ภาค 1-2 บทที่ 110

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 110 ดึกดื่นเดินไม่หยุด
โดย
Ink Stone_Romance
บนถนนใหญ่พริบตาราวกับตกอยู่ในความมืด

คุณหนูจวินแนบร่างไปกับมุมกำแพงสิ่งใดล้วนมองไม่เห็น ได้ยินเพียงเสียงอาวุธปะทะกันด้านนอก เคียงคู่กับเสียงทึบตันยามอาวุธตัดเข้าเนื้อ

แต่ไม่มีเสียงร้องเจ็บปวดร้องโอดโอยสักนิด เหมือนกับไม่มีคนฟาดฟันดาบกระบี่เอาชีวิตกันอยู่

คนที่มาเหล่านี้ก็ไม่ธรรมดา

คุณหนูจวินคิด

ต้องไปช่วยไหมนะ?

แต่ความคิดเพิ่งผุดขึ้น เสียงด้านนอกก็พลันหยุดลง

จบแล้วหรือ?

“รีบไป รีบไป” ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น

ผู้ชายสามคนที่เบียดอยู่ตรงแท่นตั้งเตาของแผงลอยตอนนี้ถึงตัวสั่นระริกยืนขึ้นมา มองผู้ชายหกคนที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้น

บางคนไม่ขยับแล้ว บางคนยังกระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน บนถนนใหญ่มืดสลัว ตอนนี้เสียงครวญครางเบาๆถึงเพิ่งดังขึ้น

“เงินนี้จ่ายคุ้มค่าหรือไม่เล่า?”

ตอนที่สามคนมองดูใจสั่นขวัญสะท้าน เสียงของผู้ชายมีหนวดก็เอ่ยขึ้น

ผู้ชายสามคนฉีกริมฝีปากฝืนยิ้มออกมาบางๆ

“คุ้ม คุ้ม” พวกเขาเค้นเสียงเอ่ยขึ้น

ผู้ชายมีหนวดโบกมือให้พวกเขา

ผู้ชายสามคนตอนนี้ถึงขยับออกมา

ผู้ชายคนหนึ่งบนพื้นทันใดนั้นก็จับดาบลุกขึ้นยืน ผู้ชายสามคนตกใจกลัวส่งเสียงร้อง

ผู้ชายคนนั้นโงนเงน ใช้ดาบค้ำร่างพอฝืนไม่ล้มลง

ผู้ชายมีหนวดโบกมือใส่ผู้ชายสามคนอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจต่อ ตนเองพาพวกเขาเดินไปข้างหน้า

“เจ้าคิดว่าเจ้าหนีพ้นรึ?” เสียงแหบพร่าของผู้ชายคนนั้นเอ่ยปากขึ้น

ผู้ชายสามคนตกใจสะดุ้งโหยง ผู้ชายมีหนวดก็ทำท่าตกใจสะดุ้งโหยงออกมาด้วย

“ฮ่า” เขาเอ่ย “เจ้ารู้จักข้ารึ?”

ผู้ชายราวกับถูกคำพูดนี้ทำให้อับจนวาจาไปบ้าง เพียงแค่มองเขา

ผู้ชายมีหนวดโบกมือ

“เอาล่ะ ข้าหนีพ้นไม่พ้นเป็นเรื่องของข้า พวกเจ้าจับข้าได้หรือไม่ได้ เป็นเรื่องของพวกเจ้า พวกเราทุกคนต่างก็เป็นห่วงธุระของตนเองเถอะ” เขาเอ่ย

“มีความสามารถเจ้าก็สังหารพวกเราเสีย” ผู้ชายยิ้มหยันร้องตะโกน ใช้ดาบชี้คนบนพื้น

คนเหล่านี้หรือว่าไม่ได้ฆ่าให้ตายรึ?

ผู้ชายสามคนอดไม่ได้มองไปบนพื้น

ท่ามกลางราตรีมืดมิดมืดสลัวไม่สว่างมองไม่ชัดว่าเป็นอย่างไรเช่นกัน ข้างหูได้ยินเสียงแค่นหัวเราะของผู้ชายมีหนวด

“อยากตายในมือข้าก็ต้องจ่ายเงิน พวกเจ้าไม่ได้จ่ายเงิน ไม่คู่ควรให้ข้าลงมือ” เขาเอ่ย เสียงติดจะเยาะหยันอยู่บ้าง

พูดจบก็ไม่สนใจพวกเขาอีก ก้าวใหญ่เดินไป

ผู้ชายสามคนก็รีบติดตาม แม้ยังไม่หายจากอาการตกใจกลัว แต่ในใจมีความคิดบางอย่าง

“คุณชายจิ่ว” ผู้ชายอ้วนเตี้ยก้าวไวๆตามเขามา “ท่านรู้จักกับพวกเขารึ?”

ผู้ชายมีหนวดก็ไม่ได้หันมาตอบว่าอืมสักคำ ก็ไม่รู้ว่ารู้จักหรือว่าไม่รู้จัก

ผู้ชายอีกคนหนึ่งได้สติกลับมาบ้างแล้ว

“คุณชายจิ่ว คนเหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อพวกเรา แต่มาเพื่อท่านกระมัง?” เขาว่า

ผู้ชายมีหนวดมองพวกเขาทีหนึ่ง

“ทำไม?” เขาเอ่ยขึ้น “นี่มีอะไรแตกต่างหรือ?”

แตกต่าง?

แตกต่างมากเลย!

“เจ้า เพราะเป็นพวกเราเรียกมา เจ้าคลี่คลายอันตรายแทนพวกเรา…” ผู้ชายอ้วนเตี้ยก็ได้สติกลับมาเอ่ยขึ้น สายตาจับอยู่บนหน้าอกของผู้ชายมีหนวด

ตรงนั้นยัดตั๋วเงินไว้หลายใบ

ที่เก็บไปเป็นเงินของพวกเขา

ผู้ชายมีหนวดสบถทีหนึ่ง

“นี่อะไรกัน? ข้าเก็บเงินไม่ถูกรึ?” เขาเอ่ย “คนเหล่านี้มาเพื่อข้าแล้วอย่างไร? พวกเจ้าไม่ใช่มาเพื่อข้าเหมือนกันรึ? พวกเจ้ามาหาข้า ไม่ใช่เอาตนเองเข้ามาเกี่ยวด้วยเองรึ? หรือว่าข้าบีบพวกเจ้ามารึไง?”

เขาเอ่ยถามติดกันเป็นพรืด ถามจนทั้งสามคนที่เพิ่งประสบความตระหนกตกใจมาสมองสับสนไปบ้าง

เหมือนจะอย่างนั้นนะ

“ข้าเก็บเงินพวกเจ้าแล้วอย่างไร? พวกเจ้ามองเห็นว่าข้าร้ายกาจมากเท่าไรแล้วไหม?” ผู้ชายมีหนวดคิ้วตั้งเอ่ยขึ้น “ข้าร้ายกาจขนาดนี้ หากไม่ใช่เพราะเก็บเงินพวกเจ้า ข้ายังต้องสู้กับพวกเขาไหม? ข้าจะไปข้าก็ไปได้ พวกเจ้าเล่า? พวกเจ้าหนีรอดจากมือพวกเขาได้งั้นรึ?”

ผู้ชายสามคนส่ายศีรษะ

ยังไงก็ไม่ได้จริงๆ

“นี่ไม่ใช่ได้ข้อสรุปแล้วรึ” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น ส่ายศีรษะถลึงตามองพวกเขา “นั่นยังไม่รีบหนีอีก! คนเหล่านี้เป็นพวกตั๊กแตน มาทีหนึ่งมาเป็นฝูงใหญ่ รอคนของพวกเขามาแล้ว ต่อให้พวกเจ้าให้เงินหมื่นพวงกับข้า ข้าก็คลี่คลายปัญหาให้พวกเจ้าไม่ได้แล้วเหมือนกัน”

ผู้ชายสามคนเหมือนจะฟังเข้าใจแต่ก็เหมือนจะฟังไม่เข้าใจ ถูกเขาตะโกนใส่ว่ายังไม่รีบหนีอีกเช่นนี้ จิตใต้สำนึกก็เพิ่มฝีเท้าให้เร็วขึ้น แยกย้ายกันวิ่งไปสามทิศทาง พริบตาหายลับไปในความมืดของราตรี

บนถนนใหญ่จากนั้นก็กลายเป็นวุ่นวายขึ้นมา ที่วุ่นวายไม่ใช่แค่ถนนเส้นนี้ ดูเหมือนทั้งเมืองจะวุ่นวายขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

แต่ความวุ่นวายเหล่านี้อย่างไรก็สลัดไว้ด้านหลังร่างแล้ว

คุณหนูจวินมองเงาร่างที่ลัดเลาะถนนตรอกซอกซอยอย่างว่องไวเบื้องหน้า อุทานชื่นชมอีกครั้ง สู้ได้ทั้งยังหนีได้ นี่ถึงเป็นคนอย่างที่ปากอาจารย์จะเอ่ยชมว่าเป็นชายชาตรี

ตัดทะลุวกวนหลายรอบ ประตูเมืองก็อยู่ตรงหน้า

ประตูเมืองยังเปิดอยู่ แต่ด้านหน้าประตูเมืองทหารตรวจการณ์เมืองจำนวนหนึ่งยืนอยู่ โคมไฟสว่างส่องสีหน้าเคร่งเครียดของพวกเขา เห็นชัดว่าพวกเขาได้รับข่าวบางอย่างแล้ว

อยากออกจากเมืองน่ากลัวว่าจะไม่ง่ายดายขนาดนั้น

คุณหนูจวินคิดในใจ ความคิดเพิ่งแวบผ่านไป กลับเห็นเงาร่างตรงหน้าหยุดก็ไม่หยุดพุ่งตรงไปยังประตูเมือง

“พวกเจ้ายังอยู่ที่นี่ทำอะไร? ไม่ใช่ให้พวกเจ้าค้นเมืองรึ?” เขาตะโกนเสียงดังเอ่ยขึ้น

มองเห็นคนผู้หนึ่งที่พุ่งออกมากะทันหัน บรรดาทหารตรวจการณ์เมืองก็ตกใจสะดุ้งโหยง กำลังจะตวาดด่าผู้ชายมีหนวดก็ยกป้ายห้อยเอวในมือขึ้นมา

“ขยับตัวไวหน่อย แต่ไม่ต้องยกพลเอิกเกริก” เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “สหายรักขุนพลเก่าของเฉิงกั๋วกงในเมืองหลวงมากมาย หากให้พวกเขารู้ว่าบุตรชายของเฉิงกั๋วกงมาต้องขัดขวางการจับกุมแน่”

บรรดาทหารตรวจการณ์เมืองมองเห็นป้ายห้อยเอว ทั้งได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็ผ่อนคลายทั้งยังเข้าใจทันที

“ที่แท้ก็จับบุตรชายของเฉิงกั๋วกงมาแล้ว” ทหารตรวจการณ์เมืองที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น “มิน่าเบื้องบนบอกแค่ว่าให้เข้มงวด กลับไม่ได้บอกว่าเป็นใคร ถ้าเช่นนั้นพวกเราต้องปิดประตูเมืองหรือไม่?”

พวกเขาพูดหันไปทางผู้ชายมีหนวดที่ประจันหน้าเข้ามา

“ไม่ต้องปิด ท่านชายในเมื่อเข้าเมืองหลวงมาแล้วต้องไม่กล้าออกมาแล้วแน่ ย่อมมีคนในเมืองปกป้องเขา” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น

เป็นเช่นนี้จริงๆ มาถึงเมืองหลวงในเมื่อร่องรอยเปิดเผยแล้ว หลบอยู่ในเมืองกลับจะปลอดภัยที่สุด หลบอยู่ในจวนหลังใหญ่ของขุนนางชั้นสูงในเมืองชั่วขณะย่อมหาไม่พบ แต่หากออกจากเมือง ถ้าอย่างนั้นย่อมขวางร่องรอยเปิดเผยไม่ได้สักนิด

อย่างไรช่วงนี้ก็คงไม่หนีออกจากเขตเมืองหลวงกลับไปถึงตอนเหนือ

“ใต้เท้ายังมีอไร…” บรรดาทหารตรวจการณ์เมืองเอ่ยคำ

เสียงยังไม่ทันจบก็เห็นผู้ชายมีหนวดตรงหน้าพวกเขาฟันมือมาอย่างแรง ทหารตรวจการณ์เมืองหลายคนฉุกละหุกไม่ทันป้องกันล้มลง ด้านหน้าประตูเมืองอลหม่านทันที

“ปิดประตูเมือง!”

เสียงร้องตะโกนวุ่นวายดังขึ้น แต่ชายผู้มีหนวดแย่งม้าตัวหนึ่งมาแล้ว ดาบในมือสะบัดเป็นประกายเย็นเยียบแถบหนึ่งบุกฝ่าทางเส้นหนึ่งอย่างเร็วรี่

“ปิดประตูเมืองสิเจ้าพวกโง่เง่าพวกนี้” เขาหัวเราลั่นทะลุผ่านประตูเมืองดุจสายฟ้าแลบ ทิ้งเสียงหัวเราะที่ยังไม่กระจายหายไว้

บรรดาทหารตรวจการณ์เมืองล้วนขึ้นม้าทันทีเช่นกัน แต่กลับมองเห็นด้านนอกประตูเมืองวัวแพะหมูฝูงหนึ่งส่งเสียงร้องพุ่งเข้ามา

ที่แท้ชายผู้มีหนวดเปิดคอกแพะม้าข้างล่างประตูเมือง สัตว์เลี้ยงที่ถูกขังรอคอยอยู่ข้างในเหล่านั้นล้วนวิ่งออกมา

นี่ทำให้ทหารตรวจการณ์เมืองที่ไล่ตามออกมาถูกชนโจมตีคนหงายม้าพลิก ทหารที่เฝ้าเมืองรีบไล่ต้อนสัตว์เลี้ยงเหล่านี้ ด้านหน้าประตูเมืองตกอยู่ในความโกลาหลครั้งใหญ่กว่าเดิม

“พ่อจ๋า พ่อจ๋า แพะหนีแล้ว แพะหนีแล้ว”

ท่ามกลางความโกลาหลยังได้ยินเสียกรีดร้องของเด็กสาว ทหารหน้าประตูเมือง ทหารตรวจการณ์เมืองได้ยินมองทีหนึ่ง เห็นเด็กสาวตะลีตะลานตกอยู่ท่ามกลางฝูงวัวแกะหมู

ส่วนด้านนอกประตูเมืองคนมากกว่าเดิมโถมเข้ามา

คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มาขายสัตว์เลี้ยง เดิมทีกำลังนอนหลับสบายอยู่ในเพิงหญ้าด้านนอกคอกวัวม้า เพราะเสียงดังนี้ล้วนตกใจตื่นกันหมด

ทหารตรวจการณ์เมืองด่าทอคนเหล่านี้ให้รีบจัดการสัตว์เลี้ยงที่วิ่งวุ่น ไม่ได้สนใจเด็กสาวที่ร้องเรียกพ่อจ๋าคนนั้นว่าไม่ได้เข้ามาอีก

ไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าไร กลิ่นเหม็นของสัตว์เลี้ยววัวแพะสลายไปแล้ว คุณหนูจวินออกแรงสูดดมทีหนึ่ง รู้สึกได้ถึงกลิ่นหอมเดี๋ยวโผล่เดี๋ยวหายบางๆสายหนึ่ง

นี่เป็นผงยาที่นางพกติดตัวไว้ตลอด ประโยชน์หลักๆคือป้องกันตัว แต่ก็ใช้ในการตามรอยได้ เพราะมันมีกลิ่นพิเศษทั้งยังถูกพบไม่ได้ง่ายนักอยู่

ตอนที่จูจั้นอยู่ในเมืองต่อสู้กับคน นางก็ฉวยโอกาสโยนไว้บนถนนใหญ่ จูจั้นที่วิ่งเร็วรี่อยู่เหยียบไปบนนั้น

ทว่า…

คุณหนูจวินมองด้านหน้า ราตรีมืดมิดดั่งก้นหม้อ นี่เป็นช่วงเวลามืดสนิทที่สุดก่อนฟ้าสาง แต่นี่ไม่เป็นอุปสรรคกับการจำแนกทิศทางของนาง

ทิศนี้ไม่ใช่เหนือ ไม่ใช่ใต้ ถึงขนาดไม่ได้ออกจากเมืองหลวงไกลสักเท่าใดแม้แต่นิด

เขาไม่ได้หนีจากไปไกล หรือว่าจะทำตามหลักสถานที่ซึ่งอันตรายที่สุดคือสถานที่ซึ่งปลอดภัยที่สุด?

คุณหนูจวินราวกับสัมผัสได้ถึงเสียงกีบเท้าม้าของทหารที่ไล่ตามหลังร่าง

สายตาของนางจับบนเงาร่างที่ค่อยๆปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นางยังคงก้าวเดิน ดูท่าตอนที่พังคอกวัวม้าตอนออกจากเมือง ม้าคงถูกเขาไล่หนีไปแล้ว

เขาจะไปไหน?

……………………………………….