พงศกรรีบขจัดความประหลาดใจในดวงตา มองไปที่ประตูห้องผู้ป่วย ดวงตากลายเป็นมีความหมายลึกซึ้ง
ตามเหตุผลแล้ว ถึงแม้ว่าความทรงจำของเธอจะไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่นิสัยก็ยังไม่เปลี่ยน
ดังนั้น เขาไม่สามารถคาดเดาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าขั้นต่อไปเธอจะทำอะไร แต่อย่างน้อยก็มีโอกาสเดาถูกสูงมาก
เขาคิดว่า คำพูดพวกนั้นที่เธอแอบฟังนั้น จะมีผลต่อจิตใจของเธอเป็นเวลานาน อย่างน้อยหากไม่ใช่หลายชั่วโมง คงไม่กลับมา
แต่ไม่คิดเลย ว่านี่เป็นเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงสั้นๆ หรืออาจยังไม่ถึง เธอก็กลับมาแล้ว แถมน้ำเสียงฟังไม่ออกถึงความหวั่นไหวเลยสักนิด ดังนั้นมันจะไม่ให้เขาไม่ประหลาดใจได้ยังไง
“เข้ามาสิ”ไม่ได้คิดอะไรมาก พงศกรก็ตะโกนบอก ผู้หญิงที่อยู่นอกประตู
ปาจรีย์ที่อยู่นอกประตูเมื่อได้ยินการตอบกลับของเขา ก็ปล่อยมือจากประตู หายใจเข้าลึกๆ แล้วจับที่มือจับประตู เปิดประตูเข้าไป “คุณพงศกร”
พงศกรอือตอบ“กลับมาแล้วเหรอ”
ปาจรีย์พยักหน้า ก้มหน้าก้มตาไม่มองเขา และเดินไปที่โต๊ะ “กระติกเก็บความร้อนไว้ที่บ้านแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นฉันจึงรีบกลับมาค่ะ น้ำอุ่นไม่มีแล้ว ฉันไปต้มหน่อยนะคะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็หยิบกาต้มน้ำแล้วไปที่ห้องครัวทันที
พงศกรจ้องมองแผ่นหลังของเธอ “หยุดก่อน”
ปาจรีย์หยุดก้าวเดิน “คุณพงศกรจะสั่งอะไรคะ”
“หันหน้ามาสิ”พงศกรจ้องมองเธอที่ตอบด้วยการไม่หันหน้ามา ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
ปาจรีย์ยกเปลือกตาขึ้น กัดริมฝีปากเบาๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ ยังคงตอบด้วยการก้มหน้าเช่นเดิม “คุณพงศกรมีเรื่องอะไร ก็สั่งมาได้เลยค่ะ”
เมื่อเห็นเธอไม่ยอมหันหน้ากลับมา พงศกรก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก และน้ำเสียงก็ทุ้มต่ำมากกว่าเดิม “ปาจรีย์ ผมบอกว่า หันหน้ามา”
เขาพูดซ้ำอีกรอบ “อย่าทำผมโมโห รู้ไหม”
เขาพูดเรื่องโมโหออกมาขู่ ปาจรีย์จึงไม่กล้าแข็งข้อกับเขาอีก หลังจากทำหน้ามุ่ย หันกลับมาอย่างไม่เต็มใจ
แต่พงศกรยังไม่พอใจ จึงมองเธอแล้วพูด “เงยหน้าขึ้น แล้วมองผม”
ปาจรีย์กัดริมฝีปาก ในใจร้อนรุ่มเป็นอย่างมาก
เธอไม่เข้าใจ พูดก็พูดสิ จะสั่งก็สั่งเลย ทำไมต้องให้เธอหันกลับมาด้วย
หันกลับมายังไม่พอ ยังจะให้เงยหน้ามองเขาอีก
นี่มันจงใจแกล้งกันชัดๆ
ในใจปาจรีย์โมโหเป็นอย่างมาก แต่ไม่กล้าแสดงออกมา หลังจากถอนหายใจ ก็ค่อยๆเงยหน้า มองพงศกร
แน่นอน บอกว่ามอง แต่เปลือกตากลับมองต่ำ
พงศกรเห็นเธอเป็นเช่นนี้ ก็ทั้งโกรธทั้งขำ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ปล่อยให้เธอเป็นแบบนี้เถอะ
เขารู้ ว่าให้เธอหันมา แล้วเงยหน้านั้นก็ถือว่าเธอยอมให้มากแล้ว หากให้เธอยอมให้ทุกครั้ง เธอก็คงจะรับไม่ได้
หากร้องไห้ขึ้นมา……
นัตน์ตาพงศกรหมองเศร้า ไม่อยากคิดต่อ ก็เปิดปากพูด “เธอไม่ได้เพิ่งกลับมาจากที่ตระกูลจิรดำรงค์ในตอนนี้มั้ง ก่อนหน้านี้เป็นเธอที่อยู่นอกประตูใช่ไหม”
สายตาปาจรีย์ประกายแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร
ที่แท้ เขาก็ได้ยินเสียงที่เธอทำแก้วแตกในตอนนั้น และยังเดาได้ว่าเป็นเธอ
เมื่อเห็นปาจรีย์ไม่พูดอะไร พงศกรก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ก่อนหน้านี้ที่ฉันโทรศัพท์กับคนอื่นในห้อง เธอได้ยินไปเยอะใช่ไหม”
ปาจรีย์ยกเปลือกตาขึ้น มองไปที่เขา จึงประสานตากับดวงตาลึกซึ้งของเขาพอดี
วินาทีนั้น ปาจรีย์รู้สึกเพียงหัวใจของตัวเองสั่น และว้าวุ่นอย่างแปลกประหลาด จากนั้นก็รีบก้มหน้าลง
พงศกรเห็นท่าทีที่ขี้ขลาดแบบนี้ของเธอ ในใจก็ทั้งโกรธและทำอะไรไม่ได้ เม้มปากแล้วพูด “ทำไมไม่ตอบ”
ปาจรีย์ก้มหน้าต่ำลงไปอีก ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิวราวกับพวกยุงพวกแมลงวัน “ไม่มีอะไรน่าตอบค่ะ เรื่องพูดเล่นเท่านั้น จะให้มันเป็นเรื่องจริงได้ยังไงคะ”
“พูดเล่นเหรอ”พงศกรขมวดคิ้วอย่างหนัก
เขารู้ ว่าเธอไม่เชื่อคำพูดเขา แต่ไม่คิดว่า ในสายตาเธอ กลับคิดว่าเป็นการพูดล้อเล่น
“หรือว่าไม่ใช่เหรอคะ”ปาจรีย์มุมปากยิ้มเยาะ
“คุณพงศกร สิ่งที่คุณพูด มันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องจริงหมดจริงไหมคะ”
พงศกรจ้องมองเธอ “ถ้าสิ่งที่ผมพูด คือเรื่องจริงทั้งหมดล่ะ”ตัวปาจรีย์แข็งทื่อด้วยความตกใจครู่หนึ่ง
เรื่องจริงเหรอ
เขาบอกว่าเป็นเรื่องจริงเหรอ
หรือว่า เขาจะรักเธอเข้าแล้วจริงๆ
ปาจรีย์เงยหน้า มองพงศกรแวบหนึ่ง เขามีท่าทีเข้มงวด ราวกับว่าจริงจัง และราวกับไม่รู้สึกอะไร
ปาจรีย์มองต่ำลงอีกครั้ง มุมปากยิ้มเยาะชัดเจนมากขึ้น “ คุณพงศกร อย่าพูดเล่นอีกเลยค่ะ การล้อเล่นแบบนี้ ไม่ตลกเลยสักนิด”
ใช่ ล้อเล่น
เธอยังคงไม่เชื่อ ว่าเขาพูดความจริง
เมื่อก่อนเขาทำเช่นนั้นกับเธอ เกลียดเธอถึงขั้นสุด จนถึงขั้นเกลียดจนอยากให้เธอกับคนในตระกูลจิรดำรงค์ตายๆไปซะ
ดังนั้นคนที่เกลียดเธอเช่นนี้ จะสามารถรักเธอได้ยังไง
ผ่านไปสิบกว่าปี เขาไม่เคยจะรักเธอ พอเธอความจำเสื่อมไม่ถึงเดือนกลับมารัก เป็นไปได้เหรอ
เป็นเรื่องตลกมากจริงๆ
เขาต้อง กำลังคิดแผนอย่างอื่น มาแกล้งเธอย่างแน่นอน
เพราะถ้าหากเขารักเธอจริง เขาคงรักไปนานแล้ว จะรอมาถึงตอนนี้เหรอ
เธอในตอนนี้ ไม่อยากได้ความรักของเขาเลยสักนิด
เมื่อมองดูท่าทีของปาจรีย์แล้ว พงศกรก็เดาได้แล้วว่าเธอก็ยังไม่เชื่อคำพูดของเขา แววตาก็หม่นหมอง
ช่างเถอะ หากตอนนี้เธอจะไม่เชื่อเขานั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ต่อจากนี้ เขาจะค่อยๆทำให้เธอเชื่อให้ได้
“คุณอยากรู้ไหม ว่าทำไมผมถึงพูดแบบนั้นกับคนในโทรศัพท์”พงศกรจ้องพลางถามปาจรีย์อีกครั้ง
ปาจรีย์ส่ายหน้า “ไม่อยากค่ะ แต่คุณพงศกรคะ ฉันอยากขอร้องคุณ ไม่ว่าคุณจะพูดแบบนี้ไปเพราะอะไร ฉันหวังว่าคุณอย่าดึงพ่อแม่ของฉันเข้าไปยุ่งด้วย พวกท่านอายุมากแล้ว มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว ฉันรู้นะคะว่าคุณเกลียดพวกท่าน แต่คุณปล่อยพวกท่านไปได้ไหมคะ ให้พวกท่านใช่ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข ทั้งหมดให้ฉันเป็นคนรับแทนได้ไหมคะ”
เธอตบหน้าอกของตัวเอง พลางพูดขอร้อง
ตอนนี้พงศกรเข้าใจความหมายของเธอแล้ว สีหน้าไม่สู้ดีเล็กน้อย “คุณคิดว่า ที่ผมพูดกับคนที่คุยในโทรศัพท์แบบนั้น เพราะวางแผนคิดร้ายกับตระกูลจิรดำรงค์ของคุณเหรอ”
ปาจรีย์กัดริมฝีปาก “มันไม่ใช่เหรอคะ ไม่งั้นจู่ๆทำไมต้องพูดแบบนั้น นอกจากเหตุผลนี้ ฉันคิดอย่างอื่นไม่ออกเลยค่ะ”
พงศกรโมโหจนหายใจเร็วขึ้นผิดปกติ “ปาจรีย์คุณ……”
ปาจรีย์หดคอลงเล็กน้อย “ขอโทษค่ะคุณพงศกร ฉันไม่รู้ว่าที่ฉันเดามันถูกต้องไหม แต่ไม่ว่าจะถูกหรือไม่ ฉันก็ยังว่าหวังจากใจ ว่าคุณจะปล่อยพ่อแม่ฉันไปค่ะ”
เธอยังคงยืนกรานที่จะอ้อนวอนแทนพ่อกับแม่ตัวเอง
พงศกรนวดหว่างคิ้ว เพราะรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย “พอแล้ว คุณไม่ต้องพูดแล้ว”
เขาต้องการสงบสติอารมณ์
เขาเคยคิดว่าเธอจะไม่เชื่อคำพูดเขา แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เธอกลับคิดว่า คำพูดพวกนั้นของเขา ที่พูดในโทรศัทพ์นั้น ดูเหมือนเป็นเพราะตัวเขาในเมื่อก่อนจริงๆ ที่ทำให้เธอและหัวใจของเธอได้รับผลกระทบมากมายขนาดนี้ จนถึงขั้นไม่ว่าเธอได้ยินอะไร ก็จะเชื่อมโยงไปถึงว่าเป็นการจัดการกับตระกูลจิรดำรงค์ใช่ไหม
ปาจรีย์เห็นสีหน้าพงศกรไม่ค่อยดีนัก ก็หุบปากอย่างเชื่อฟัง ไม่พูดอะไรอีก
ผ่านไปสักพักจึงจะเย็นลงได้ มองดูแววตาปาจรีย์ ที่เด็ดขาดและจริงจัง “ปาจรีย์คุณฟังให้ดีนะ ที่ผมพูดเช่นนั้น ไม่มีความคิดที่จะวางแผนจัดการกับตระกูลจิรดำรงค์อะไรทั้งนั้น ผมแค่พูดความในใจของผมเท่านั้น ผม……”
“ขอบคุณค่ะคุณพงศกร”ปาจรีย์รีบพูดแทรกคำพูดต่อไปของเขา และโค้งคำนับขอบคุณเขา
เธอรู้ว่าหลังจากนี้เขาจะพูดอะไร จึงจงใจจะตัดบท
เพราะเธอไม่เชื่อ
แต่เธอยอมเชื่อคำพูดก่อนหน้านี้ของเขา ที่ว่าไม่ได้คิดจะทำร้ายตระกูลจิรดำรงค์
ดังนั้นแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ส่วนหลังจากนี้ ก็ถือว่าเป็นการฟังเรื่องตลก ก็พอแล้ว
พงศกรดูออก ว่าปาจรีย์จงใจตัดบทพูดของเขา จึงเม้มปากเป็นเส้นตรง จ้องมองเธอที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่