ภาค-5 ตอนที่ 106 ภักดีกลับคลางแคลง (ปลาย) (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ในใจข้ามิรู้สึกลำพองกับชัยชนะแม้แต่น้อย กลับกันข้ารู้สึกพ่ายแพ้อยู่เลือนราง ข้าวางแผนซ้อนหลายชั้นเพื่อบีบให้บุรุษผู้นี้หลบหนีออกมา นับตั้งแต่ชั่วเวลานั้นที่เขาออกจากหยางอี้ อย่างน้อยก็มีคนนับร้อยจับตาเส้นทางการเดินทางของเขาอยู่ เมื่อคำนวนจนแน่ใจแล้วว่าที่แห่งนี้จะเป็นสถานที่แวะพักของเขา จึงเข้ามาคุมที่แห่งนี้รอคอยเขาเอาตนเองมาติดกับ

แต่เดิมหวังจะแสดงอำนาจข่มเพื่อทำลายความตั้งใจของเขา แต่แม้ว่าบุรุษผู้นี้จะตกอยู่ในกำมือของข้า เขาก็ยังนิ่งสงบเฉยชาเช่นนี้ คล้ายกับว่าคาดการณ์ถึงสถานการณ์นี้อยู่ก่อนแล้ว ผู้ที่มีความตั้งใจแน่วแน่เช่นนี้ ข้าทำลายชีวิตและเกียรติยศของเขาได้ แต่มิอาจทำลายปณิธานของเขาได้ ในใจมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่หวังคงล้มเหลวอยู่เลือนราง ข้าได้แต่ลอบถอนหายใจ เตรียมตัวลองดูสักตั้งอย่างมิสนว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว

ข้ายิ้มจืดเจื่อน กล่าวขึ้นว่า “แม้ผู้แซ่เจียงใช้กลอุบายทำร้ายท่านแม่ทัพ แต่ข้าก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าองค์หญิงจยาผิงมิมีทางทำร้ายขุนนางจงรักภักดีแน่ แต่องค์หญิงก็คงมิอาจต่อต้านขุนนางตำแหน่งสูงต่ำมากมายเหล่านั้นของเป่ยฮั่น ทำได้เพียงปล่อยให้ท่านแม่ทัพหนีไป ท่านแม่ทัพต้องการหลบหนี ย่อมมีแต่ต้องหนีมาทางตงไห่

แม้ตงไห่ช้าเร็วย่อมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง แต่อย่างไรเสียก็เป็นทางรอดเพียงหนึ่งเดียว ด้วยนิสัยของเจียงโหว ต่อให้ทราบร่องรอยของท่านแม่ทัพก็คงแสร้งทำเป็นมิรู้มิเห็น ดังนั้นผู้แซ่เจียงจึงจงใจมารอคอยท่านแม่ทัพด้วยความนับถือที่นี่ ข้าใส่ใจถึงเพียงนี้ แม้ท่านแม่ทัพมิรับไมตรี ก็มิสมควรเย็นชาเพียงนี้ ทำเช่นนี้ไยมิเสียไมตรีของข้า”

ความคิดแล่นในสมองของต้วนอู๋ตี๋อย่างฉับไว เขาคิดตกมากมายหลายเรื่อง จึงกล่าวขึ้นว่า “คุณชายสี่ชิวแต่เดิมติดอยู่ในตงไห่ แต่ครั้งนี้เดินทางกลับมาอย่างปลอดภัย เพราะท่านโหวคาดไว้แล้วว่าคุณชายสี่จะปกป้องชีวิตของผู้แซ่ต้วนใช่หรือไม่”

ข้าลอบชื่นชมอยู่ในใจ คนผู้นี้เปิดปากก็กล่าวจี้ใจดำ เผยความคิดของข้าออกมาทะลุปรุโปร่ง “มิผิด ก่อนหน้านี้ข้ากักตัวอวี้เฟยไว้ที่ตงไห่เพราะเขาเป็นยอดฝีมือผู้เข้าสู่ขอบขั้นเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติแล้ว ข้ามิต้องการให้เขาเข้าร่วมศึกนี้ แต่ยามนี้สถานการณ์ศึกรู้ผลแล้ว ข้ามีจุดที่ใช้ประโยชน์จากเขาได้ ดังนั้นจึงจงใจเชิญเขากลับมา ทว่าที่ทำเช่นนี้ยังมีอีกเป้าหมายหนึ่ง นั่นก็คือเพื่อท่านแม่ทัพ มิฉะนั้นอย่างน้อยข้าก็ต้องให้เขาอยู่ตงไห่อีกครึ่งเดือน

อวี้เฟยเป็นผู้ยึดถือความรู้สึกเป็นใหญ่ เรื่องสืออิงในวันวาน เขาเองก็มีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อข้าใส่ความท่านแม่ทัพด้วยเรื่องนี้ แม้ผู้อื่นมิเชื่อความภักดีของท่านแม่ทัพ แต่อวี้เฟยย่อมมิสงสัยว่าท่านแม่ทัพทรยศแว่นแคว้นแน่นอน เขามีฐานะพิเศษ อีกทั้งชอบทำตามความคิดของตน ต่อให้องค์หญิงจยาผิงจำใจต้องทำร้ายท่านแม่ทัพ เขาก็จะยังลงมือช่วยท่านแม่ทัพอยู่ดี

แม้อวี้เฟยเดินทางมิค่อยทิ้งร่องรอย แกะรอยยาก แต่อย่างไรเสียชิ่นโจวก็กล่าวได้ว่าตกอยู่ในมือกองทัพข้าอย่างสมบูรณ์แล้ว ข้ารู้ชัดว่าเขาเดินทางไปจี้ซื่อคารวะแม่ทัพหลง แวะผิงเหยาสอดแนมค่ายใหญ่ของฉีอ๋อง จากนั้นเร่งเดินทางมายังหยางอี้เพื่อช่วยท่านแม่ทัพ แม่ทัพต้วนอาจมิทราบ เซียวถงรับบัญชาเดินทางมาเพื่อป้องกันหากองค์หญิงจยาผิงปล่อยให้ท่านหลบหนี เดิมทีเขาหมายจะตามมาสังหารท่าน แต่อวี้เฟยขวางเขาเอาไว้”

ดวงตาของต้วนอู๋ตี๋ฉายแววซาบซึ้ง กล่าวขึ้นว่า “บุญคุณที่คุณชายสี่ชิวช่วยชีวิต ผู้แซ่ต้วนซาบซึ้งยิ่งนัก แต่ว่าคงมิมีโอกาสพบหน้าเพื่อขอบคุณแล้ว หากท่านโหวพบหน้าเขาอีกหน ได้โปรดกล่าวขอบคุณแทนผู้แซ่ต้วนด้วย”

ข้าขมวดคิ้ว จงใจเมินเฉยความแน่วแน่พร้อมยอมตายที่เขาเผยออกมา “ในหมู่แม่ทัพมากมายของเป่ยฮั่น ผู้แซ่เจียงนับถือการปฏิบัติตัวของท่านแม่ทัพที่สุด ท่านแม่ทัพจงรักภักดีโดยมิคำนึงว่าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง มิยึดติดกับเกียรติและความอัปยศ ความสามารถของท่านแม่ทัพเหนือกว่าแม่ทัพหลงและองค์หญิงจยาผิง เพียงแต่น่าเสียดายชาติกำเนิดต่ำต้อย มิมีผู้ใดสนับสนุนจึงมิมีโอกาสรับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่

หากท่านแม่ทัพยินดีหันมาเข้ากับต้ายง ฝ่าบาทกับฉีอ๋องล้วนจะยินดีปรีดา แม้แม่ทัพเซวียนเคยพบความอัปยศในมือท่านแม่ทัพ แต่ก็ชื่นชมท่านแม่ทัพอย่างยิ่ง หากท่านแม่ทัพยอมสวามิภักดิ์ต่อต้ายง อย่างน้อยย่อมมีบรรดาศักดิ์เป็นโหวมิผิดจากนี้

หากมิสนใจเกียรติยศ ข้าทราบว่าท่านแม่ทัพรักประชาชนมาแต่ไหนแต่ไร หากท่านยอมทำงานให้ต้ายงย่อมช่วยเหลือทหารและประชาชนเป่ยฮั่นได้ เพียงแต่มิทราบว่าท่านแม่ทัพจะยอมสละชื่อเสียงของตนเองอีกหนเพื่อประชาชนทั้งหลายของเป่ยฮั่นได้หรือไม่”

ต้วนอู๋ตี๋ยิ้มละไม ยกจอกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด รู้สึกประดุจเปลวเพลิงร้อนไหลลงคอ เขากุมกระบี่คู่กายข้างเอวแล้วกล่าวขึ้นว่า “มิว่าท่านจะกล่าววาจาสวยหรูเช่นไรก็มิอาจสั่นคลอนความตั้งใจของผู้แซ่ต้วนได้ ทรยศก็คือทรยศ ผู้แซ่ต้วนเป็นขุนนางของเป่ยฮั่น มิปรารถนาลาภยศที่เจ้าแผ่นดินต้ายงพระราชทานให้ ส่วนที่กล่าวถึงการช่วยเหลือประชาชนเป่ยฮั่น นั่นก็เป็นเพียงข้ออ้าง บนโลกใบนี้ขาดผู้แซ่ต้วนไปก็มิมีสิ่งใดสำคัญ

หากเป่ยฮั่นล่มสลายจริง แล้วโอรสสวรรค์แห่งต้ายงยอมทำดีต่อประชาชนเป่ยฮั่นของข้าย่อมดีที่สุด แต่หากทำมิได้ ย่อมมีผู้กล้าชูธงลุกฮือ แม้ผู้แซ่ต้วนมิอาลัยชื่อเสียงของตน แต่มิมีทางหันไปเข้ากับศัตรูอย่างเด็ดขาด ท่านโหวกล่าวว่าการที่ผู้แซ่ต้วนเสื่อมเสียชื่อเสียงมากกว่าครึ่งล้วนเป็นเพราะการกระทำของท่านโหว ในเมื่อมิใช่ความจริง ผู้แซ่ต้วนยังจะต้องทุ่มไหร้าวให้แตก คุกเข่ายอมจำนนจริงๆ ไปไย วันนี้ท่านโหวฐานะสูงศักดิ์ มิทราบว่ายามสะดุ้งตื่นจากฝันหวนนึกถึงหนานฉู่มีความรู้สึกเช่นไร”

ข้ายิ้มหม่นหมอง ต้วนอู๋ตี๋ยึดปณิธานแน่วแน่ เดิมทีข้าคิดว่าเมื่อมิมีแคว้นให้พึ่ง มิมีบ้านให้หวน ทั้งยังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก จิตใจของคนผู้นี้อาจหวั่นไหวบ้าง แต่คิดมิถึงเขาจะดื้อรั้นเช่นนี้

อาจเป็นเพราะเห็นข้าถูกต้วนอู๋ตี๋โต้จนอับจนคำพูด หลี่ซุ่นจึงกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา “คุณชายของข้ากล่อมเจ้าด้วยดี เหตุใดเจ้าจึงไร้มารยาทเช่นนี้ มิรู้หรือไรว่าเจ้าจนตรอกแล้ว ขอเพียงคุณชายออกคำสั่งคำเดียว เจ้าก็จะตายอย่างอนาถ หลังจากนี้หากคุณชายของข้าประกาศออกไปว่าเจ้าหันมาเข้ากับต้ายงแล้ว แม้เจ้าสิ้นลมไป ชื่อเสียงก็ยังย่อยยับ ต่อให้เจ้าจงรักภักดีจากใจจริง ผู้ใดจะล่วงรู้ เกรงว่าแม้กระทั่งองค์หญิงจยาผิงกับคุณชายสี่ชิวก็คงคิดว่าเจ้าทรยศแว่นแคว้นจริงๆ”

ต้วนอู๋ตี๋ยิ้มจางๆ มือกุมด้ามกระบี่เอ่ยว่า “มิจำเป็นต้องให้ท่านโหวสั่ง ผู้แซ่ต้วนก็ปลิดชีพตนเองได้ ส่วนเกียรติยศชื่อเสียงนอกกาย ผู้แซ่ต้วนมิเคยเก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว ต่อให้คนนับพันชี้นิ้วประณาม ขอเพียงผู้แซ่ต้วนรู้แก่ใจดีว่ามิมีสิ่งใดให้ละอาย แล้วยังจะมีสิ่งใดสำคัญอีก อีกทั้งบางเรื่องกระดาษย่อมห่อไฟไม่มิด สุดท้ายสักวันหนึ่งความจริงจะปรากฏเอง”

ดวงตาของหลี่ซุ่นฉายจิตสังหารดุดันออกมา เอ่ยอย่างเย็นชา “อยู่ต่อหน้าข้า เจ้าอยากตายก็มิแน่ว่าจะทำสำเร็จ” พูดพลางกระทืบเท้าข้างหนึ่งโผไปด้านหน้า สองตาจ้องต้วนอู๋ตี๋เขม็ง

ต้วนอู๋ตี๋สีหน้าหวาดหวั่น มือขวาที่กุมกระบี่ทำท่าจะชักกระบี่ออกมา ตอนที่สายตาของทุกคนรวมไปอยู่ที่มือขวาของเขานั่นเอง มือซ้ายของเขาก็ชักมีดสั้นเล่มหนึ่งจากข้างต้นขาขึ้นมาปานสายฟ้าแลบ แทงเข้าที่ท้องน้อย พริบตาที่เขาชักมีดสั้นออกมา เข็มสองคมเล่มหนึ่งในมือซูชิงก็ทำท่าจะซัดออกมา แต่แล้วในใจนางกลับเกิดความคิดหนึ่ง แทนที่จะให้เขาอัปยศ มิสู้ปล่อยให้เขาตายไปเสียเถิด นางหลุบตาลง สุดท้ายก็มิได้ซัดเข็มที่เดิมทีหมายจะซัดใส่ข้อมือของต้วนอู๋ตี๋ออกมา

ทว่าหูของนางยังได้ยินเสียงครางด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น นางเงยหน้าอย่างตกใจ แล้วเห็นว่ามือซ้ายของหลี่ซุ่นกุมลำคอของต้วนอู๋ตี๋เอาไว้ มีดสั้นตกอยู่ในมือขวาของหลี่ซุ่น หัวใจของซูชิงบีบรัด สายตาเคลื่อนหลบก็สบดวงตาอ่อนโยนคู่หนึ่งกำลังมองตนเองอย่างสนอกสนใจ ซูชิงใจสั่น เข็มสองคมพลันหล่นร่วงคลุกฝุ่นดิน

ข้ารั้งสายตากลับมา ซ่อนฉากที่น่าสนใจเมื่อครู่ไว้ภายในใจ แล้วโบกมือให้หลี่ซุ่นถอยออกมา จากนั้นกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “แม่ทัพต้วน ข้าเสียมารยาทแล้ว โปรดอภัยด้วย”

ต้วนอู๋ตี๋ฟุบอ่อนแรงอยู่กับพื้นเงียบๆ ความเมามายกับการขาดอากาศหายใจเมื่อครู่ทำให้เขามึนหัวตาลาย ปล่อยให้หลี่ซุ่นปลดกระบี่ยาวข้างเอวออกไป หลังจากสุราร้อนแรงจอกหนึ่งไหลเข้าปาก เขาถึงได้สติกลับมาอีกหนแล้วยิ้มขมขื่น เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเกลี้ยงเกลาผู้นั้นยืนอยู่เบื้องหน้าของตน ในมือถือผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง ด้านหลังเขามีดวงตาเย็นยะเยือกคู่หนึ่งมองตนเองอย่างเย็นชา

ต้วนอู่ตี๋พลันรู้สึกขนหัวลุกประหนึ่งกบที่ถูกอสรพิษจับจ้อง มิกล้าขยับตามอำเภอใจ เขาทราบดีแก่ใจว่าหากตนเองขยับมิชอบมาพากลแม้เพียงนิด คงได้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก อยู่ก็มิได้ ตายก็มิได้เข้าจริงๆ เขารับผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคราบสกปรกบนใบหน้า ในใจทราบกระจ่างชัดแล้วว่าหากต้องการหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ มีเพียงหนทางเดียว

ต้วนอู๋ตี๋หันไปมองเจียงเจ๋อแล้วกล่าวเสียงจริงจัง “ข้าเคยจับเข่าสนทนากับคุณชายสี่ชิว จึงพอเข้าใจนิสัยของท่านโหวมาอยู่บ้าง แม้ผู้คนในใต้หล้ากล่าวว่าท่านโหวอำมหิต แต่ข้ากลับรู้สึกว่าท่านโหวเป็นผู้ยึดถือไมตรี เต๋อชินอ๋องแห่งหนานฉู่แล้งน้ำใจต่อท่านโหว แต่ท่านโหวมิเคยกล่าวว่าร้ายซ้ำ ท่านโหวทุ่มเทรากเลือดเพื่อต้ายงอย่างถึงตายก็มิเสียดาย เรื่องเหล่านี้ใต้หล้าล้วนล่วงรู้

ในอดีตยามท่านโหวเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักเฟิงอี้ย่อมเคยกล้าหาญมิคะนึงถึงความเป็นตายหรือเกียรติยศศักดิ์ศรีเช่นเดียวกัน ผู้แซ่ต้วนไร้ความสามารถ แม้นอยากอยู่ก็มิได้ อยากตายก็ทำมิสำเร็จ แต่ยังมีความกล้าเผชิญหน้า มิมีทางคุกเข่าหันไปเข้ากับศัตรู ในเมื่อท่านโหวพอจะชื่นชมผู้แซ่ต้วนอยู่บ้าง ไยต้องบีบผู้แซ่ต้วนถึงเพียงนี้ หากปล่อยให้ผู้แซ่ต้วนได้แสดงความภักดีสมประสงค์ ผู้แซ่ต้วนอยู่ในปรโลกก็จะซาบซึ้งมิคลาย”

ข้าถอนหายใจแผ่วเบา มองเข้าไปในดวงตาทั้งสองข้างของต้วนอู๋ตี๋ รู้สึกว่าแววตาของเขาแน่วแน่ มิมีความกลัวแม้แต่น้อย ในใจข้าขื่นขม ทราบว่าหนนี้ลงแรงเสียเปล่าแล้วจริงๆ

ยามนี้ซูชิงจึงก้าวมาข้างหน้า น้ำเสียงแฝงความเศร้าโศก กล่าวขึ้นว่า “ท่านโหว ผู้น้อยวิงวอนขอท่านปล่อยให้เขาสมประสงค์เถิด” คำพูดนี้กล่าวออกมา ต้วนอู๋ตี๋อดมิได้หันไปมองซูชิง ดวงตาเต็มไปด้วยแววตาซาบซึ้ง ในหัวใจของซูชิงยิ่งเจ็บปวด หันหน้าหนีมิยินดีเห็นภาพนี้

ข้าส่ายหน้าเบาๆ ถอยหลังออกมาสองสามก้าวแล้วหันหลังให้ หลี่ซุ่นเข้าใจความนัยจึงยื่นกระบี่ยาวคืนให้แล้วถอยหลังมาสองสามก้าว ซูชิงเจ็บปวดใจ ทราบดีว่าสิ่งนี้หมายความว่ายอมปล่อยให้ต้วนอู๋ตี๋ปลิดชีพตนเอง นางมิอาจทนมองได้ จึงถอยหลังอย่างเงียบๆ ไปก้าวหนึ่งแล้วผินหน้าหนี

ฮูเหยียนโซ่วเห็นเข้าจึงขยับมาอย่างเงียบเชียบครึ่งก้าว บังครึ่งร่างของซูชิงเอาไว้ ในใจเขาวิตก เมื่อครู่ซูชิงกระทำการมิสมควรเล็กน้อย เขากังวลว่ายามต้วนอู๋ตี๋ปลิดชีพตนเอง หากซูชิงมีปฏิกิริยารุนแรงอันใดขึ้นมา จะถูกเจียงเจ๋อแคลงใจเอาได้ จึงบังร่างของนางเอาไว้