บทที่ 895 อิจฉา

บทที่ 895 อิจฉา

เสี่ยวหลิ่วรู้สึกสงสัย ทำไมถึงพาเลขาอายุเท่านี้มาด้วยล่ะ ดูเหมือนเธอจะยังเด็กอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ?

ต้องคอยดูแลหรือเปล่าเนี่ย แค่คิดว่างานดูแลเสี่ยวเถียนจะต้องตกมาอยู่กับตน เสี่ยวหลิ่วรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่ว่าไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจน

ทว่าเสี่ยวเถียนเป็นพวกฉลาด เธอสังเกตเห็นได้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบขี้หน้า แต่เธอไม่ได้คิดอะไรมาก ยังไงก็เจอกันแค่ครั้งเดียวอยู่แล้ว

คนบางคนก็ถูกกำหนดมาว่าคบกันไม่ได้ เช่นนั้นแล้วก็ไม่ได้ต้องไปสนใจอีกฝ่ายหรอก

เสี่ยวหลิ่วมองเด็กตรงหน้าอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร

ส่วนเสี่ยวเถียนเก็บข้าวของเงียบ ๆ

สองเตียงด้านล่างไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ในฐานะที่เป็นคุณย่ารอง ฟ่านชูฟางรักเสี่ยวเถียนราวกับลูกแท้ ๆ เลย ขณะนั่งอยู่บนเตียงก็นึกเรื่องนึงขึ้นได้จึงผุดลุกขึ้น

“เสี่ยวเถียน ถ้าหนูนอนเตียงบนต้องระวังด้วยนะ คงไม่กลิ้งตกลงมาหรอกใช่ไหม?” แกเอ่ยอย่างเป็นกังวล “ไม่งั้นลงมานอนเตียงล่างไหม เดี๋ยวย่าขึ้นไปนอนข้างบนเอง”

ปีนี้ฟ่านชูฟางอายุห้าสิบแล้ว แข้งขาเดินไม่สะดวก ถ้าต้องปีนขึ้นไปคงลำบากแน่ ๆ

หยางลี่หมิงตกใจมาก เธอรู้ว่าเพื่อนรักเสี่ยวเถียนจริงๆ แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำได้ถึงขนาดนี้

“เหล่าฟ่าน เธออายุไม่น้อยแล้วนะ!” หยางหลี่หมิงเอ่ยเตือน

เสี่ยวหลิ่วมองสองย่าหลานด้วยสีหน้าแปลก ๆ

สลับตำแหน่งกันหรือเปล่าเนี่ย? มีหัวหน้าที่ไหนเป็นห่วงลูกน้องได้ถึงขนาดนี้ล่ะ?

เธอมองลงไปอีกครั้ง

เธอติดตามประธานหยางมาตั้งนาน อีกฝ่ายไม่เคยดูแลแบบนี้เลย

เสี่ยวหลิ่วอดอิจฉาไม่ได้

อยากจะสลับตัวกับเสี่ยวเถียนนัก

“เหล่าหยาง พวกเราต้องนอนบนนี้ตั้งหนึ่งคืนเชียวนะ เตียงไม่ได้กว้างเท่าที่บ้านด้วย เกิดเสี่ยวเถียนนอนไม่ดีตกเตียงขึ้นมาจะทำยังไง?

ฟ่านซูฟางยังคงรู้สึกว่าเธอควรขึ้นไปนอนเตียงชั้นบน

เสี่ยวหลิ่วยิ่งไม่เข้าใจ บนโลกใบนี้มีหัวหน้าแบบนี้ด้วยหรือ?

“หนูไม่เป็นไรค่ะย่ารอง หนูนอนรู้ตัวค่ะ” เด็กสาวยิ้ม “เวลาขึ้นรถไฟหนูจะนอนเตียงบนเสมอเลย แล้วก็ไม่เคยตกเตียงด้วยค่ะ”

เธอเน้นย้ำเป็นพิเศษ อย่างน้อยก็เพื่อให้แกไม่เป็นกังวล

เสี่ยวหลิ่วได้ยินสรรพนามว่าย่ารอง แววตาตนเปลี่ยนไปในทันที

ที่แท้ก็ไม่ใช่ลูกน้องนี่เอง คนเป็นหัวหน้าแอบพาลูกหลานบ้านตัวเองออกมาเที่ยวเล่น ถึงว่าทำไมเป็นห่วงนักหนา

ได้ยินว่าหัวหน้าต่งเข้มงวดกับตัวเองและครอบครัวมาก แล้วทำไมถึงแอบอ้างชื่อส่วนรวมเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวได้ล่ะ?

ไม่รู้ว่าผู้นำต่งรู้หรือเปล่าว่า หัวหน้าฟ่านพาหลานที่บ้านไปทำธุรกิจด้วย คนเลวนี่มันเเหมือนกันหมดทุกทีเลยเนอะ ไอ้ความเข้มงวดที่ว่านั่นคือสร้างภาพหรือ?

แต่ไม่ว่ายังไงเรื่องที่เสี่ยวเถียนได้รับความรัก และเสี่ยวหลิ่วอิจฉาก็คือความจริงอยู่ดี

พื้นเพบ้านเธอไม่ได้ต่ำต้อย แต่ทุกคนในครอบครัวก็ล้วนโอนเอียงไปทางพี่ชายน้องชายมากกว่า ส่วนเธอก็ทำได้แค่ฉวยโอกาสเท่านั้น

ตอนเด็ก ๆ พ่อแม่ดูแลเธอแบบทั่ว ๆ ไป

หลังเรียนจบมัธยมปลายก็หางานนี้มาให้ แล้วปล่อยให้เดินไปตามทางเอาเอง

แต่ไม่ว่าจะอิจฉามากแค่ไหน ตนก็ทำได้แค่เฝ้ามองเท่านั้น

“พูดจริงหรือลูก?”

“จริงค่ะย่ารอง” เธอแทบจะยกมือสาบานด้วยซ้ำ

ฟ่านชูฟางยอมเชื่อในที่สุด

หลังเก็บข้าวของเสร็จ เสี่ยวเถียนปีนลงมาจากเตียง

“ย่ารอง อันนี้เป็นข้าวเย็นที่คุณย่าทำมาให้ค่ะ ใกล้ถึงเวลาแล้วด้วยพวกเรากินเลยดีไหมคะ” เธอถาม

เสี่ยวหลิ่วเม้มปากด้วยความรังเกียจ เอาข้าวเย็นมาด้วยเนี่ยนะ เห็นผู้นำเหล่านี้เป็นอะไรกัน?

จะมากินข้าวเย็นชืดขนาดนี้ได้ยังไง?

“ทางรถไฟจัดเตรียมอาหารร้อน ๆ ไว้สำหรับท่านผู้นำแล้ว” เสี่ยวหลิ่วเอ่ย

คิดว่าพวกลูกหลานคนใหญ่คนโตจะฉลาดเสียอีก แต่ดูเหมือนจะไม่จริงเลยนะ สามัญสำนึกพื้นฐานยังไม่มีด้วยซ้ำ

เสี่ยวเถียนไม่คิดสนใจ

หยางลี่หมิงขมวดคิ้ว

วันนี้เสี่ยวหลิ่วเป็นอะไรเนี่ย?

ทางรถไฟเตรียมไว้ให้เราก็จริง แต่มันก็แค่อาหารทั่ว ๆ ไป มีอะไรน่าอวดนัก?

“งั้นก็รีบเอาออกมาเถอะ วันนี้กินเร็วหน่อยดีกว่า”

ฟ่านชูฟางพูดเพียงเท่านั้น

ถ้ากินเยอะไปค่อยเดินย่อยก็ได้นะ

“ที่เอาออกมาวางคือข้าวเย็นทั้งหมดเลยใช่ไหม?”

หยางลี่หมิงเคยกินข้าวของตระกูลซูมาแล้ว และแม้ว่าอาหารจะเย็นแต่ก็ดีกว่าอาหารบนรถไฟมาก

“ท่านประธานคะ อาหารเย็นชืดแบบนี้เกิดกินแล้วปวดท้องขึ้นมาจะทำยังไงคะ?” เสี่ยวหลิ่วรีบปีนลงจากเตียงมาพูดด้วย

แม้ฟ่านชูฟางจะมียศเป็นระดับหัวหน้าแต่ไม่ใช่นายของเธอเสียหน่อย ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหรอก แต่กับหยางลี่หมิงเป็นเจ้านายโดยตรง เธอจำต้องเป็นกังวลให้มาก

“ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นอาหารปรุงเองน่ะ ทั้งสดและสะอาดนะ”

หยางลี่หมิงไม่รู้ว่าเด็กคนนี้คิดอะไร เพราะสายตามัวแค่จ้องไปในกระเปาใบใหญ่ในมือเสี่ยวเถียน

เหมือนจะเดาได้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง

ท่าทางของหญิงชราในตอนนี้ เหมือนหนุ่มสาวยุคปัจจุบันที่คุย ๆ กันตอนยังไม่เห็นหน้าค่าตาเลย

เสี่ยวหลิ่วรีบประจบ “ท่านประธานคะ เดี๋ยวฉันซื้อข้าวมาให้ค่ะ จะได้กินอาหารร้อน ๆ อย่างสบายใจ”

หยางลี่หมิงรอกินข้าวบ้านซูอยู่นะ จะมาสนใจอาหารบนรถไฟทำไม?

“ไม่ต้อง ๆ ฉันกินอาหารพวกนี้ก็พอแล้ว”

แต่เสี่ยวหลิ่วกลับไม่เต็มใจ “จะทำแบบนั้นได้ยังไงคะ? ในเมื่อฉันคอยติดตามคุณก็ต้องดูแลตามหน้าที่ค่ะ”

“เสี่ยวหลิ่ว ในเมื่อเธอตามฉันมาดูงานด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเชื่อฟัง!” ในที่สุดหยางลี่หมิงก็ทนไม่ไหว

ปกติเด็กคนนี้ทำตัวดีจะตายชัก แล้วทำไมวันนี้ถึงทำตัวแบบนี้?

ไม่เหมือนเสี่ยวเถียนเลย

ไม่มีไหวพริบสักนิด!

“แต่ว่าท่านประธานคะ!” เสี่ยวหลิ่วไม่กล้ามีปัญหากับหยางลี่หมิงหรอก แต่เธอมีปัญหากับซูเสี่ยวเถียนต่างหาก

ทำไมเด็กที่ชื่อซูเสี่ยวเถียนอะไรนี่น่ารำคาญเหลือเกิน? อยู่ดีไม่ว่าดีเอาอาหารมาทำอะไรเยอะแยะ?

กระโดกกระเดกนัก!

ที่ท่าปนระธานทำดีด้วยเพราะมีความสัมพันธ์อันดีของหัวหน้าฟ่านต่างหาก

ถ้าพวกท่านกินเข้าไปแล้วเกิดท้องไส้ไม่ดี ได้น่าดูแน่!

เสี่ยวหลิ่วจ้องมองเด็กหญิงด้วยแววตาชั่วร้าย

แต่เสี่ยวเถียนไม่ได้สนใจอยู่แล้ว จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจมากแค่ไหน

ตนยังคงหยิบกล่องอาหารออกมาจากกระเป๋าทีละใบ

กล่องข้าวเป็นอลูมิเนียมขนาดใหญ่พิเศษทั้งหมด

“เสี่ยวหลิ่ว ช่วยไปตักน้ำมาด้วยนะ” หยางลี่หมิงมองท่าทางไม่เต็มใจก่อนจะเอ่ย

และถึงเสี่ยวลิ่วจะรู้สึกเช่นนั้น แต่ในเมื่อเจ้านายสั่งก็ทำได้แค่ยอมไปตักน้ำกลับมา

เจ้าตัวเอาแต่ขบคิดว่า จะทำยังไงถึงจะให้เจ้านายกินอาหารร้อน ๆ ดื่มน้ำซุปร้อน ๆ ได้นะ ไม่เชื่อหรอกว่าอาหารที่ตนเตรียมไว้ให้จะสู้อาหารเด็กคนนั้นไม่ได้ จากนั้นก็ตัดสินใจตรงไปยังท้ายขบวน

เธอเคยนั่งรถไฟขบวนนี้มาก่อน เลยรู้ว่าตู้เสบียงอยู่ถัดจากตู้โดยสารของเราออกไปอีกสองตู้

หญิงสาวเอาเวลาตักน้ำไปรับอาหารให้ท่านประทานก่อน เมื่อไปถึงจะได้กินเลย