ตอนที่ 223-1 ชาติกำเนิดของเฉียวเวย ความจริงเมื่อในอดีต
“ใครกัน” จีหมิงซิวถามน้ำเสียงเรียบเรื่อย
ไม่ว่าใครล้วนฟังความเฉยชาในน้ำเสียงของเขาออก แต่กระนั้นเจินซื่อนอกจากตาไม่มีแววแล้ว หูก็ยังใช้การไม่ได้ เจินซื่อคิดว่าอีกฝ่ายถามนางจริงๆ จึงรีบตอบด้วยความตื่นเต้นว่า “เหยาเอ๋อร์ เหยาเอ๋อร์ ลูกสาวข้า! ท่าน…ท่านน้าของท่านอย่างไร!”
จีหมิงซิวกะพริบตาทีหนึ่ง “ท่านน้าข้าแซ่หลี่ มีแซ่สวินโผล่มาตั้งแต่เมื่อใด”
เจินซื่อรู้สึกคุ้นหูกับประโยคนี้นัก ใช่แล้ว นังเด็กนี่ตอนประชดประชันว่าตนไม่ใช่ท่านน้าของนางก็กล่าวเช่นนี้ “ท่านน้าข้าเป็นองค์หญิงแห่งต้าเหลียง” มิน่าถึงได้พูดกันว่าไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูเดียวกัน ลักษณะคำพูดคำจาเหมือนกันยิ่งนัก!
เจินซื่อถลึงตาใส่เฉียวเวยอย่างไม่ยอมแพ้ นางบีบน้ำตาให้ร่วงเผาะลงมาสองเม็ด “คุณชายใหญ่ ท่านจะไม่สนใจพวกเราไม่ได้นะ…ต่อให้ท่านไม่ยอมรับว่าเหยาเอ๋อร์เป็นน้า ท่านก็…ท่านก็… ท่านก็ควรคิดถึงหลันเอ๋อร์บ้าง! นางโตมาด้วยกันกับท่านตั้งแต่เล็ก! ความผูกพันนี้หาใช่สิ่งที่สตรีที่ผ่านชีวิตมาโชกโชนจะเทียบเคียงได้ไม่”
ขณะที่นางเอ่ยเช่นนั้น นางหันไปมองเฉียวเวยด้วยสายตาต่อว่าต่อขาน ขาดเพียงไม่ได้ระบุชื่อนางเท่านั้น
เฉียวเวยผายมือออกอย่างใสซื่อเต็มที นางไม่ใช่สตรีที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนเสียหน่อย นางลืมตาดูโลกมาได้ไม่เท่าไรก็ได้หมั้นหมายกับหมิงซิวแล้ว เวลานั้นสวินหลันยังไม่รู้ถูกทิ้งอยู่ที่ซอกไหนหลืบไหนด้วยซ้ำ ว่ากันตามจริง สวินหลันต่างหากที่ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชน
เพียงแต่การที่นางถึงขั้นกล้ากล่าวหานางต่อหน้าสามีอย่างไม่มีเกรงกลัวเช่นนี้ น่ากลัวว่าคงได้ลิ้มรสความหวานล้ำจากการกระทำเช่นนี้มาจนลำพองใจกระมัง ถ้าให้นางเดา ทั้งตระกูลจีนี้ยังมีใครสนใจเจินซื่ออีกหรือ
อ้อ พ่อสามีทรงเสน่ห์ของนางนั่นเอง
นางคร่ำครวญอยู่หน้าประตูมาเป็นครึ่งค่อนวันเช่นนี้แล้ว พ่อสามีนางหากไม่หูหนวกจะต้องได้ยินแล้วเป็นแน่ แต่กลับยังไม่ส่งใครออกมาตอบสนองนางเสียที นางคิดว่าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร คิดว่าต้องให้นางคร่ำครวญใจแทบขาดยิ่งกว่านี้หรือ
เฉียวเวยมองเจินซื่ออย่างเห็นขัน เจินซื่อเห็นอีกฝ่ายยิ้มก็ถึงกับขนหัวลุกจึงถลึงตาตอบกลับอย่างดุดัน “มองอะไร มองผู้อาวุโสกว่าเช่นนี้ได้หรือ!”
เฉียวเวยตอบกลับยิ้มๆ ว่า “ข้ากำลังมองว่าท่านไปเอาความกล้ามาจากผู้ใด ถึงได้กล้ากล่าวหาข้าไปทั่วเช่นนี้”
เจินซื่อปาดเหงื่อด้วยความละอายใจ ก่อนจะฝืนยืดตัวตรงเอ่ยว่า “นั่นข้ากล่าวหาหรือเป็นเจ้าที่ทำไม่ถูกกันแน่”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ถูกหรือไม่ท่านถามสามีข้าก็แล้วกัน”
เจินซื่อถึงได้คิดได้ว่าตนกำลังมาฟ้องอีกฝ่ายอยู่ แต่พอถูกขัดจังหวะเลยพูดออกทะเลไปไกล นางรีบหันไปบอกจีหมิงซิวว่า “คุณชายใหญ่ เรื่องเป็นอย่างนี้ วันนี้เหยาเอ๋อร์นางยังไม่ได้ทำอะไรเลย เฉียวซื่อก็เอาขวดสองขวดมายัดใส่มือนาง เป็นตายอย่างไรก็จะบังคับให้เหยาเอ๋อร์ยอมรับให้ได้ เหยาเอ๋อร์จะกระทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร นางจิตใจงดงามที่สุดแล้ว เหยาเอ๋อร์บอกไปหลายครั้งแล้วว่านางไม่รู้ แต่เฉียวซื่อไม่ยอมเชื่อ เลยทำร้ายร่างกายเหยาเอ๋อร์ บังคับจะให้นางยอมรับผิดให้จงได้! คุณชายใหญ่ท่านลองดูที นางกระทำกับเหยาเอ๋อร์เช่นนี้ ท่านเห็นว่าเกินไปหรือไม่”
“เกินไปจริงๆ” จีหมิงซิวพยักหน้าเรียบๆ “เช่นนั้นตามที่สวินฮูหยินว่า ควรจัดการเช่นไรหรือ”
เจินซื่อดีใจจนอึ้งงัน พักใหญ่กว่าจะหลุดจากภวังค์กลับมาได้ นางรีบพูดน้ำลายแตกฟองว่า “แน่นอนว่าย่อมต้องจับไปขังไว้ในศาลบรรพชน ปล่อยให้ท้องหิวสามวันสามคืน! ให้นางคัด ‘กฎสตรี’ กับ ’ข้อห้ามสตรี’ สักร้อยจบ! จะได้ถือเป็นการขัดเกลาคุณธรรม กิริยาวาจาและหน้าที่ภรรยาของตนให้ดี มีสตรีสตระกูลใดทำตัวเช่นนางบ้าง อะไรนิดอะไรหน่อยก็จับคนเป็นกดหน้าลงกับพื้น อะไรนิดอะไรหน่อยก็ยกตัวบุรุษทั้งคนขึ้น แม้แต่บุตรสาวที่เลี้ยงดูมาก็ไม่มีความเป็นกุลสตรีสักนิด”
เมื่ออยู่ดีๆ นึกภาพตอนจีซั่งชิงสลัดการจับตัวของบุรุษอกสามศอกหลายคนไปได้ แต่กลับถูกวั่งซูลากเข้าเรือนประหนึ่งหัวหลัวปัวขึ้นมา เจินซื่อก็ยิ่งรู้สึกว่าตนกล่าวได้มีเหตุผลยิ่งนัก สตรีคนใดบ้างที่ไม่ไหล่ห้ามยักมือห้ามยก นั่นเป็นบุรุษเสียยิ่งกว่าบุรุษเสียอีก ยังนับเป็นสตรีอีกหรือ
เฉียวเวยเม้มปากที่อยากจะโค้งขึ้นของตนเอาไว้ นี่ไม่เพียงกล่าวหานาง แต่แม้กระทั่งวั่งซูก็ยังพลอยโดนหางเลขไปด้วย หมิงซิวเป็นบิดาที่หลงบุตรสาวหัวปักหัวปำโดยแท้จริง เจินซื่อหนอเจินซื่อ ดูแลตัวเองดีๆ ก็แล้วกัน
เฉียวเวยมองเจินซื่อยิ้มๆ เอามือไพล่หลังเดินอาดๆ เข้าไปในเรือนถง
เจินซื่อมองนางด้วยความงุนงง “เอ๊ะ คุณชายใหญ่! ท่านดูเข้า! อยู่ดีๆ ก็มาไปเสีอย่างนี้! ข้ายัง…ท่านยังพูดไม่จบเลย!”
จีหมิงซิวเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “ในจวนมีศาลบรรพชนเล็กอยู่แห่งหนึ่งจริงๆ เมื่อหลายปีก่อนมีสาวใช้เวรดึกตกบ่อน้ำตาย หลังจากนั้นที่ศาลบรรพชนก็มีคนเห็นผีออกมาหลอกหลอนอยู่บ้าง ในนั้นเคยมีคนพักอยู่ ทุกคนต่างบอกว่าเคยเห็นพรายน้ำ พรายน้ำต้องการตัวตายตัวแทน จึงจำเป็นต้องหาใครสักคนมาเป็นพรายน้ำแทน พรายน้ำตนนั้นคงกำลังหาตัวตายตัวแทนอยู่ ตนจะได้ไปสู่สุขคติสักที”
เจินซื่อได้ฟังก็รู้สึกหวั่นใจ นางไม่มีทางยอมรับว่าชีวิตนี้นางเกรงกลัวผีที่สุดแล้ว
“สวินฮูหยินคิดว่าสถานที่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง” จีหมิงซิวถาม
“หา?” เจินซื่ออึ้งไป
จีหมิงซิวอมยิ้มบางๆ ขณะเอ่ยว่า “จับขังไว้ที่นั่น ให้คัด ‘กฎสตรี’ ’ข้อห้ามสตรี’ ปล่อยให้หิวสามวันสามคืน ให้พรายน้ำหลอกเล่นไปเรื่อยๆ เช่นนี้คงพอใจสวินฮูหยินแล้วกระมัง”
ให้ตายสิๆ คุณชายใหญ่ช่างสมกับเป็นคุณชายใหญ่เสียตริง ได้เรื่องได้ราวกว่านายท่านตระกูลจีเสียอีก หากนางไปฟ้องเรื่องนี้กับนายท่านตระกูลจี อีกฝ่ายอาจยอมให้นางได้ประโยชน์บ้าง แต่คงทำใจลงโทษนังเด็กนั่นไม่ลง อย่างไรคุณชายใหญ่ก็ดีกว่า ไม่เพียงลงโทษ แต่ยังจับนางไปลงโทษในศาลบรรพชนที่มีผีเฮี้ยนเสียด้วย ให้ตายเถอะๆ สาแก่ใจนางยิ่งนัก!
“สวินฮูหยิน?” จีหมิงซิวหันมามองนาง
เจินซื่ออยากกลั้นยิ้มไว้ แต่ทั้งตาทั้งปากกลับฉีกกว้าง “ดีๆๆ! คุณชายใหญ่ช่างคิดอะไรรอบคอบ เอาตามที่คุณชายใหญ่ว่า!”
จีหมิงซิว “เช่นนั้นก็หมายความว่าสวินฮูหยินเห็นดีด้วยแล้ว”
เจินซื่อพยักหน้าหงึกๆ “เห็นด้วยๆ!” เห็นด้วยเป็นร้อยครั้ง! พันครั้ง หมื่นครั้ง!
จีหมิงซิวหันไปทำมือบอกหญิงรับใช้ที่เฝ้าประตูเรือนถงอยู่ นางพาหญิงรับใช้ที่กำยำแข็งแรงเข้ามาจับตัวเจินซื่อไว้
เจินซื่อตกใจอย่างหนัก “พวกเจ้าจะทำอะไรน่ะ”
หญิงรับใช้เฝ้าประตู “ส่งท่านไปศาลบรรพชนอย่างไรเล่า!”
เจินซื่อลนลาน “พวกเจ้าเข้าใจผิดอะไรหรือไม่ ไม่ใช่ข้า! ฮูหยินน้อยของพวกเจ้าต่างหาก!”
หญิงรับใช้เฝ้าประตูตอบโดยไม่ต้องคิดว่า “ท่านนั่นแหละ!”
เจินซื่อหันไปมองจีหมิงซิวด้วยใบหน้าขาวซีด “คุณชายใหญ่! คุณชายใหญ่ท่านรีบบอกพวกนางเร็วเข้า พวกนางเข้าใจผิดแล้ว!”
จีหมิงซิวเลิกคิ้วสบายๆ บนใบหน้าเคร่งขรึมมีแววล้อเลียนวาดผ่านโดยไม่ได้ตั้งใจ “สวินฮูหยินเป็นคนตกปากรับคำเอง พวกนางเข้าใจสิ่งใดผิดหรือ”
“ท่าน…” เจินซื่อถึงได้รู้ว่าตนถูกหลอกเสียแล้ว เด็กคนนี้ไม่ได้ดีไปกว่าพ่อของเขา แต่ปกป้องนังเด็กนั่นยิ่งกว่าพ่อของเขาต่างหาก! นางแค่ฟ้องไม่กี่ประโยค เขาก็ถึงขั้นจะจับนางไปขังเสียแล้ว! “ข้ามาเป็นแขกที่ตระกูลจี! ท่านทำเช่นนี้กับข้าไม่ได้!”
จีหมิงซิวขยับแขนเสื้อเล็กน้อย “ข้าไม่เคยยอมรับว่าเจ้าเป็นแขก ลากตัวไป”
“เจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้เฝ้าประตูรับคำแล้วลากตัวเจินซื่อไปทางศาลบรรพชนร่วมกับเพื่อนหญิงรับใช้อีกสองคน เพื่อป้องกันไม่ให้เจินซื่อร้องแรกแหกกระเชอรบกวนความสงบภายในจวน หญิงรับใช้เฝ้าประตูยังถอดถุงเท้าเหม็นๆ ของตนมายัดใส่ปากเจินซื่อเสียด้วย เจินซื่อเลยสลบไปเพราะความเหม็นเน่า…
ครั้นเฉียวเวยเข้าไปในห้อง จีซั่งชิงหลับไปแล้ว หลับจริงหรือหลับหลอกนั้นนางไม่อาจรู้ได้ สรุปแล้วคือเปลือกตาเขาปิดอยู่
กู่ครองรักมีผลข้างเคียงอย่างมากต่อร่างกาย แม่ทัพน้อยมู่ยังหนุ่มยังแน่น จึงฝืนเอาไว้ได้ แต่ร่างกายที่ป่วยกระเสาะกระแสะของจีซั่งชิงกลับมีอาการหอบหืดกำเริบขึ้นมา อันที่จริงอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว
เฉียวเวยฝังเข็มให้คนบนเตียง เขียนใบยาแล้วให้บ่าวไปต้ม ก่อนจะปลุกเขาให้ลุกขึ้นมาดื่มลงไป
เรื่องในครั้งนี้เป็นที่น่าประดักประเดิดนัก หลายเดือนหลังจากนี้เกรงว่าพ่อสามีนางคงไม่มีหน้าออกไปพบเจอผู้คน แต่จะโทษใครได้เล่า ว่ากันตามจริงแล้วก็ต้องโทษที่ตัวเขานั่นแหละ ความเมตตาเป็นคุณธรรมอันดี แต่การใจอ่อนอยู่เป็นนิจแล้วกลายเป็นการชักศึกเข้าบ้านไม่ใช่เรื่องดีอะไร
คิดแล้วเมื่อมีเรื่องในครั้งนี้เป็นบทเรียน เขาคงยอมรับความเป็นจริงได้ ไม่กล้าใจอ่อนพร่ำเพรื่ออีก
…
ศาลบรรพชนตระกูลจีอยู่ทางทิศใต้ของจวนใต้ อยู่ด้านหลังภูเขาที่เวิ้งว้างเปลี่ยวเหงา ก่อนหน้านี้ที่นี่เคยสว่างไสวผ่องแพ้วมาก่อน มีทิวทัศที่ดูคล้ายสวนดอกไม้
ข่าวลือว่าที่นี่มีผีสิงนั้น จีหมิงซิวไม่ได้ปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมา ที่นี่เคยมีสาวใช้จมน้ำตายจริงๆ และตั้งแต่นั้นมาที่นี่ก็มีข่าวลือเรื่องผีสางจริงๆ เพียงแค่ว่าหลังจากสืบสาวจนได้ความแล้วก็ได้รู้ว่าเป็นเพียงแมวที่หิวโหยตัวหนึ่งเท่านั้น ตอนหลังไปสร้างศาลบรรพชนใหญ่แห่งใหม่ขึ้น ที่นี่จึงถูกทิ้งร้างไว้เฉยๆ
เจินซื่อถูกผลักเข้าไปข้างใน ประตูใหญ่ปิดสนิทตามหลังนางพร้อมทั้งลงกลอนแน่นหนา
“ปล่อยข้าออกไป! ปล่อยข้าออกไป!”
เจินซื่อตบบานประตูอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็จนใจที่ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ทั้งสิ้น
ลมหนาวพัดเข้ามา เจินซื่อตัวสั่นสะท้าน
คืนนี้แสงจันทร์กระจ่างพอควร เจินซื่อจึงมองเห็นทุกสิ่งในลานได้อย่างชัดเจนประมาณหนึ่ง ทางตอนใต้ฝั่งที่ติดกำแพงมีปากบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง ตรงปากบ่อดูเป็นประกายระคนทมึนดำในเวลาเดียวกัน เจินซื่อมองด้วยความอึ้งงัน รู้สึกว่าชั่วพริบตาต่อมาจะต้องมีผีเฮี้ยนในชุดขาวผมยาวเต็มใบหน้าปีนขึ้นมาแน่นอน
เจินซื่อตกใจแทบสิ้นลม รีบวิ่งแจ้นเข้าห้องไปทันที
ภายในห้องทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หมอนมุ้งผ้าห่มใดๆ ล้วนมีอย่างพร้อมพรัก
เจินซื่อกระโดดขึ้นเตียง รีบซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม เอาผ้าห่มคลุมหน้าเป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมโผล่หน้าออกมา ลมหนาวพัดผ่านกรอบหน้าต่างพาให้เกิดเสียงอื้ออึงฟังคล้ายเสียงครางต่ำๆ ของสตรี
เจินซื่อหวาดผวาจนตัวสั่นงันงก
ปังๆๆ มีคนมาเคาะที่ประตูห้อง
เจินซื่อตกใจจนหัวใจเกือบกระดอนขึ้นมาตรงลูกกระเดือก
ปังๆๆ
เสียงเคาะประตูยังคงดังต่อไป
นางไม่อยู่ นางไม่อยู่ ไม่ต้องมาหานาง ไม่ต้องมาหานาง…
“ฮูหยิน ข้าเอง ท่านอยู่ข้างในหรือไม่”
น้ำเสียงอบอุ่นและหวานหูดังขึ้น ฟังดูคล้ายเสียงสตรีอายุประมาณยี่สิบกว่าปีเห็นจะได้
เจินซื่อรู้สึกคุ้นหูอย่างประหลาด นางดึงผ้าห่มลง เผยให้เห็นสองตาที่หวาดกลัวและแดงระเรื่อเล็กน้อย “เจ้าเป็นใคร”
“ข้าคือสี่เย่ว์อย่างไร ข้าได้ยินว่าพวกเขาเอาฮูหยินมาขังไว้ที่นี่ เลยตั้งใจเอาของกินมาให้เจ้าค่ะ”
สี่เย่ว์ ที่แท้ก็สี่เย่ว์นี่เอง สี่เย่ว์เป็นสาวใช้ที่ติดตามนางมาตอนแต่งงาน ครั้งนี้คงตามนางมาที่เมืองหลวงด้วย
เจินซื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วลุกไปเปิดรประตูให้สี่เย่ว์
สี่เย่ว์อยู่ในชุดยาวสีแดงกุหลาบบางพลิ้ว เอวรัดเสียคอดกิ่ว เห็นผิวพรรณตรงช่วงแขนรำไรผ่านผ้าโปร่ง ผ้าคาดอกก็ดึงลงเสียต่ำ แค่เพียงก้มตัวลงเล็กน้อยก็จะเห็นทิวทัศน์อันยวนตาทันที
สี่เย่ว์แต่งหน้าแต่งตาอย่างประณีต ตรงหว่างคิ้วติดหินสี งดงามจนไม่อาจเปรียบเปรยได้
“ฮูหยิน นี่คือขนมพุทราที่ท่านชอบที่สุด ลองชิมดูสิเจ้าคะ” สี่เย่ว์ยิ้มพลางเปิดกล่องอาหารออก
เจินซื่อหยิบขนมพุทราขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เอ่ยคล้ายยกภูเขาออกจากอกว่า “เฮ่อ เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าตกใจแทบแย่ ได้ยินว่าที่นี่ผีดุยิ่งนัก ตอนเจ้าเคาะประตูข้ายังคิดว่าผีมาเสียอีก”
สี่เย่ว์คลี่ยิ้มบางๆ
เจินซื่อเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “แต่จะว่าไปสี่เย่ว์ ดูเหมือนข้า…จะไม่ได้พบหน้าเจ้านานแล้ว หลังจากเจ้าตามข้าเข้ามาเมืองหลวงแล้วเจ้าไปอยู่ที่ไหนมา”
สี่เย่ว์ระบายยิ้ม “ฮูหยินสั่งให้ข้าไปขุดหน่อไม้ที่หลังเขาอย่างไรเจ้าคะ ฮูหยินจำไม่ได้แล้วหรือ”
ในหัวเจินซื่อมีความทรงจำให้ช่วงนั้นแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว “อ๋อ ข้าจำได้แล้ว แต่เจ้าไปขุดหน่อไม้อยู่หลังเขา เหตุใดถึงขุดมาถึงเมืองหลวงได้”
สี่เย่ว์ยิ้มอ่อนหวาน “ข้าเดินมาอย่างไรเจ้าคะ”
“อ้อ” เจินซื่อรู้สึกว่าคำอธิบายของสี่เย่ว์สมเหตุสมผล นางกัดขนมพุทราคำหนึ่ง จากนั้นคิ้วพลันขมวด “เหตุใดรสชาติถึงประหลาดเพียงนี้”
สี่เย่ว์ตอบว่า “ประหลาดหรือ ทำมาจากหน่อไม้ทางหลังเขานั่นนะเจ้าคะ ข้างในยังใส่หนูไม้ไผ่เอาไว้ด้วย”
พอสิ้นเสียงสี่เย่ว์ก็มีหนูหลายตัวปีนออกมาจากกล่องใส่อาหาร เจินซื่อตกใจจนหน้าถอดสี ทะลึ่งตัวลุกขึ้นทันที!
เจินซื่อหันไปมองสี่เย่ว์อย่างทำอะไรไม่ถูก สี่เย่ว์ระบายยิ้มกว้าง ลมอ่อนๆ พัดเข้ามาจนปรอยผมและชายเสื้อพลิ้วไหว นางหยิบกริชเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ยิ้มพลางเดินเข้าไปหาเจินซื่อ
เจินซื่อมองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ แล้วจู่ๆ ก็คิดขึ้นได้ว่าสี่เย่ว์ตายไปตั้งนานหลายปีแล้ว นางเป็นคนทำเอง สี่เย่ว์ตั้งครรภ์ลูกนายท่าน ตานางแดงขณะเรียกสี่เย่ว์ให้ไปขุดหน่อไม้ที่หลังเขา อากาศหนาวจัด ท้องสี่เย่ว์ได้รับการกระทบกระเทือน จึงเสียชีวิตพร้อมลูกในท้อง
ในเมื่อสี่เย่ว์ตายไปแล้ว เช่นนั้น “สี่เย่ว์” ที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนผู้นี้ มาได้อย่างไร
“เจ้าๆๆ… เจ้า… เจ้าคิดจะทำอะไร” เจินซื่อถามเสียงสั่น
สี่เย่ว์ระบายยิ้ม “ล้างแค้นให้ตัวข้ากับลูกในท้องอย่างไรเล่า”
พูดจบสี่เย่ว์ก็เงื้อมกริชขึ้นแทงทะลุหน้าอกของเจินซื่อทันที!
เจินซื่อตัวสั่นสะท้าน ลืมตามองคานห้องที่อยู่เหนือศีรษะ นางคลำเตียงที่เปียกชื้นแล้วถึงได้รู้ตัวว่าเมื่อครู่ตนฝันร้าย สี่เย่ว์ตายไปตั้งหลายปีแล้ว แต่ทุกครั้งยามหลับฝัน นางจะคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายตายไปแล้ว
ช่างน่ากลัวเกินไปจริงๆ
เจินซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อตามตัว
ถึงขั้นจับนางมาขังไว้ในสถานที่บ้าๆ เช่นนี้เชียวหรือ ทำกันเกินไปแล้วจริงๆ!
ปังๆๆ มีคนมาเคาะที่หน้าประตูอีกครั้ง
เจินซื่อสะดุ้งโหยง คว้าเก้าอี้บนพื้นขึ้นมา
“ท่านแม่ ข้าเอง!”
เสียงเบาๆ ของสวินชิงเหยาดังขึ้นผ่านร่องประตู
เจินซื่อกลืนน้ำลายก่อนถามว่า “เหยาเอ๋อร์ ใช่เจ้าหรือไม่”
สวินชิงเหยาตอบว่า “ข้าเอง ท่านแม่ ท่านเปิดประตูให้ข้าที!”
เจินซื่อเปิดประตูให้สวินชิงเหยา สวินชิงเหยาเดินมือเปล่าเข้ามาในห้อง นางสวมเสื้อคลุมปิดบังหน้าตา ตัวกลืนหายไปกับความมืดมิดยามราตรี นางกวาดตามองด้านนอกด้วยความตื่นเต้น เมื่อมั่นใจว่าโดยรอบไม่มีใครอยู่ ถึงได้ปิดประตู “ท่านแม่ เหตุใดสีหน้าท่านถึงได้ย่ำแย่เพียงนี้”
เจินซื่อตอบอย่างขวัญผวาว่า “เมื่อกี้แม่ฝันร้าย ฝันว่าสี่เย่ว์จะกลับมาเอาชีวิตแม่”
สวินชิงเหยาลูบหน้ามารดา “ท่านแม่ ช่วงนี้ท่านคงเหน็ดเหนื่อยเกินไป พวกเราไปกันเถิด”
เจินซื่ออึ้งงัน “ไป? ไปไหนหรือ”
สวินชิงเหยาตอบว่า “กลับกูซูอย่างไรเล่า! ลูกทำความผิดมหันต์เพียงนี้ คนตระกูลจีต้องไม่ปล่อยพวกเราไปแน่ ถ้าจะอยู่รอให้พวกเขาลงมือ สู้พวกเรารีบหนีไปก่อนจะดีกว่า ข้าไปถามมาจนได้ความแล้ว คืนนี้ประตูหลังไม่มีคนคอยอยู่เฝ้า พวกเราลอบหนีไปทางประตูหลังได้”
“แต่ว่า…” เจินซื่อลังเล
สวินชิงเหยากระทืบเท้า “ไม่ต้องแต่แล้ว ท่านแม่ รีบไปกันเถิด! ถ้ารอจนคนตระกูลจีมาเจอเข้า พวกเราคิดจะไปก็คงไม่ทันแล้ว!”
เจินซื่อร้อนใจ “เครื่องประดับพวกนั้นที่ข้าซื้อมาเล่า ต้องเอาไปด้วยนะ!”
ของพวกนั้นมีมูลค่ามากทีเดียว! หากทิ้งไว้ที่ตระกูลจี นางคงเสียดายแย่!
สวินชิงเหยาแกว่งถุงผ้าในมือขวาที่ไม่รู้หิ้วมาตั้งแต่เมื่อไร “ท่านแม่ ข้าเอามาด้วยหมดแล้ว ท่านดูสิ!”
เจินซื่อยิ้มพลางลูบหน้าอก “เอามาด้วยก็ดี พวกเราไปกัน!”
สวินชิงเหยาพยักหน้า “เจ้าค่ะ!”
เจินซื่อคล้ายรู้สึกว่าตนลืมอะไรบางอย่าง แต่ชั่วขณะนั้นก็คิดไม่ออกว่าตนเองลืมอะไร
สองแม่ลูกจับจูงกันเดินออกจากศาลบรรพชน ไม่รู้ว่านางตกใจจากฝันร้ายจนขาอ่อนหรืออย่างไร แต่เจินซื่อรู้สึกว่าตนก้าวขาไม่ออก
สวินชิงเหยาจับมือนางไว้ กระซิบบอกว่า “ท่านแม่ รีบเดินสิ ฟ้าจะสว่างอยู่แล้ว ถ้ายังไม่ไปอีกคงไม่ได้ไปแล้ว!”
เจินซื่อก็อยากรีบเดินเช่นกัน แต่สองขากลับหนักราวกับมีอะไรถ่วงไว้ ก้าวไม่ออกสักนิด ต่อให้ใช้พลังกายทั้งหมดที่มีก็ทำได้เพียงขยับเดินก้าวเล็กๆ เท่านั้น ความงุ่มง่ามของนางแม้แต่ตัวนางเองยังแทบอยากจะเป็นบ้า
ที่นี่อยู่ใกล้กับศาลบรรพชนเพียงนี้ วิญญาณของสี่เย่ว์จะอยู่แถวนี้ด้วยหรือไม่
สวินชิงเหยา “ท่านแม่ อย่าหันกลับไป!”
เหตุใดถึงหันกลับไปไม่ได้ หรือว่าข้างหลังมีอะไรอยู่ เจินซื่อนึกกลัวแต่กระนั้นก็ห้ามความใคร่รู้ในจิตใจเอาไว้ไม่ได้ แต่เมื่อหันกลับไปมองขวัญของนางก็แทบจะกระเจิดกระเจิง!
“สี่เย่ว์!” นางร้องลั่น
สวินชิงเหยาจึงเอ่ยว่า “เพ้อเจ้ออะไรกัน ท่านแม่?”
เจินซื่อขยี้ตา ชี้ไปยังเงาดำทางด้านหลัง “สี่เย่ว์! เป็นสี่เย่ว์! นางมาหาข้าแล้ว!”
“ท่านแม่ ท่านตาฝาดแล้ว นั่นเป็นเงาต้นไม้ต่างหาก ไม่ต้องกลัว นั่นไม่ใช่สี่เย่ว์” สวินชิงเหยาประคองใบหน้าเจินซื่อขึ้นมา “ท่านมองหน้าข้า ข้าต่างหากคือสี่เย่ว์”
เจินซื่อเพ่งมอง ใบหน้าของสวินชิงเหยากลายเป็นหน้าของสี่เย่ว์ไปจริงๆ ชั่วขณะนั้นนางสาบานได้ว่าขวัญนางแตกสลายไปหมดแล้ว
สี่เย่ว์เงื้อขวานเล่มโตขึ้น แล้วฟันลงมาที่ศีรษะนาง!
เจินซื่อ “กรี๊ด” ขึ้นมาทีหนึ่งแล้วกลิ้งลงไปอยู่ที่พื้น พอลืมตาถึงเห็นว่าตนยังคงอยู่ในห้องที่มืดมิด ในห้องไม่ได้จุดเทียน แสงจันทร์ส่องผ่านกระดาษกระจกเข้ามาเป็นแสงสีขาวจางๆ บนพื้น
เมื่อครู่ก็เป็นฝันอีกแล้ว!
ฝันในฝันอีกที ช่างน่ากลัวเหลือเกิน!
เจินซื่อเหงื่อแตกไปทั้งตัว อ้าปากหอบหายใจ คิดจะเรียกหาสาวใช้ให้เข้ามา แต่ก็นึกได้ว่าตนถูกขังอยู่ในศาลบรรพชนของตระกูลจี ยังจะมีใครที่ไหนให้เรียกใช้อีก
คอแห้งเหลือเกิน นางคลำไปเจอกาน้ำชาบนโต๊ะ คิดจะเปิดฝาดูว่าข้างในมีน้ำหรือไม่ แต่กลับมีหนูตัวหนึ่งวิ่งพรวดออกมาแทน
“กรี๊ด…”
เจินซื่อตกใจจนวิ่งออกจากห้อง พอวิ่งไปถึงหน้าประตู ประตูกลับถูกเปิดออกจากด้านนอก สวินชิงเหยาใสเสื้อคลุมปิดบังใบหน้าเหมือนที่นางเห็นในฝัน เดินถือโคมไฟอยู่ตรงนั้น
เจินซื่อแค่ได้มอง สองตาก็ลอยคว้างแล้วสิ้นสติไปทันที…
…
วันต่อมาอากาศปรอดโปร่งแจ่มใส
เฉียวเวยรู้สึกตัวตื่นจากเสียงหัวเราะของปี้เอ๋อร์กับเยียนเอ๋อร์ นางลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า ถามทั้งสองว่าในจวนมีเรื่องน่ายินดีอะไรหรือ เยียนเอ๋อร์ปิดปากหัวเราะ “ฮูหยินไปดูที่เรือนกุ้ยเซียงเดี๋ยวก็รู้เองเจ้าค่ะ”
เฉียวเวยล้างหน้าล้างตาแต่งกายเรียบร้อยเสร็จก็ไปที่เรือนกุ้ยเซียง
ที่เรือนกุ้ยเซียงมีแต่เสียงเอ็ดตะโรโหวกเหวก ได้ยินเสียงตะโกนลั่นของเจินซื่อดังมาแต่ไกล “ออกไปๆๆ” เอาออกไปๆๆ”
เฉียวเวยเดินไปถึงประตูก็มีกล่องใบหนึ่งลอยออกมา เฉียวเวยยกมือขึ้นรับ อะไรกัน เป็นกล่องของร้านเป่าหลินเสียด้วย เจินซื่อทำใจโยนทิ้งได้อย่างไร
เฉียวเวยเปิดกล่องดู ข้างในยังมีเครื่องประดับจากร้านเป่าหลินอยู่เสียด้วย
“ไสหัวไป! ข้าไม่เอา! เอาไปเลย!”
เจินซื่อคล้ายคนเสียสติ กวาดเอาของทุกอย่างลงกับพื้น
เฉียวเวยเลิกคิ้ว จับตัวเสี่ยวชุ่ยที่กำลังจะเดินผ่านไปเอาไว้ “นางเป็นอะไรน่ะ”
เสี่ยวชุ่ยตอบด้วยความหวาดกลัวว่า “บ่าวก็ไม่ทราบว่าสวินฮูหยินเป็นอะไรเจ้าค่ะ เมื่อคืนบ่าวไปเยี่ยมสวินฮูหยินที่ศาลบรรพชนเป็นเพื่อนคุณหนูสวิน สวินฮูหยินพอเห็นหน้าคุณหนูสวินก็เป็นลมไปเลย ฟื้นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเช่นนี้แล้ว นางข่วนหน้าคุณหนูสวินเสียเป็นรอยเต็มเลยเจ้าค่ะ บอกว่า…คุณหนูสวินแปลงร่างมาจากนังจิ้งจอกสี่เย่ว์อะไรสักอย่าง… แม้แต่คุณหนูสวินเก็บเครื่องประดับมาให้นางก็ไม่เอา บอกว่าโดนของมาหรืออะไรนี่แหละเจ้าค่ะ…”
ปี้เอ๋อร์ลอบหัวเราะ “นางคงถูกผีเข้าเสียแล้วกระมัง ข้าได้ยินว่าที่ศาลบรรพชนผีดุนัก”
“เรื่องเพ้อเจ้อเช่นนั้นเจ้าก็เชื่อหรือ” เฉียวเวยเดินเข้าไปดูเจินซื่อ เห็นได้ชัดว่าเจินซื่อตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมด คงฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติไม่ได้ในเร็ววัน พอถูกจับไปขังที่ศาลบรรพชนก็ตกใจกลัวถึงเพียงนี้ จึ๊ คงกระทำเรื่องน่าละอายไว้ไม่น้อยกระมัง
กรรมใดใครก่อโดยแท้