ปาจรีย์ลืมตา ในปากอมบ๊วยเค็มไว้ จากนั้นก็ก้มมองจานบ๊วยเค็มในมือ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ ว่าบ๊วยเค็มจานนี้ พงศกรเอามาจากไหนกันแน่
มีคนส่งมาให้ หรือเขาไปซื้อเอง
หากเขาไปซื้อเอง ทำไมเขาต้องซื้อบ๊วยเค็ม
หรือเป็นเพราะว่า เขาชอบกินบ๊วยเค็มมากจนซื้อมาเหรอ
แต่ไม่ใช่สิ สองสามวันที่พักในโรงพยาบาล เธอไม่เคยเห็นเขากินบ๊วยเค็มมาก่อน อย่าว่าแต่บ๊วยเค็มเลย แม้แต่ผลไม้กับขนมก็ไม่เคยกินมาก่อน
ถ้าไม่ใช่เพราะยังทานข้าว เธอคงคิดว่าเขาเป็นเทพอิ่มทิพย์ไม่กินก็อยู่ได้
ดังนั้นที่มาของบ๊วยเค็มนี้ ทำให้เธอค่อนข้างสงสัยเป็นอย่างมาก
หากพูดว่ามีคนส่งมา ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้
ในนี้ไม่มีคนที่เขารู้จัก ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนส่งของมาให้เขา ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการให้บ๊วยเค็มอีก
ยังไงซะ เธอโตมาขนาดนี้ และเธอไม่เคยเห็นมาก่อน ที่คนมาเยี่ยมเอาบ๊วยเค็มให้ผู้ป่วย
คายเม็ดบ๊วยเค็มในปากออก ปาจรีย์วางจานบ๊วยเค็มในมือลง แล้วลุกขึ้นไปห้องน้ำ เตรียมแปรงฟัน
บ๊วยเค็มนี้ อร่อยก็อร่อยอยู่ แต่กินเพียงสองสามเม็ดก็พอแล้ว กินทีเดียวมากเกินไป ฟันจะรับไม่ได้ได้
ดังนั้น เธอเตรียมเก็บบ๊วยเค็มไว้ ค่อยๆกินในวันข้างหน้า
เพราะยังไงซะของพวกนี้ระยะเวลาอันสั้น ก็ไม่เสียอยู่แล้ว
อีกฝั่ง ในห้องผู้ป่วยที่อยู่ข้างๆ
หลังจากที่ปาจรีย์ออกไปแล้ว พงศกรยกมือนวดหว่างคิ้ว จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมา กดโทรออกไป
คนที่โทรหาคือนัทธี ดังนั้นตอนที่นัทธีรับสาย ก็รู้สักประหลาดใจเล็กน้อย
“นายมีเรื่องอะไรอีก”ในขณะนี้ทางฝั่งนัทธีคือตอนกลางคืน
เขาเพิ่งเล่านิทานให้เด็กสองคน แล้วกล่อมเด็กสองคนหลับเสร็จ เพิ่งจะเดินออกมาจากห้องเด็กสองคน โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น
เมื่อหยิบขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นพงศกรที่โทรมา ก็ทำให้ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
แน่นอน เขาไม่คิดว่าเวลานี้พงศกรจะโทรมา เป็นเพราะอยากรู้ว่าคุณหมอที่สะกดจิตปาจรีย์เป็นใคร เพราะพงศกรรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีวันบอก ดังนั้นจึงไม่ถามอีกแน่
ถ้าอย่างนั้น ที่โทรมาในเวลานี้ ต้องถามเขาเรื่องอื่นอย่างแน่นอน
และแล้ว ที่ปลายสาย พงศกรก็ได้ยินเสียงนัทธี ฮึตอบสั้นๆ “ก่อนหน้านี้ฉันได้ติดต่อนิรุตติ์ไปครั้งหนึ่ง”
“นิรุตติ์เหรอ” เมื่อนัทธีได้ยินชื่อนี้ ก็หรี่ตาลงทันที “พวกนายยังมีวิธีการติดต่อกันจริงๆด้วย”
พงศกรไม่แปลกใจที่พงศกรสามารถคาดเดาถึงเรื่องนี้ได้
นัทธีรู้อยู่แล้วว่าเขารู้ที่อยู่ของตระกูลจิรดำรงค์มาจากนิรุตติ์ ดังนั้น เป็นไปได้ยังไงที่จะไม่สงสัยว่าเขายังสามารถติดต่อกับนิรุตติ์ได้อีก
เพียงแต่สิ่งที่เกินความคาดเดาของเขา คือนัทธีรู้ว่าเขาสามารถติดต่อกับนิรุตติ์ ได้ แต่กลับไม่เคยถามหาที่อยู่หรือวิธีการติดต่อนิรุตติ์เลย
ไม่รู้เป็นเพราะนัทธีเชื่อมั่นว่าสามารถหานิรุตติ์ ได้ด้วยตัวเองได้ หรือเป็นเพราะสิ่งอื่นกันแน่
“ฉันถามนิรุตติ์ ว่าคุณหมอที่สะกดจิตปาจรีย์นั้นคือใคร เขาบอกแล้ว” พงศกรดันแว่นทีหนึ่ง แล้วพูด
เพราะนิรุตติ์รู้เรื่องการสะกดจิตของปาจรีย์แล้ว ถ้าหากจะรู้เรื่องคุณหมอที่สะกดจิตนั้น ก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“ฉันไม่ต้องการให้คุณหมอนั้นมาคลายการสะกดจิตของปาจรีย์ ฉันสามารถทำเองได้ เพียงแค่ฉันรู้ว่าคุณหมอสะกดจิตนั้นเป็นใครก็พอ ดังนั้นการที่นายจะพาคนหนีไปแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอกนะ” พงศกรกระตุกมุมปาก
นัทธีหึตอบ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นนายหาวิธีแก้ให้ปาจรีย์เองเลย หลังจากนั้นปาจรีย์จะเป็นอย่างไง มันก็เรื่องที่ไม่เกี่ยวกับฉัน”
สิ่งที่เขาสามารถทำได้ เขาก็ทำหมดแล้ว
ที่เหลือ เขาจะไม่เข้าไปยุ่ง
เพราะฉะนั้นหากสุดท้ายแล้วความทรงจำของปาจรีย์กลับมา แล้วกลับไปเจ็บปวดอีกครั้ง งั้นมันเป็นบาปกรรมของพงศกรแล้ว
วารุณี ก็จะไม่โทษเขา
เพราะว่า เขาได้ทำดีที่สุดแล้ว
“ฉันต้องคลายการสะกดจิตของปาจรีย์อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ตอนนี้” พงศกรตอบด้วยเสียงเบา
นัทธีเลิกคิ้ว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นนายมาบอกฉันเรื่องพวกนี้ทำไม”
“ที่ฉันโทรมาหานาย ไม่ได้จะมาอวดเรื่องที่ฉันรู้ว่าหมอที่สะกดจิตเป็นใคร แต่เป็นเพราะแผนการชั่วร้ายสุดท้ายของนิรุตติ์ต่างหาก” พงศกรหรี่ตา แววตาจริงจังขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อนัทธีได้ฟังเช่นนี้ ฝีเท้าหยุดก้าวเดินชั่วขณะ สุดท้ายก็ตัดสินใจหยุดเดิน“นายบอกว่าอะไรนะ แผนการชั่วร้ายสุดท้ายงั้นเหรอ”
“ถูกต้อง”
“นายบอกเรื่องนี้กับฉันทำไม นายเห็นฉันเป็นศัตรูไม่ใช่หรือไง นายจะความปรารถนาดีขนาดนี้เลยเหรอ” นัทธีหึเย็นชา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่เชื่อคำพูดของพงศกร
พงศกรพูดอย่างเย็นชา“ฉันก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าจริงๆแหละ แต่ใครให้ภรรยาแกเป็นวารุณีล่ะ ไม่ว่าจะยังไง ฉันก็เป็นเพื่อนของวารุณี ฉันไม่สามารถทนเห็นมีเรื่องอะไรเกิดกับเธอได้”
“ไม่สามารถทนเห็นมีเรื่องอะไรเกิดกับเธอได้เหรอ” นัทธีรับรู้อะไรบางอย่าง รูม่านตาของเธอหดตัวลงทันที “ความหมายของนายคือ แผนการชั่วร้ายสุดท้ายของนิรุตติ์ เกี่ยวข้องกับวารุณีงั้นเหรอ ”
“ตอนที่ฉันติดต่อนิรุตติ์ เพราะต้องการสอบถามว่าคุณหมอสะกดจิตของปาจรีย์คือใครนั้น นิรุตติ์ฝากฝังฉันเรื่องหนึ่ง เขาบอกว่าเขาส่งจดหมายให้นาย เป็นจดหมายท้าดวลสุดท้าย ” พงศกรไม่ได้ตอบ แต่กลับบอกสิ่งนี้แทน
นัทธีอือตอบ “มีเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง ไอ้นิรุตติ์นั้นทั้งเจ้าเล่ห์ ทั้งฉลาด แต่เป็นคนใจร้อน ดังนั้นจะช้าหรือเร็วเขาก็ต้องผุดออกมา เพื่อขอแข่งกับฉันเป็นครั้งสุดท้าย ถ้างั้นจดหมายท้าดวลนั้น เป็นคือจดหมายที่นิรุตติ์ส่งมาขอแข่งกับฉันเพื่อวัดเพ้ชนะต่างหาก แต่เนื้อหาในการแข่งเป็นยังไง แข่งที่ไหน ตอนนี้ก็ยังไม่รู้”
ดังนี้ตอนนี้ที่เขาทำได้ คือระมัดระวังตัวให้มากขึ้น ป้องกันเรื่องอันตรายทั้งหมดไม่ให้เกิดขึ้น ปกป้องคนข้างกายให้ดี โดนเฉพาะภรรยาและลูกของตัวเอง
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของพงศกรก็ไม่สู้ดีนัก “ไอ้นิรุตติ์นี้รู้ดี ว่าแม้จะแข่งกัน เขาก็ไม่ใช่คู่แข่งของนาย ดังนั้นเพื่อให้มีโอกาสชนะนาย เขาจะเอาวารุณีเป็นข้อต่อรองในการใช้ขู่นาย ”
“นายพูดอะไรนะ” ทันใดนั้นสีหน้านัทธีเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน รอบกายกระจายไปด้วยบรรยากาศความน่ากลัว ราวกับปีศาจที่คลานออกมาจากนรก ซึ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัว
พงศกรรู้ดีว่าคำพูดของตัวเอง จะทำให้นัทธีโมโห
พูดตามจริงนะ ตอนที่เขาได้ยินนิรุตติ์พูดเรื่องนี้ ก็โมโหเหมือนกัน
“อาจเป็นไปได้ที่นิรุตติ์นั้น จะหาโอกาสลักพาตัววารุณี เพราะตอนนั้นเขาพูดไว้ ว่าในตอนที่สู้กับนายครั้งสุดท้ายนั้น อยากให้ฉันอยู่ด้วย เพื่อจะได้ช่วยชีวิตวารุณไว้ได้ ซึ่งก็หมายความว่า เขาไม่เพียงจะเอาวารุณีมาขู่นาย ในขณะเดียวกันก็ไม่คํานึงถึงความปลอดภัยของวารุณีด้วย เป็นไปได้ ที่วารุณีจะไม่ตายก็ได้รับบาดเจ็บ” คำพูดของพงศกร ราวกับได้โยนระเบิดลูกใหญ่ที่พร้อมจะระเบิดให้กับนัทธี
สีหน้านัทธีก็ยิ่งขุ่นเคืองมากขึ้น จึงกำโทรศัพท์ไว้แน่ โดยกำแน่มาก ราวกับจะบีบโทรศัพท์ให้แหลกสลายเช่นนั้น น้ำเสียงเยือกเย็นสุดขั้ว “นิรุตติ์ แกมันสมควรตาย” เขาสามารถดวลกับนิรุตติ์ได้ แต่เขาไม่อนุญาตให้นิรุตติ์วางแผนคิดร้ายกับภรรยาเขาเด็ดขาด
ดึงผู้หญิงเอามาในการดวล นิรุตติ์ยังคงชั่วไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ
เขาจะไม่ปล่อยนิรุตติ์ไปเด็ดขาด ต้องจะฆ่านิรุตติ์ให้ได้
แน่นอน สิ่งที่สำคัญสุดในตอนนี้ คืออีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อนัทธีคิดได้เช่นนี้ ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ชั่วคราว
แล้วถามคนในสาย “พงศกร ฉันสามารถเชื่อนายได้ใช่ไหม ว่าเรื่องที่พูดคือเรื่องจริง”
พงศกรรู้อยู่แล้วว่านัทธีต้องสงสัยคำพูดของเขา
เพราะเรื่องนี้ มันกะทันหันจริงๆ ไม่มีทางที่จะไม่สงสัย
หากเขาคือนัทธี จู่ๆมีใครคนหนึ่งโผ่ลออกมาพูดกับตัวเอง ว่ามีคนจะใช้ภรรยาของตัวเองมาข่มขู่ตัวเอง จึงตัวเขาเองก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจก่อนว่าเป็นเรื่องจริง