บทที่ 930 มุ่งสู่แดนบรรพกาล

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 930 มุ่งสู่แดนบรรพกาล

หานเจวี๋ยพูดคุยกับหานฮวงอยู่สักพัก ทว่าไม่ได้ถ่ายทอดพลังวิเศษให้ เนื่องจากตอนนี้หานฮวงสามารถสรรค์สร้างพลังวิเศษขึ้นเองได้ ต้องการก้าวเดินไปตามเส้นทางของตน หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ขัดขวางเช่นกัน

จากนั้น หานเจวี๋ยไปหาหานชิงเอ๋อร์ต่อ สองพ่อลูกพูดคุยกันอยู่นาน หลักๆ คือหานชิงเอ๋อร์เป็นฝ่ายพูด

พอเห็นหานชิงเอ๋อร์คุยเจื้อยแจ้ว หานเจวี๋ยก็รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง

ยังคงเป็นบุตรสาวที่ให้ความสนิทสนมมากกว่า

ยังคงเป็นเช่นเดียวกับในยามเยาว์ ต่างจากหานฮวงที่หลังจากเติบโตก็ไม่น่ารักเหมือนตอนเด็กอีก บทสนทนาระหว่างพ่อลูกก็ไม่ได้มากเท่าแต่ก่อน

วันต่อมา

หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตเต๋าหลัก จากนั้นก็ไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ไปที่ตำหนักเอกภพ

ในตำหนักมีเพียงจอมอริยะเสวียนตูที่กำลังนั่งสมาธิฝึกบำเพ็ญ

หานเจวี๋ยเอ่ยเรียก จอมอริยะเสวียนตูพลันได้สติกลับมา เมื่อเห็นหานเจวี๋ยก็รีบลุกขึ้นคำนับ

หานเจวี๋ยโบกมือพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่งลงคุยเถอะ”

จอมอริยะเสวียนตูพยักหน้ารับ เอ่ยถามว่า “อริยะสวรรค์มาด้วยธุระใดหรือ”

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “มาสอบถามสถานการณ์ของมรรคาสวรรค์รวมถึงแดนบรรพกาล”

จอมอริยะเสวียนตูเริ่มรายงานให้ฟัง

มรรคาสวรรค์ยังคงพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้มีเส้นทางสวรรค์ฟ้าบุพกาลเกินร้อยสายแล้ว เมืองฟ้าบุพกาลที่อยู่ตามทิศทางต่างๆ ก็มีนับไม่ถ้วนแล้ว ติดตั้งค่ายกลสารพัดรูปแบบไว้เรียบร้อย ต่อให้โลกอริยะไตรวิสุทธิ์และแดนบรรพกาลบุกมาโจมตี มรรคาสวรรค์ก็ไม่มีทางลนลานจนพลาดท่า โนเวลพีดีเอฟ

ส่วนแดนบรรพกาลยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว

จอมอริยะเสวียนตูมองหานเจวี๋ยพลางเอ่ยว่า “อริยะสวรรค์ มองจากปัจจุบันนี้ ดวงจิตบรรพกาลอาจจะรักษาตัวหรือไม่ก็สั่งสมกำลังอยู่ ไม่มีทางเข้าโจมตีมรรคาสวรรค์ในเร็วๆ นี้ ท่านยังมีเวลาสำหรับฝึกบำเพ็ญ มรรคาสวรรค์ก็ยังมีเวลาสำหรับเตรียมตัวป้องกัน”

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “บุตรแห่งสวรรค์ของมรรคาสวรรค์ถูกแดนบรรพกาลจับตัวไปมากเท่าไร”

จอมอริยะเสวียนตูใคร่ครวญแล้วตอบว่า “เกินห้าร้อยคน ในบรรดานั้นมีอริยะรวมอยู่ด้วย”

“ดำเนินการตามแผนของเจ้าต่อไปเถอะ”

พูดจบหานเจวี๋ยก็ลุกขึ้นจากไป

จอมอริยะเสวียนตูมองแผ่นหลังของเขา ลังเลอยากพูดแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป

รอจนหายเจวี๋ยหายไปแล้ว สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมา

เขามองเห็นรูปการณ์ชัดเจนดี ดวงจิตบรรพกาลไม่ได้โดดเดี่ยวไร้พันธมิตร แต่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าดวงจิตมหามรรคแล้ว

กลับเป็นมรรคาสวรรค์ที่หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างแท้จริง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่สถานการณ์ในครั้งนี้หนักหนากว่าอดีตที่ผ่านมา

เขามองออกว่าบนบ่าของหานเจวี๋ยแบกรับภาระกดดันอันหนักอึ้งไว้ ในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมาสอบถามสถานการณ์ทางฝั่งศัตรูแบบส่วนตัวมาก่อน อีกทั้งหลังจากถามเสร็จก็ไม่ได้สั่งการอันใด แปลว่าหานเจวี๋ยก็ยังไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือกับแดนบรรพกาล

จอมอริยะเสวียนตูไม่คิดมากต่อไปอีก หลับตาลงฝึกบำเพ็ญต่อ

เรื่องต่อกรกับดวงจิตบรรพกาลยังคงต้องฝากเอาไว้กับอริยะสวรรค์เกรียงไกร

สิ่งที่เขาต้องทำคือปกป้องมรรคาสวรรค์ให้ดี!

….

หานเจวี๋ยมาที่อาณาเขตเต๋าของอริยะเทพอวี๋เจี้ยน พอเห็นหานเจวี๋ย อริยะเทพอวี๋เจี้ยนก็แปลกใจนัก ทั้งสองเริ่มทักทายพูดคุยกัน

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเดินทางไปยังแดนบรรพกาลหลายครั้งแล้ว ได้รับบาดเจ็บสาหัสทุกครั้ง แต่ก็หนีรอดมาได้ทุกครั้ง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นตัวตนที่เคยหนีรอดจากเงื้อมมือหานเจวี๋ยมาได้

“เหล่าอวี๋ วันหน้าอย่าไปที่แดนบรรพกาลอีก อยู่ปกป้องมรรคาสวรรค์เถอะ”

หานเจวี๋ยเอ่ยสั่ง น้ำเสียงเจือความห่วงใย

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนท่าทางราวกับแมวถูกเหยียบหาง กระทืบเท้าเร่าๆ ในทันใด

“ปรมาจารย์ฟ้าทลายคนนั้นเก่งกาจนัก แต่ให้เวลาข้าหน่อยเถิด ต้องสังหารเขาได้ในไม่ช้าก็เร็วแน่!” อริยะเทพอวี๋เจี้ยนเอ่ยด้วยความโมโห ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

เขาอยากพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนให้หานเจวี๋ยประจักษ์เสมอมา จนใจที่ศัตรูแข็งแกร่งกว่า

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหล่าอวี๋ ความเก่งกาจของเจ้าข้ารู้ดี ไม่จำเป็นต้องร้อนรนไป ปรมาจารย์ฟ้าทลายคนนั้นจะตายในอีกไม่ช้า ไยต้องถือสาหาความกับคนตายด้วยเล่า”

วาจาของหานเจวี๋ยทำให้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสบายใจยิ่งนัก

อริยะสวรรค์เกรียงไกรยังคงรู้จักพูดยิ่งนัก

นี่ก็เป็นจุดหนึ่งของหานเจวี๋ยที่อริยะเทพอวี๋เจี้ยนนับถือที่สุด เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าหานเจวี๋ยพิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของตัวเองแล้ว แต่เมื่อพบกับคนที่อ่อนแอกว่าตน ก็ไม่ได้เหยียดหยามดูหมิ่น

“อริยะสวรรค์ เจ้าบอกว่าปรมาจารย์ฟ้าทลายต้องตายหรือ” อริยะเทพอวี๋เจี้ยนนั่งลง ถามด้วยความอยากรู้

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ผิด ข้าเตรียมจะไปเยือนแดนบรรพกาลด้วยตัวเอง”

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนผงะไป ราวกับฟังผิดไปก็มิปาน

ไม่ใช่ว่าอริยะสวรรค์เกรียงไกรแค่เฝ้าพิทักษ์มรรคาสวรรค์ ไม่บุกไปหาศัตรูที่อยู่ห่างไกลหรอกหรือ

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนพลันตื่นเต้นขึ้นมา “ข้าก็จะไปด้วย ข้าอยากเห็นฉากที่ปรมาจารย์ฟ้าทลายคนนั้นอ้อนวอนขอชีวิตจากเจ้า!”

เมื่อนึกถึงความกำแหงของปรมาจารย์ฟ้าทลาย เขาก็อดโมโหไม่ได้

“ไม่ได้ มรรคาสวรรค์จำเป็นต้องมีคนคอยพิทักษ์ เลี่ยงไม่ให้ถูกผู้อื่นฉวยโอกาสโจมตี”

หานเจวี๋ยเอ่ยกำชับ อริยะเทพอวี๋เจี้ยนรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงไม่ดึงดันอีก

ทั้งสองคุยกันไปสักพัก หานเจวี๋ยก็กลับมาที่อารามเต๋า

เขาแยกเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งทิ้งไว้ในอารามเต๋า ป้องกันไม่ให้ตนดับสูญภายนอกแล้วไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้

ขณะที่เขากำลังจะออกไปนั้น

จู่ๆ หานฮวงก็มาขอเข้าพบเขาอยู่ด้านนอกอารามเต๋า

หานเจวี๋ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงอนุญาตให้เขาเข้ามา

“ท่านพ่อ ข้าคิดไปคิดมาแล้วรู้สึกว่าผิดปกติ ท่านเตรียมจะไปแดนบรรพกาลใช่หรือไม่ ดังนั้นถึงบอกว่าวันหน้าข้าสามารถออกไปท่องโลกได้แล้ว”

หานฮวงมาหยุดตรงหน้าหานเจวี๋ย เอ่ยถามด้วยแววตาลุกวาว

หานเจวี๋ยพยักหน้ารับ

หานฮวงข่มความตื่นเต้นเอาไว้ เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ท่านพาข้าไปด้วยเถิดขอรับ ข้าอยากเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของท่าน ตัวข้าในยามนี้ต่อให้ช่วยเหลือท่านพ่อไม่ได้ แต่ก็คงปกป้องตัวเองได้กระมัง ข้าได้ปฏิบัติตามพลังวิเศษที่ท่านพ่อถ่ายทอดให้ แยกวิญญาณเสี้ยวหนึ่งทิ้งไว้ในอารามเต๋า ต่อให้ตายอยู่ด้านนอกก็ยังฟื้นคืนชีพได้!”

หานเจวี๋ยจ้องมองหานฮวง

หานฮวงหาญกล้าไร้ความเกรงกลัว สบตากับผู้เป็นบิดา

ผ่านไปนานพักใหญ่

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ไปด้วยกันเถอะ”

พอพูดจบ สองพ่อลูกก็เลือนหายไปจากอารามเต๋า มาปรากฏท่ามกลางฟ้าบุพกาล

เท้าของทั้งสองเหยียบอยู่บนแสงสีแดงสายหนึ่ง พาพวกเขามุ่งไปด้านหน้า

กระแสกาลเวลารอบข้างผันผวนปรวนแปรเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้า แสงสีแดงส่องกระทบร่างของสองพ่อลูก หานฮวงมองด้วยความตื่นเต้นสุดขีด

“ท่านพ่อ พวกเราออกมาแล้วหรือขอรับ

“นี่คือมิติอะไรกัน ไม่น่าเชื่อว่าข้าจะมองไม่ทะลุ!

“ท่านพ่อ ท่านมีตบะระดับใดกันแน่ขอรับ”

หานเจวี๋ยรับมือกับคำถามของหานฮวงด้วยการส่งยิ้มน้อยๆ ให้

อุโมงค์กาลเวลาเส้นนี้ผันแปรมาจากพลังปฐมยุค เป็นเอกเทศหลุดพ้นจากฟ้าบุพกาล ไม่ว่ามุ่งหน้าไปยังที่ใดล้วนจะไม่ถูกสังเกตเห็น

นอกจากเทพมารปฐมยุคแล้ว ไม่มีใครสามารถบังคับบุกเข้ามาได้!

ในระหว่างที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ หานเจวี๋ยได้คิดค้นพลังวิเศษด้วย เป็นพลังวิเศษที่ผันแปรเช่นเดียวกับอุโมงค์กาลเวลาสายนี้ ทว่าไม่สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นได้ เพราะมีเพียงเทพมารปฐมยุคที่ควบคุมได้

พอเห็นว่าหานเจวี๋ยไม่ตอบ หานฮวงก็ทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่องคุยเสีย “ท่านพ่อ พอไปถึงแดนบรรพกาลแล้ว ท่านเตรียมจะลงมือย่างไรขอรับ”

หานเจวี๋ยตอบว่า “ปราบปราม”

หานฮวงถาม “บังคับเปิดฉากสู้เลยหรือ ไม่มีแผนการหรือขอรับ หากอีกฝ่ายหนีไปเล่า”

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “หากว่าหนีไป แล้วดวงจิตบรรพกาลจะต่อสู้กับพ่อได้หรือ”

มีเหตุผล!

ดวงจิตบรรพกาลประกาศตัวว่าจะถล่มมรรคาสวรรค์ให้ราบ หากว่าสู้หานเจวี๋ยไม่ได้ หลบหนีไป เช่นนั้นจะไม่กลายเป็นตัวตลกหรอกหรือ

สองมือของหานฮวงกำแน่น เลือดร้อนระอุเดือดพล่าน

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกศึกอย่างเป็นทางการ ซ้ำยังได้ติดตามท่านพ่อมาด้วย!

มีชีวิตมาสองล้านปี หานฮวงยังไม่เคยลงมือสังหารศัตรูเลย อย่างมากก็แค่สู้ในแบบจำลองการทดสอบ เขารู้สึกว่าแบบจำลองการทดสอบหมดความน่าสนใจมานานแล้ว

เขาต้องการลงสนามต่อสู้จริง!

เขาเหลือบมองหานเจวี๋ย ยอดสมบัติทั่วร่างค่อยๆ แผ่แสงพร่างพราว รัศมีของหานเจวี๋ยยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาใจสั่น

ท่านพ่อแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่…

ในใจหานฮวงเต็มไปด้วยความคาดหวัง ศึกใหญ่ที่กำลังจะเกิดจะทำให้เขาได้เห็นความองอาจของท่านพ่อ

ตามปกติแล้วท่านพ่ออ่อนโยนอย่างยิ่ง ไม่น่าเกรงขามเหมือนอริยะมหามรรคเหล่านั้น แต่เขารู้ดีว่าทันทีที่เข้าสู่สนามรบ บุคลิกของท่านพ่อจะเปลี่ยนไปเป็นอีกแบบอย่างแน่นอน

อยากรีบไปให้ถึงแดนบรรพกาลเสียจริง!

หานฮวงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ

ในเวลานี้เอง ด้านหน้าปรากฏวงแสงแห่งหนึ่ง จากนั้นเสียงหานเจวี๋ยก็ดังขึ้น “ถึงแล้ว”

………………………………………………………………