บทที่ 901 การตัดสินใจของเสี่ยวหลิ่ว

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 901 การตัดสินใจของเสี่ยวหลิ่ว

บทที่ 901 การตัดสินใจของเสี่ยวหลิ่ว

หลังคุยเล่นกับคุณย่าทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ความเครียดที่สั่งสมอยู่จึงค่อย ๆ คลายลง จากนั้นเธอก็เริ่มอ่านต่อ

อีกสิบนาทีจะสามทุ่ม เวลาแทบไม่ต่างกับตอนเรียนเท่าไร ทั้งยังเหมาะแก่การอ่านหนังสือพอดิบพอดี

หยางลี่หมิงไม่คาดคิดเลยว่าเสี่ยวเถียนจะลงมาขยับแข้งขาแล้วกลับไปอ่านต่อ

เธอทำงานในสมาพันธ์สตรีมาตั้งหลายปี เจอะเจอพวกเด็ก ๆ มาไม่น้อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอเด็กขยันแบบนี้

“เหล่าฟ่าน เด็กคนนี้ตั้งใจมากเลยนะ”

“จากที่ฟังพี่สะใภ้บอกมานะ เด็กคนนี้มีวินัยตั้งแต่เด็กเลย” ฟ่านชูฟางเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ “เธออ่านหนังสือด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องให้มีใครมาบอกด้วยซ้ำ”

“ถ้าขยันขนาดนี้จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่อายุยังน้อยได้ยังไงล่ะ?”

“เดี๋ยวนี้หนุ่มสาวแบบนี้มีไม่เยอะแล้วละ เมื่อก่อนยังมีคนต้องการเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่สองปีให้หลังมานี้กลับเอาแต่คิดหาเส้นทางการทำเงิน ทั้งยังมีแต่ความใจร้อนอีก” หยางลี่หมิงส่ายหัว

พอนโยบายเริ่มเปิดกว้างมากขึ้น แนวคิดของผู้คนก็เปลี่ยนไป

ในเมื่อมีทางเลือกเพิ่มขึ้น คนที่เห็นประโยชน์ของเงิน ก็ไม่ชอบเรียนหนังสือกันแล้ว

ในหัวเอาแต่คิดว่าต้องหาเงินยังไงถึงจะมีชีวิตที่มั่งคั่ง

พูดได้ไม่เต็มปากหรอกว่าสิ่งนี้เป็นความคิดที่ผิด แต่หยางลี่หมิงก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ยั่งยืน

ทางฝั่งเสี่ยวเถียนไม่ได้ยินบทสนทนาด้วยซ้ำเพราะกำลังดื่มด่ำไปกับการอ่านหนังสือ

ขอแค่เริ่มเธอก็จะลืมสิ่งรอบกายทั้งหมดไป เพื่อที่ตัวเองจะได้บรรลุจุดประสงค์การอ่านได้ไวที่สุด

พอตั้งใจเวลาเลยผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ

พริบตาเดียวเป็นเวลา 21:05 น. แล้ว

เสี่ยวเถียนลงมาดื่มน้ำอีกครั้ง

“เสี่ยวเถียน สามทุ่มกว่าแล้ว พักสักหน่อยแล้วค่อยเข้านอนนะ” ฟ่านชูฟางเป็นกังวล

เด็ก ๆ ตั้งใจมันก็ดี แต่ถ้าเอาแต่ทำแบบนี้คนแก่แบบพวกเธอก็เป็นห่วงเช่นกัน

เด็กสาวยืดเส้นสาย แล้วส่งยิ้มให้ “หนูอ่านหนังสือเหนื่อยนิดหน่อยค่ะ ขอไปเดินเล่นแล้วค่อยเข้านอนนะคะย่ารอง ย่าหยาง”

เธอมีงานต้องไปทำต่อ แต่ไม่ได้บอกหรอกนะ พวกท่านจะได้ไม่เป็นกังวล

อีกอย่างคือเธอนั่งอ่านหนังสือนานจนหลังขดหลังแข็ง เลยต้องยืดแข้งขาสักหน่อย

“เมื่อยใช่ไหม? ไปเดินหน่อยก็ดีนะ แต่ใกล้ ๆ นี้ก็พอแล้ว อย่าไปไกลนักละ” ฟ่านชูฟางบอกด้วยความเป็นห่วง

“อ่านหนังสือติดกันสองชั่วโมง ต้องเหนื่อยอยู่แล้ว ออกไปเดินสักหน่อย จะได้นอนหลับสบาย”

หยางลี่หมิงว่าต่อ

เสี่ยวเถียนรีบยกยิ้มขอโทษคนทั้งสอง “เดี๋ยวหนูไปเติมน้ำเพิ่มนะคะ ไปไม่ไกลหรอกค่ะ”

ที่เติมน้ำอยู่ระหว่างสองตู้โดยสารนี่เอง ไม่มีอันตรายอะไร

ต่อให้มีหลานตะโกนเสียงดังได้ พวกเธอได้ยินอยู่ดี

เพราะอย่างนั้น ผู้ใหญ่สองคนจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก

เด็กสาวออกไปพร้อมกระติกน้ำร้อน พลางขยับแข้งขาไปด้วย

“เสี่ยวเถียนเป็นเด็กดี รู้ความมากเลยนะ”

น้ำเสียงของหยางลี่หมิงเต็มไปด้วยความอิจฉา

ทำไมบ้านเธอไม่มีลูกหลานแบบนี้บ้างนะ?

แต่จะให้บอกว่าเป็นหลานสาวแท้ ๆ แบบเหล่าฟ่านคงไม่เอาด้วยหรอก ขอแค่บอกว่าเป็นหลานจากญาติห่าง ๆ ก็ได้!

เสี่ยวหลิ่วนอนตาสว่าง เกือบชั่วโมงที่ตั้งใจฟังบทสนทนาของเจ้านายทั้งสอง

ตนเห็นความเพียรพยายามของเสี่ยวเถียนเหมือนกัน เทียบกันแล้วเหมือนตัวเธอจะไม่เคยตั้งใจอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

จู่ ๆ หญิงสาวก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังเข้าสู่เส้นทางแห่งความเข้าใจผิด โดยตัดสินความเพียงเพราะเธอมาจากครอบครัวที่ไม่ให้ความสำคัญกับลูกสาวอย่างไรอย่างนั้น

เพราะงั้นเสี่ยวหลิ่วจึงคอยเอาอกเอาใจเจ้านาย ให้พวกเขามีความสุขแล้วตัวเองจะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น

แต่อันที่จริงคือ ขอแค่ขยันและตั้งใจมากพอ พวกเขาก็เห็นแล้ว

ดังคำกล่าวที่ว่า ผู้มีความรู้อยู่ในท้องย่อมสง่างามด้วยตนเอง*[1] แค่มีความสามารถนั้น เจ้านายก็รู้แล้วละ

เพราะงั้นเธอจึงต้องเรียนรู้จากเสี่ยวเถียน และกลายเป็นคนใฝ่เรียนรู้ให้ได้

หญิงสาวนอนกำหมัดแน่น ตั้งใจแล้วว่าพรุ่งนี้เป็นต้นไปจะเริ่มตั้งใจทำงานเพื่อพัฒนาตนเองแล้ว

ทางฝั่งเสี่ยวเถียนเดินมาตักน้ำในห้องต้มน้ำ จากนั้นก็เดินทอดน่องไปยังตู้หมายเลข 9

ตอนนี้ยังไม่ได้ยินประกาศเลยว่าจะไปถึงสถานีต่อไปในเวลากี่โมง แต่น่าจะใกล้แล้วละ

พวกนักต้มตุ๋นคงจะจัดการทุกอย่างเสร็จแล้วเหมือนกัน

เธอเดินไปดูก่อนจะพบกับกลุ่มนั้นที่เตรียมการเรียบร้อยแล้ว

ก่อนจะมีหนึ่งในนั้นบอกว่าวันนี้โชคไม่ดีเลย หมดเนื้อหมดตัว

“อีกสองรอบ ๆ ไม่งั้นให้ยืมเงินก่อนไหม?” อีกคนว่า

“ไม่เล่นแล้ว ๆ ถ้าเล่นต่อก็คงต้องถอดชั้นในมาให้แล้ว” ชายที่ยืนดูใกล้ ๆ ตอบอย่างแน่วงแน่ “ฉันยืนดูตรงนี้ก็พอ”

เสี่ยวเถียนมองพวกเขา นอกจากกลุ่มแสดงละครก็มีแกะอ้วนรอเชือดอีกสามตัว เผลอ ๆ พวกเขาอาจจะโดนเชือดตายไปแล้วด้วยซ้ำ

จากนั้นก็มองนาฬิกาข้อมือ สามทุ่มสิบนาทีแล้วนะ อีกสิบกว่านาทีจะถึงสถานีต่อไปแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไรตำรวจจะมา

ระหว่างนั้น สองคนในกลุ่มก็เตรียมเก็บกระเป๋าลงจากรถ พวกเขาบอกว่าไม่อยากเล่นอีกต่อไปแล้ว

แต่คนถือไพ่ยังคงสงบเสงี่ยมดังเดิม

“แย่จังเลยนะ ทำได้ดีขนาดนี้จะหยุดเล่นได้ยังไง? มา ๆ อย่าเพิ่งไปสนใจอย่างอื่นเลย เล่นกันต่อสิ”

เขาว่าก่อนขยิบตาส่งให้คนที่บอกว่าไม่เล่น

ท่าทางเหล่านั้นทำให้เสี่ยวเถียนไม่เข้าใจ

แต่คงเป็นการเตี๊ยมให้เตรียมตัวจะไปนั่นแหละ

เธอมองอยู่นานจนการละเล่นจบลง แล้วแกะอ้วนทั้งสามตัวก็เสียเงินอีกยี่สิบกว่าหยวน

พวกเขากลายเป็นพวกหน้ามืดตามัวไปเสียแล้ว ไม่อยากถอนตัว และพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อที่จะเอากำไรให้ได้

อย่าได้เข้าไปยุ่งกับสิ่งที่ก่อให้เกิดความโลภเชียว มันไม่เพียงจะหมดเนื้อหมดตัว แต่ชีวิตยังฉิบหายด้วย!

เป็นเรื่องจริงนะ!

เสี่ยวเถียนมองเวลาด้วยความร้อนใจ เหลืออีกแค่สิบนาทีแล้วนะ ทำไมตำรวจยังไม่มาอีก?

ไม่งั้นแผนการของเจ้าพวกนี้สำเร็จแน่

เธอวางกระติกน้ำไว้ตรงมุมหนึ่ง ตั้งใจว่าจะทำอะไรสักอย่างในช่วงเวลาคับขันนี้

ตอนนั้นเองที่การพนันได้กลับมาเริ่มต้นอีกครั้ง เสี่ยวเถียนมองพวกเขาหยิบเงินออกมาวาง

“นี่คือทั้งหมดที่ฉันมีมาดูกันว่าจะพลิกสถานการณ์ได้ไหม!” หนึ่งในนั้นกัดฟันพูด

“ฉันก็เหลืออยู่แค่ยี่สิบหยวนเหมือนกัน”

แต่คนนี้ยังฉุกคิดขึ้นมาได้บ้าง ตอนควักเงินออกมายังลังเลงเล็กน้อย

เขาทำงานเกี่ยวกับการจัดซื้อ ได้รับเงินสองร้อยห้าสิบหยวนกว่า ๆ แต่ตอนนี้เหลืออยู่ยี่สิบหยวนเอง เขาควรทำยังไงต่อไปดีล่ะ?

แต่ไม่เล่นต่อก็ไม่ได้เงินคืน หากโชคดีสักสองสามเกม การเงินจะกลับมาคล่องตัวอีกครั้ง

“จะลงไหม? ถ้าไม่ก็ถอยออกไป ฉันรออยู่นะ”

คนข้าง ๆ เหมือนเห็นความลังเลจึงเอ่ยเรียกสติ

สุดท้ายก็วางเงินลงไปอย่างสั่น ๆ

ตอนนี้เองที่เสี่ยวเถียนเห็นเงาของพวกตำรวจ

[1] ผู้มีความรู้อยู่ในท้องย่อมสง่างามด้วยตนเอง หมายถึง คนที่เรียนหนังสือจะมีบุคลิกที่โดดเด่นเป็นธรรมชาติเหมือนกับการแต่งตัวดูดี