บทที่ 875 เขาเป็นห่วงฉันเหรอ

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ปาจรีย์ส่ายหน้า “ไม่รู้ค่ะ ฉันไม่กล้าบอกพวกเขา หากบอกพวกเขาไป พวกเขาต้องเป็นห่วงฉันแน่นอน ฉันทำเรื่องที่ทำให้พวกเขาเป็นห่วงมาเยอะแล้ว ฉันไม่อยากสร้างปัญหาอะไรอีก พวกเขาอายุมากแล้ว ทนความกดดันมากมายไม่ไหว ดังนั้น……”

คำพูดข้างหลัง เธอไม่ได้พูดออกมา แต่พงศกรเข้าใจมันดี

เขาเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว ว่าเธอไม่ได้บอกพ่อแม่เธอ

ไม่งั้น พ่อแม่เธอพูดยังไงก็คงไม่เห็นด้วย ที่จะให้เธอมาดูแลเขา และต้องขอร้องให้เธอพักฟื้นร่างกายที่โรงพยาบาลอย่างแน่นอน

ทันใดนั้น สีหน้าพงศกรไม่ค่อยดีนัก และขมวดคิ้วอย่างแน่น

ปาจรีย์รู้สึกว่าตอนนี้เขากำลังไม่พอใจ ริมฝีปากขยับไปมา ในใจเต็มไปด้วยความกลุ้ม

ทำไมเขาต้องไม่พอใจ

ทำไมเขาต้องโมโห

และโมโหอะไรกันแน่

ปาจรีย์ไม่เข้าใจพงศกร จึงก้มหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไร

ในเวลานี้ พงศกรก็พูดขึ้นอีกครั้ง “สองสามวันนี้ เธอมีอาการแพ้ท้องไหม”

ปาจรีย์พยักหน้า “มีค่ะ แต่ส่วนมากจะเป็นช่วงกลางคืนค่ะ ตอนกลางวันเกิดน้อยมากค่ะ”

พงศกรพยักหน้า “เป็นแบบนี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้ว”

ถึงว่าเขาไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง บวกกับเธอยังท้องได้ไม่กี่เดือน หน้าท้องจึงไม่ได้นูนออกมา ดังนั้นเขาก็ลืมเรื่องที่เธอท้องไปเลย

ปาจรีย์กะพริบตา จ้องเขาด้วยความสงสัย “คุณพงศกร คุณเข้าใจอะไรเหรอคะ”

เธอไม่เข้าใจ

ยิ่งไม่เข้าใจ ว่าทำไมเขาต้องถามคำถามเธอมากมายขนาดนี้ เป็นเพราะกำลังเป็นห่วงเธอเหรอ

หลังจากนั้นปาจรีย์ก็ยิ้มอย่างขมขื่น

จะเป็นไปได้ยังไง เขาเกลียดเธอขนาดนั้น จะเป็นห่วงเธอได้ยังไง

เขาแค่อยากถามสถานการณ์ให้ชัดเจน จากนั้นในเวลาที่เธอเป็นแบบนี้ ก็จะหาวิธีมาทำให้เธอยิ่งทรมานมั้ง

เมื่อเห็นท่าที่สลดของปาจรีย์ พงศกรก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ก็เดาได้คร่าวๆแล้วว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จึงขมวดคิ้ว “คุณอย่าคิดเองเอ่อเองทั้งวันได้ไหม”

“ห๊ะ”ปาจรีย์มึนงงครู่หนึ่ง ไม่สามารถเข้าใจความหมายของเขาได้ทันที

พงศกรเหมือนไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด หลังจากก็จิ้มหน้าผากของเธอ แล้วหมุนตัวเดินโซเซไปทางโต๊ะ

ปาจรีย์เบิกตากว้าง ลูบหน้าผากที่โดนเขาจิ้มอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณพงศกร……”

เขาจิ้มหน้าผากเธอ

ท่าทีสนิทสนมเช่นนี้ เขากลับทำมันกับเธอ

นี่……

ปาจรีย์ตกใจจนไม่สามารถนิ่งได้ เธออยากจะถามเขา ว่าทำไมต้องทำท่าทีที่สนิทสนมเช่นนี้กับเธอ แต่เปิดปากตั้งนาน ก็ไม่ส่งเสียงสักนิด

ทางนั้น พงศกรได้เดินถึงหน้าโต๊ะแล้วเมื่อเห็นว่าปาจรีย์ยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ตามมาด้วย ดวงตาก็หรี่ลง “คุณยังยืนอยู่ตรงนั้นทำไม มานี่”

เขาโบกมือเรียก

ปาจรีย์สงบอารมณ์ได้ชั่วคราว แล้วกะพริบตา “คุณพงศกร มีอะไรที่ต้องการมอบหมายคะ”

“คุณมาก็จะรู้เอง ” พงศกรโบกมือเรียกอีกครั้ง

ปาจรีย์ไม่อยากเดินไป แต่กลัวจะทำเขาไม่พอใจมากกว่า

ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือก เธอจึงต้องฝืนใจเดินไป “คุณพงศกร คุณ……”

เธอยังพูดไม่จบ จู่ๆก็มีแก้วน้ำหนึ่งโผล่ตรงหน้าเธอ

ปาจรีย์ตกตะลึง เงยหน้ามองชายหนุ่ม ด้วยความไม่เข้าใจว่านี่ชายหนุ่มหมายความว่ายังไง คืออยากให้เธอดื่มน้ำเหรอ

“มองผมทำไม เอาไป” พงศกรเห็นเธอจ้องตัวเอง นิ่งไม่ขยับไปสักพัก ก็เม้มปากแล้วพูดเร่ง

ปาจรีย์ยื่นมือไปรับแก้วน้ำไว้ “คุณพงศกร คุณให้ฉันช่วยคุณถือไว้ใช่ไหมคะ”

“ให้คุณดื่ม” พงศกรพูด

“อะไรนะ” ปาจรีย์ตะลึงจนพูดไม่ออก และชี้ที่จมูกของตัวเอง

“ฉัน……ฉันดื่มเหรอ”

“อือ” พงศกรพยักหน้า

ปาจรีย์กลืนน้ำลาย ขอยืนยันอีกครั้ง “ให้ฉันดื่มจริงเหรอคะ”

พงศกรเม้นปาก “ผมรู้สึกว่าผมก็พูดชัดเจนมากพอแล้วนะไม่ใช่เหรอ”

“ใช่ค่ะๆๆ”ปาจรีย์รีบพยักหน้าทันที “คุณพูดชัดเจนแล้วค่ะ เพียงแค่ฉันมีความไม่อยากจะเชื่อเล็กน้อยค่ะ”

“มีอะไรไม่น่าเชื่อ” พงศกรขมวดคิ้ว

ปาจรีย์กระตุกมุมปาก ไม่พูดอะไร

ทำไมไม่เชื่อ นี่มันยังมีอะไรน่าสงสัยอีกเหรอ

ไม่มีเลย

จากกระทำทั้งหมดที่เขาปฏิบัติต่อเธอในเมื่อก่อนก็สามารถรู้ได้เลย ว่าทำไมเธอถึงไม่เชื่อ

เพราะเมื่อก่อนเขาไม่เคยทำดีกับเธอเลย ไม่เคยแม้แต่จะเป็นห่วงเธอเลยสักนิด

ดังนั้นตอนนี้รินน้ำให้เธอแก้วหนึ่ง เธอถึงได้ตะลึงมากขนาดนี้

พงศกรไม่ใช่คนโง่ จึงเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว กับสิ่งที่เธอพูด แววตาก็สลดลง จนในที่สุดก็ถอนหายใจ แล้วน้ำเสียงได้อ่อนโยนลง “พอแล้ว รีบดื่มเถอะ”

ปาจรีย์อือตอบ “ขอบคุณค่ะ”

แต่ทว่าเธอกลับถือแก้วน้ำไว้ ไม่ยอมดื่ม

พงศกรเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว “ทำไม คิดว่าผมจะใส่ยาพิษลงไปในน้ำเหรอ”

“ใส่ยาพิษเหรอคะ”

“ไม่ๆๆ ไม่ใช่แน่นอนค่ะ” ปาจรีย์รีบส่ายหน้าโบกมือทันที “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นค่ะ ฉันแค่ยังไม่หิวน้ำค่ะ”

“ไม่หิวก็ต้องดื่ม” พงศกรเม้มปากแล้วพูด

ปาจรีย์จ้องมองเขา ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยสงสัยว่าทำไม

พงศกรเปิดปากพูดด้วยเสียงเบา “ข้างในมีน้ำผึ้ง ช่วยบรรเทาการทรมานของกระเพาะได้”

ปาจรีย์ยิ่งตะลึงมากไปอีก

มีน้ำผึ้งงั้นเหรอ

เธอก้มหน้ามอง ถึงพบว่าน้ำมีสีเหลืองอ่อนๆ แถมยังมีกลิ่นหอมเฉพาะของน้ำผึ้งจางๆ

ใส่น้ำผึ้งลงไปจริงๆด้วย

ในใจปาจรีย์ตะลึงจนไม่สามารถนิ่งสงบได้เลยแม้แต่น้อย

เธอไม่คิดเลย ว่าพงศกรจะรินน้ำให้เธอ รินน้ำไม่พอ ยังใส่น้ำผึ้งลงไปข้างในด้วย

เขาทำแบบนี้ทำไม

ปาจรีย์คิดออกเลยจริงๆ

ถ้าพูดว่าเป็นห่วงเธอ ก็ดูจะไม่เหมือน

แต่ถ้าไม่เป็นห่วง น้ำใส่น้ำผึ้งนี้ แล้วจะอธิบายยังไง

“ยังไม่ดื่มอีก” ในขณะที่ปาจรีย์กำลังคิดไม่ตกหาคำตอบไม่ได้ เสียงของชายคนหนึ่งดังมาจากเหนือศีรษะ น้ำเสียงยังคงมีความเร่งเล็กน้อย

ปาจรีย์อ้าปากจะพูด สุดท้ายก็พยักหน้าตอบ “ฉันดื่ม ฉันจะดื่มเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

ช่างเถอะ ไม่ว่าแก้วน้ำนี้จะมีความหมายอะไรกันแน่ เธอก็คงดื่มๆมันไปเถอะ

อย่างน้อย อย่าเพิ่งทำให้เขาไม่พอใจก่อนแล้วกัน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ ปาจรีย์ก็ยกแก้วขึ้นมาดื่ม

เมื่อพงศกรมองเธอดื่มน้ำแล้ว คิ้วที่ขมวดแน่นก็เรื่องคลายลงเล็กน้อย จากนั้นหมุนตัว ไปหยิบบ๊วยเค็มที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นขึ้นมา ยื่นให้กับปาจรีย์

ปาจรีย์เพิ่งวางแก้วลง ก็เห็นบ๊วยเค็มเหลืองเข้ม ก็ตะลึงจนอ้าปากค้าง “นี่…….บ๊วยเค็มเหรอคะ” จ้องมองบ๊วยเค็มที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ปาจรีย์ก็กลืนน้ำลาย แววตาก็เผยให้เห็นถึงความอยากกินจนน้ำลายไหล

อยากกิน

อยากกินมากจริงๆ

เธอกำลังตั้งครรภ์ และอยู่ในช่วงสามเดือนแรก จึงชอบกินของเปรี้ยวอยู่แล้ว

เมื่อเห็นบ๊วยเค็มจานนี้ สายตาเธอก็จ้องไม่กะพริบ ปากของเธอก็เต็มไปด้วยน้ำลาย

บ๊วยเค็มนี่ ดูแล้วน่ากินมากๆ

ปาจรีย์กะพริบตาปริบๆ มือกำเสื้อไว้แน่น พยายามควบคุมความคิดที่อยากจะไปหยิบบ๊วยเค็ม

พงศกรมองดูความอดทนเช่นนี้ของเธอ ในใจก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูก

อยากจะกินแท้ๆ และอยากกินจนแทบทนไม่ได้ กลับขี้ขลาดไม่กล้าหยิบ ทำให้คนมองแล้วรู้สึกหงุดหงิดและเป็นห่วง

เขารู้ ว่าเป็นเพราะเขาในเมื่อก่อนนั้นยังส่งผลเสียและความหวาดกลัวมากมายให้เธอ ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าแสดงออกมา

“ยื่นมือออกมา” พงศกรพูดพลางจ้องปาจรีย์

ปาจรีย์ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่ก็ยื่นมือออกมาอย่างเชื่อฟัง

พงศกรหยิบบ๊วยเค็มวางบนมือเธอ “ให้คุณ กินเถอะ”

ปาจรีย์เบิกตากว้างอีกครั้ง มองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณพงศกร ให้ฉันเหรอคะ”

พงศกรเดินไปที่เตียงผู้ป่วย “อือ”

ปาจรีย์รีบวางบ๊วยเค็มลงบนโต๊ะ “ไม่ได้ค่ะ คุณพงศกร อันนี้ฉันรับไว้ไม่ได้ค่ะ”

เธอรีบส่ายหัวปฏิเสธ

ถ้าพวกไม่รู้ จะคิดว่าเธอไม่ได้ปฏิเสธบ๊วยเค็มจานนี้ แต่เป็นสิ่งของที่มีมูลค่ามหาศาลอยู่

พงศกรเพิ่งนั่งลงขอบเตียง ก็ได้ยินปาจรีย์ปฏิเสธ สีหน้าก็หมองลงทันที “ไม่เอาเหรอ”