” ยังไม่ทันได้ออกจากปาก ก็ถูกสายตาดุดันของเหอจั๋วมองจนแข้งขาอ่อนไปหมด

เฉียวเวยจับเขาไว้แน่น กระซิบบอกว่า “ท่านพ่อ! ท่านทำตัวให้ได้เรื่องหน่อยสิ!”

เฉียวเจิงเอ่ยอย่างน่าสงสาร “ท่านตาเจ้าน่ากลัวนัก…”

ซาลาเปาน้อยทั้งสองวิ่งตึงๆ เข้ามา มองไปทางเหอจั๋วด้วยความใคร่รู้ พวกเขายังไม่รู้ว่าชายชราที่ดูทั้งใจดีและเคร่งขรึมผู้นี้ก็คือตาทวดของพวกเขา จึงเพียงเบิกตาโตแป๋ว มองไปยังใบหน้าอีกฝ่ายอย่างห้ามใจไม่อยู่

เหอจั๋วก็มองมาทางเด็กทั้งสองเช่นกัน เด็กชายหล่อเหลามีมาด เด็กหญิงอ้วนท้วนสมบูรณ์ อวบอิ่มน่ารัก ทำแก้มป่องคล้ายกระรอกอ้วนตัวน้อยที่สนใจใคร่รู้ ใบหน้านี้ช่างละม้ายคล้ายเฉียวเวยยิ่งนัก และย่อมมีส่วนเหมือนเฮ่อหลันชิงอยู่สองสามส่วน

เหอจั๋วยื่นมือที่เต็มไปด้วยความรอยเหี่ยวย่นมาลูบศีรษะเด็กสาวตัวน้อย “เจ้าชื่ออะไร”

“วั่งซู!” วั่งซูเอ่ยอย่างออดอ้อนอ่อนหวานว่า “ท่านตา นี่คือบ้านของท่านหรือ บ้านของท่านใหญ่เหลือเกิน! ใหญ่กว่าบ้านของข้าสามหลังรวมกันเสียอีก!”

“เจ้ามีบ้านสามหลัง?” เหอจั๋วยิ้มออก