ภาค-5 ตอนที่ 103 ภักดีกลับคลางแคลง (กลาง) (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

เรือนร่างอรชรของซูชิงสะท้านเฮือก แม้จะกล่าวว่าทั้งสองคนได้จบบุญคุณตัดเยื่อใยกัน ณ เมืองชิ่นหยวนแล้ว แต่เรื่องนั้นไหนเลยจะทำได้ง่ายดาย มิว่ารักหรือชัง หัวใจนางก็ยังคงมีเงาของต้วนอู๋ตี๋อยู่ในนั้น วันนี้นางมายังที่แห่งนี้ ทั้งเพื่อให้ต้วนอู๋ตี๋แก้ตัวยากกว่าเดิม แล้วก็หวังว่าต้วนอู๋ตี๋จะตกปากรับคำยอมหันมาสวามิภักดิ์ เพื่อมิต้องพานพบกับความตาย

ทว่าแม้นางตั้งใจเช่นนี้ แต่มิคิดจะให้บุรุษผู้นี้ล่วงรู้ ความจริงนางเตรียมใจมาแล้วว่านับจากวันนี้บุรุษผู้นี้คงมองตนเป็นคนร้ายกาจดุจอสรพิษ ทว่าบุรุษผู้นี้กลับมองเจตนาของตนออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วยังบอกกับตนอย่างชัดแจ้งว่าจะมิรับไว้

หัวใจของซูชิงเจ็บปวดทั้งที่มิได้ตั้งใจ นางกล่าวเสียงเบา “วันวานที่ท่านกับข้าสัญญาจะครองคู่ ข้ามิเคยเสียใจ แม้ต่อมาข้าถูกท่านทำร้ายหนักหนาสาหัส แต่ข้าก็คิดว่าท่านเป็นชายชาตรีผู้มีปณิธานแน่วแน่ ทว่าในเมื่อท่านกับข้าเลือกเดินคนละทางแล้วย่อมมิมีโอกาสให้หวนมาอยู่คู่กันอีก ว่าแต่ ท่านคิดจะลงสุสานร่วมกับเป่ยฮั่นจริงหรือ”

ต้วนอู๋ตี๋ตอบเสียงเคร่งขรึม “เรื่องในอดีต ความผิดอยู่ที่ข้า ข้ามิมีสิ่งใดจะต่อว่าทางเลือกของเจ้า เจ้ามิจำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดเพื่อข้า ได้ทำสมปณิธานที่ตั้งมั่น แม้นตายข้าก็มิแค้นเคือง เพียงแต่ข้าเคยได้ยินว่าเจ้าเกี่ยวข้องกับสำนักเฟิงอี้ เดิมทีจึงยังเป็นห่วงว่าเจ้าอาจมิได้รับการยอมรับจากต้ายงอีก ถึงเวลาแม้ใต้หล้ากว้างใหญ่ก็จะมิมีที่ใดให้เจ้าอาศัย แต่ดูตอนนี้แล้ว ฉีอ๋องมิใช่คนธรรมดาเลยจริงๆ จึงยังไว้วางใจให้เจ้าทำงานสำคัญอยู่

ได้ยินว่าจักรพรรดิต้ายงใจกว้างเหนือกว่าฉีอ๋อง คิดว่าเจ้าคงมิถูกเรื่องนั้นทำให้เคราะห์ร้ายแล้ว แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าเป็นห่วงมาตลอด นั่นก็คือจนบัดนี้เจ้าก็ยังเป็นหญิงสาวครองตนเดียวดาย บางทีข้าอาจถือดี แต่มิว่าอย่างไรข้าก็เป็นผู้ทำให้เจ้าพลาดจากเรื่องสำคัญในชีวิต หากเป็นไปได้ ก็หวังว่าเจ้าจะมีคู่ครองที่ดี ได้ปลอบประโลมดวงวิญญาณบุพการีทั้งสองของเจ้าที่อยู่บนสวรรค์”

น้ำตาสองสายไหลรินลงมา ซูชิงก้าวออกจากประตูห้อง นางมิได้เอ่ยตอบและมิได้หันกลับไป นางทำร้ายอดีตคู่หมั้นคู่หมายด้วยมือตนเอง และเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นผู้ส่งเขาขึ้นลานประหาร ในหัวใจจะมิเจ็บปวดได้เช่นไร นอกจากนี้แม้เขาจะจนตรอก แต่กลับมิคิดแค้นเคืองแม้แต่น้อย แล้วจะมิให้นางละอายใจได้เช่นไร

ซูชิงเดินออกมาจากประตู ปาดคราบน้ำตาทิ้งอย่างรวดเร็ว จากนั้นไปนำพาหนะมาควบจากไป อาชาร่างกำยำทะยานรวดเร็วท่ามกลางสายลม ในหัวใจของซูชิงมีเพียงความคิดเดียว อู๋ตี๋ หากท่านตายด้วยเหตุนี้ ข้าคงทำได้เพียงครองตนเดียวดายจวบจนผมขาวเป็นการชดใช้ให้ท่าน

ซูชิงควบอาชาด้วยสติที่พร่าเลือนมิรู้นานเท่าใด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้าดังขึ้น นางได้สติกลับมาทันใดแล้วเงยหน้ามอง จากนั้นก็ตกตะลึงทันที ฝั่งตรงข้ามมีอาชาสองตัวควบตะบึงฝุ่นตลบเข้ามา คนทั้งสองที่อยู่บนอาชา นางล้วนรู้จัก ผู้ที่ควบอาชาสีดำสนิทอยู่ด้านหน้าคือชิวอวี้เฟย ส่วนผู้ที่ควบอาชาสีน้ำตาลแซมขาวอยู่ด้านหลังก็คือหลิงตวน ทั้งสองฝ่ายต่างผ่อนความเร็วของอาชาพร้อมกันอย่างมิได้นัด หลังจากนั้นจึงหยุดพาหนะ มองอีกฝ่ายอย่างเงียบงัน

ซูชิงได้สติกลับมาก่อน นางโค้งคำนับบนหลังอาชาทักขึ้นว่า “ที่แท้ก็คุณชายสี่ชิว ครั้งนั้นถูกคุณชายตามล่า จวบจนวันนี้ผู้น้อยก็ยังจดจำความลำบากในวันนั้นได้อยู่ ได้ยินว่าคุณชายไปเป็นทูตที่ตงไห่ คิดมิถึงว่าวันนี้จะกลับมาแล้ว เดินทางหนนี้จะเดินทางไปหยางอี้หรือ แม่ทัพต้วนต้วนอู๋ตี๋ก็อยู่ที่หยางอี้ ผ่านไปอีกวันสองวัน น่ากลัวว่ากำลังหลักของกองทัพต้ายงของข้าก็จะเดินทัพมาถึงที่แห่งนี้แล้ว แม้คุณชายวรยุทธ์โดดเด่น แต่ถึงอย่างไรก็มีตัวคนเดียว เพื่อตัวคุณชายเอง เชิญคุณชายรีบเดินทางกลับจิ้นหยางจะดีกว่ากระมัง”

ชิวอวี้เฟยยิ้มน้อยๆ แววตาแสดงอารมณ์อันซับซ้อนที่ปนเปกันระหว่างความชื่นชมกับความอาฆาต เขานับถือสตรีนางนี้ยิ่งนัก สตรีบอบบางตัวคนเดียวพาตัวเองเหยียบย่างเข้ามาในถิ่นศัตรู สร้างความดีความชอบอันโดดเด่น วันนั้นระหว่างที่ตนเองตามไล่ล่า มีเพียงสตรีนางนี้ที่ประมือกับตนเองได้ วรยุทธ์สูงส่ง เล่ห์กลล้ำลึก สติปัญญาล้ำเลิศ แล้วยังชำนาญศาสตร์ดนตรี รูปโฉมงามวิไล จะมิให้บุรุษอับอายได้เช่นไร

น่าเสียดายนางมีความแค้นกับเป่ยฮั่นลึกล้ำดุจมหาสมุทร ทอดทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนกับคนรักอย่างมิอาลัย ต่อสู้ทำศึกรับใช้แคว้นศัตรู หากสังหารนางเสียจะตัดแขนขาที่เก่งกล้าของฉีอ๋องได้หรือไม่ เพียงแต่ตอนนี้ทั้งสามคนล้วนอยู่บนทุ่งหญ้ากว้าง อาชาศึกของสตรีนางนั้นก็เป็นอาชาชั้นดีจากหนึ่งในพัน หากตั้งใจจะหลบหนี ตนเองก็มิแน่ว่าจะลงมือสำเร็จ

ขณะที่ชิวอวี้เฟยกำลังลังเลว่าจะลงมือดีหรือไม่ ด้านหลังพลันมีฝุ่นฟุ้งตลบ ชายหนุ่มอาภรณ์สีเขียวผู้หนึ่งควบอาชามาเพียงลำพัง ใบหน้าเย็นยะเยือกดั่งหิมะ เขาก็คือเงามารหลี่ซุ่น ชิวอวี้เฟยถอนหายใจแผ่วเบา คำนับตอบซูชิงแล้วกล่าวว่า “พบพานกันกลางทาง แต่มิมีเวลาสนทนา ทักษะการบรรเลงผีผาของแม่นางยอดเยี่ยมนัก อวี้เฟยชื่นชมอย่างยิ่ง วันหน้าหากมีวาสนา คงได้ขอคำชี้แนะ” กล่าวจบก็ควบอาชาทะยานจากไปอย่างรวดเร็ว

ซูชิงรับรู้ได้ว่าแผ่นหลังมีเหงื่อกาฬหลั่งริน จวบจนชิวอวี้เฟยจากไปไกลแล้ว นางจึงเพิ่งรู้สึกว่าแรงกดดันหนักหน่วงที่กดทับบนร่างเมื่อครู่มลายหายไป เวลานี้เสี่ยวซุ่นจื่อก็เข้ามาใกล้พอดี เขาเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “คุณชายส่งสารมา เรียกให้ข้ากับแม่ทัพซูเดินทางไปรับคำสั่ง คุณชายกล่าวว่า ต้องการให้พวกเราเตรียมตัวต้อนรับแขกคนหนึ่ง”

ดวงตาของซูชิงฉายแววฉงน แขกคนใดต้องให้ฉู่เซียงโหวต้อนรับด้วยตนเอง ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็ฉายวาบขึ้นในหัวของนางประหนึ่งดาวตก ใบหน้าของนางซีดเผือดทันที เรื่องราวมากมายล้วนกระจ่างแล้ว ตัวอย่างเช่นเหตุใดชิวอวี้เฟยจึงปรากฏตัวที่นี่ ยิ่งคิดยิ่งเข้าใจ ซูชิงยิ่งรู้สึกหวาดผวากับแผนการล้ำลึกของเจียงเจ๋อผู้นี้ ยามนี้เมื่อนึกย้อนดู การที่นางตัดสินใจเปลี่ยนแปลงแผนการของเขาโดยพลการในอดีตออกจากบุ่มบ่ามเกินไปสักหน่อย

ค่ำคืนดึกดื่น ต้วนอู๋ตี๋มองแผนที่แนวป้องกันของจิ้นหยางที่วาดเสร็จแล้วในมือ ก่อนจะวางพู่กันลงอย่างพึงพอใจ สองวันนี้ข่าวลือกระพือไปทั่วทุกสารทิศ แม้แต่คนส่วนมากในกำลังพลเก่าของเขาก็ยังคลางแคลงในตัวเขา หากมิใช่ว่าเขาใช้มาตรการแข็งกร้าวปรามไว้ น่ากลัวว่าพลทหารเหล่านี้คงลุกขึ้นมายึดอำนาจเสียแล้ว แม้จะมีแม่ทัพกับองครักษ์คนสนิทบางส่วนยังเชื่อใจตน แต่พวกเขาก็ทำสิ่งใดมิได้นอกจากแก้ตัวแทนตนอย่างเปล่าประโยชน์

ยิ่งไปกว่านั้น ขอเพียงมีคำสั่งเดียวจากจิ้นหยาง ตนก็คงเดียวดายไร้คนช่วยเหลือแล้วกระมัง อย่างไรเสียตนก็มิเคยพยายามซื้อใจลูกน้องใต้บัญชามาก่อน การถูกผู้คนทรยศและเอาใจออกห่างมิใช่สถานการณ์ลำบากที่มีแต่หัวหน้าผู้โหดร้ายทารุณจะพานพบ คืนวันที่ส่งซูชิงจากไป จิ้นหยางก็มีคำสั่งด่วนมาถึง สั่งให้ตนเสริมการป้องกันเมืองหยางอี้ ต้วนอู๋ตี๋ทราบแก่ใจว่านี่บ่งบอกว่าฝั่งจิ้นหยางคลางแคลงตนเองเช่นกัน

เรื่องดำเนินมาจนถึงตอนนี้ เขามิคิดจะแก้ตัวอีกแล้ว ข่าวลือทั้งหลายนั่นเก้าส่วนกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพียงแต่เสริมแต่งรายละเอียดอันมีอยู่เพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเท่านั้น แต่การทำเช่นนี้กลับทำให้เขามีร้อยปากก็แก้ตัวมิขึ้น คิดว่าจิ้นหยางคงจะตัดสินใจแล้วกระมัง ในหัวใจของเขามีความขมขื่นจางๆ ผุดพรายขึ้นมา

เวลานี้เองก็มีคนเรียกเสียงเย็นชาจากด้านนอก “แม่ทัพต้วน เหตุใดท่านยังอยู่ที่นี่เล่า”

ต้วนอู๋ตี๋เงยหน้าอย่างตกใจ คนผู้หนึ่งผลักประตูเดินเข้ามา จากความตกใจแปรเปลี่ยนเป็นความยินดี ต้วนอู๋ตี๋ก้าวไปคำนับกล่าวว่า “ที่แท้ก็คุณชายสี่ เดินทางไปตงไห่คงอันตรายมาก คุณชายกลับมาได้อย่างปลอดภัย ท่านราชครูคงดีใจยิ่งนัก”

ชิวอวี้เฟยมองต้วนอู๋ตี๋อย่างหม่นหมอง “ตอนข้าเข้าเมืองก็ได้ยินสถานการณ์ในวันนี้มาแล้ว ท่านตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากนัก แม้แต่ข้าเอง หากมิใช่อดีตเคยคบหากับท่านก็คงสงสัยในความภักดีของท่านเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น หากให้กล่าวตามจริง ถึงก่อนหน้านี้ท่านจะยึดมั่นภักดี แต่วันนี้สถานการณ์บีบบังคับเช่นนี้ก็เกรงว่าท่านคงยากจะภักดีกับเป่ยฮั่นต่อไป

ดังนั้นแม้ข้าจะส่งสารไปหาท่านอาจารย์ หวังว่าเขาจะช่วยขอความเมตตาให้ท่าน แต่ก็เกรงว่าคงมิมีประโยชน์อันใด สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ มิสู้ท่านหนีไปเสียเถิด ต่อให้หันไปเข้ากับต้ายง ขอเพียงท่านมิบุกโจมตีจิ้นหยางให้พวกเขา ข้าก็มิมีสิ่งใดกล่าวโทษท่าน”

ต้วนอู๋ตี๋ยิ้มละไม ตอบว่า “คุณชายไยจึงเอ่ยเช่นนี้ ผู้แซ่ต้วนตรองดูแล้วในใจไร้ความละอาย ไฉนต้องหวาดกลัวความผิดแล้วหลบหนี คุณชายเชื่อใจความภักดีของผู้แซ่ต้วน ผู้แซ่ต้วนรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก หากข้าหลบหนีไปจริง เกรงว่าจากเรื่องลวงคงกลายเป็นจริง นับแต่แม่ทัพหลงพลีชีพเพื่อแคว้น ก็มีเพียงองค์หญิงจยาผิงคอยค้ำจุนแผ่นฟ้าอยู่ผู้เดียว นางดีต่อข้ามิน้อย ข้ามิอาจทรยศความเชื่อใจของนางได้”

ทันใดนั้น ด้านนอกก็มีเสียงตวาดอย่างตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวขององครักษ์คนสนิทของตนดังขึ้นมา องครักษ์เหล่านี้ล้วนเป็นคนสนิทที่ติดตามต้วนอู๋ตี๋ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน พวกเขาย่อมทราบว่าแม่ทัพของตนถูกใส่ร้ายป้ายสีเช่นไร เพียงแต่ต่อให้พวกเขาแก้ตัวก็มิมีผู้ใดยินดีเชื่อ วันนี้จู่ๆ พวกเขาก็ก่อความวุ่นวายเช่นนี้ ทูตจากจิ้นหยางคงเดินทางมาสอบสวนความผิดของตนแล้วเป็นแน่

ต้วนอู๋ตี๋ยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “ทูตจากจิ้นหยางคงมาถึงแล้ว คุณชายอยู่ที่นี่อาจมิสะดวก หากมิรังเกียจ เชิญเข้าไปหลบที่ห้องด้านใน มิจำเป็นต้องห่วงผู้แซ่ต้วน”

ชิวอวี้เฟยถอนหายใจยาว ร่างกายเร้นหลบเข้าไปยังห้องด้านใน ประตูเชื่อมไปยังห้องด้านในปิดลงอย่างเงียบเชียบ ต้วนอู๋ตี๋ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหน้าโต๊ะอ่านหนังสือ รอคอยราชทูตเข้ามาอย่างสงบ