บทที่ 909 ผู้ประสบภัยพิบัติ

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 909 ผู้ประสบภัยพิบัติ

บทที่ 909 ผู้ประสบภัยพิบัติ

อย่างไรก็ตามเมืองรุ่ยเสียนสงบสุขไม่ประสบปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีครอบครัวใดร้องขอบริจาคเพราะพืชผลเหี่ยวเฉาแห้งตายและไม่มีการเก็บเกี่ยว ตรงกันข้ามผู้ประสบภัยจำนวนมากมารวมตัวกันในพื้นที่นี้ของเมืองรุ่ยเสียนซึ่งก่อให้เกิดอันตรายด้านความปลอดภัยอื่น ๆ

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้รับจดหมายของใต้เท้าหลิวก็เป็นเวลาเดือนแปดแล้ว และอากาศเริ่มร้อนขึ้น เรื่อย ๆ แม้แต่อากาศที่สูดอากาศเข้าไปยังร้อนผ่าว

กู้เสี่ยวหวานเห็นเจี่ยนจู๋ ผู้ติดตามข้างหลิวจือเสี้ยนมาส่งจดหมายให้นางด้วยเร่งรีบ แต่เมื่อหลังจากอ่านเนื้อความในจดหมายแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

เมื่อเห็นท่าทางของหลานสาว กู้ฟางสี่ก็รีบเดินไปเข้าไปหา

“ใต้เท้าหลิวส่งจดหมายมาว่าอย่างไร”

กู้เสี่ยวหวานไม่คาดคิดว่าหลิวจือเสี้ยนจะส่งจดหมายถึงตัวเอง แต่หลังจากอ่านจดหมายแล้วก็รู้ว่าตัวเองจะต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน

ปรากฏว่าจำนวนผู้ประสบภัยในเมืองรุ่ยเสียนเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันในช่วงหลายวันที่ผ่านมา หลังจากสอบถามจากทางการแล้วพวกเขาทั้งหมดมาจากอำเภอ ตำบล และหมู่บ้านใกล้เคียง

เพราะพวกเขาทุกคนได้ยินมาว่าไม่มีผู้ประสบภัยพิบัติในเมืองรุ่ยเสียน และมีอาหารมากมายในเมือง ตราบใดที่พวกเขาขโมยมัน พวกเขาจะไม่อดตายอย่างแน่นอน

เมืองหลิวเจียเองก็พบเจอกับปัญหานี้เช่นกัน แต่เนื่องจากไม่มีผู้ประสบภัยมากนักจึงไม่เกิดการโจรกรรมครั้งใหญ่

แต่ที่เมืองรุ่ยเสียนนั้นแตกต่างออกไป พื้นที่การเกษตรเกือบครึ่งหนึ่งปลูกด้วยต้นกล้ามันเทศ จากที่มองก็เห็นนว่าพวกมันเป็นสีเขียวทั้งหมด เมื่อผู้ประสบภัยเห็นบางสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้ ใครเล่าจะไม่ฉกฉวยมัน

ยิ่งกว่านั้น บางคนถึงกับถอนรากถอนโคน และในชั่วข้ามคืน มันเทศภายในพื้นที่ครึ่งหมู่เล็ก ๆ ก็หายไป เหลือแต่เศษดินโคลน

ครั้นเห็นพืชผลของตนเองถูกขโมยไปก็ย่อมรู้สึกไม่สบายใจ

ยิ่งไปกว่านั้น ประตูของร้านอาหารทุกแห่งในเมืองรุ่ยเสียนถูกล้อมรอบไปด้วยผู้ประสบภัย

ผู้ประสบภัยพิบัติเหล่านั้นยังฉลาดอยู่บ้าง ตราบใดที่กิจการยังดีจะต้องมีคนมากมายที่ทางเข้าร้านอาหารที่ตกแต่งอย่างงดงาม

ในทุก ๆ วันมีคนหลายสิบหลายร้อยคนนั่งอยู่ที่ประตูร้านอาหาร ร่างกายของพวกเขาทั้งสกปรกและส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยว ขับไล่เท่าไรพวกเขาก็ไม่ยอมออกไป

ร้านอาหารทั้งหมดถูกล้อมรอบ และเมื่อลูกค้าเห็นกลุ่มผู้ประสบภัยพิบัติขวางประตูไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าเข้าไปรับประทานอาหาร

ไม่ใช่ว่าทางการไม่ดูแล แต่มันไร้ประโยชน์หากส่งเจ้าหน้าที่มาขับไล่พวกเขา

หลังจากไล่ไปจากที่นี่ ที่อีกแห่งก็มีจำนวนผู้ประสบภัยเพิ่มมากขึ้น

ครั้นไปที่นั้น ผู้คนทั้งหมดก็มารวมกันที่นี่อีกครั้ง

มีเจ้าหน้าที่เพียงยี่สิบคนในเมืองรุ่ยเสียน แต่ผู้ประสบภัยมีหลายพันคน

ศัตรูหนึ่งตัวต่อร้อยก็เหมือนแมลงเม่าที่เขย่าต้นไม้ใหญ่

“สถานการณ์นี้กินเวลานานแค่ไหน?” กู้เสี่ยวหวานคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามเจี่ยนจู๋

“ผ่านมาสี่ถึงห้าวันแล้ว จำนวนผู้ประสบภัยยังคงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางที่ข้ามาจากเมืองรุ่ยเสียน ข้าเห็นผู้ประสบภัยจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าไปยังเมืองรุ่ยเสียน”

ถ้าเป็นเช่นนั้น ผู้ประสบภัยเหล่านี้อาจทำลายมันเทศทั้งหมดในเมืองรุ่ยเสียน

ไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีการเก็บเกี่ยว กลัวว่าช่วงเวลานี้จะไม่สามารถผ่านไปได้

หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป การทะเลาะวิวาท การปล้นสะดม การกระทบกระทั่งกันและความตายจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

“ใต้เท้าหลิวว่าอย่างไร” เรื่องนี้เป็นเรื่องด่วนจริง ๆ หากไม่รีบจัดการ เมืองรุ่ยเสียนอาจกลายเป็นสนามรบ

เมื่อผู้คนหิวโหยมาก พวกเขาจะทำอะไรก็ได้

ในชีวิตที่แล้ว มีคนหิวโหยมากกว่าแปดร้อยล้านคนในโลก และมีคนตายเพราะความอดอยากเฉลี่ยมากกว่าสองหมื่นคนทุกวัน และเกือบครึ่งหนึ่งเป็นเด็ก

คนกินไม่พอจึงกินได้แค่รำ รากหญ้า และใบไม้ บางแห่งคนอดอยากจนกิน ‘ดิน’ ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ หลายคนต้องทนทุกข์ทรมานจากภาวะขาดสารอาหาร บางคนกินดินมากไป ไม่นานก็ ‘ล้มป่วยและตายลง’

สถานการณ์ที่รับไม่ได้ยิ่งกว่าคือ มีเหตุการณ์คนกินคน สุนัขกินสุนัข และหนูที่หิวโหยจนต้องกัดกินอิฐ

กู้เสี่ยวหวานไม่เคยประสบภัยพิบัติมาก่อน และข้อมูลส่วนใหญ่ที่นางรู้ก็มาจากอินเตอร์เน็ตและหนังสือเรียน

แต่เมื่อเห็นสถานการณ์อันน่าสลดใจที่อธิบายไว้ และรับรู้ว่าหากไม่มีอาหาร ผู้ประสบภัยเหล่านั้นจะทำอะไรก็ได้

กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กและตอนนี้ไม่สามารถพูดได้ว่าฝนช่วยแก้ปัญหาภัยแล้งได้อีกต่อไป แม้ว่าฝนจะตกแต่ก็จะไม่สามารถช่วยเรื่องนี้ได้

“ยังไม่สายเกินไป พวกเราไปที่เมืองรุ่ยเสียนกันเถอะ ท่านป้าไปช่วยข้าเก็บเก็บเสื้อผ้าสักหน่อย ข้าจะไปเมืองรุ่ยเสียน”

กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างเคร่งขรึม

กู้ฟางสี่เห็นท่าทางที่เคร่งขรึมของนางก็รับรู้ได้ว่า นี่ต้องเป็นเรื่องร้ายแรง ดังนั้นนางจึงกังวลเล็กน้อย “เสี่ยวหวานไปด้วยกันเถอะ จะได้ช่วยดูแลกันได้”

กู้เสี่ยวหวานส่ายศีรษะ “ข้าจะพาอาโม่ไปที่นั่น ท่านอา ท่านป้า และพี่ฉือโถวต้องอยู่ที่นี่เพื่อดูแลบ้าน เมื่อเร็ว ๆ นี้มีผู้ประสบภัยพิบัติจำนวนมาก ดังนั้นอย่าออกไปไหนและให้อยู่แต่ในบ้าน พี่ฉือโถวลงไปดูที่ดินของเราสองถึงสามครั้งต่อวัน ถ้ามีผู้ประสบภัยมาขโมยต้นกล้ามันเทศในทุ่งนา คนที่ห้ามปรามได้ก็ห้ามปราม ส่วนคนที่ห้ามปรามไม่ได้ก็ปล่อยไป อย่าไปขัดแย้งกัน ผู้ประสบภัยเหล่านั้นก็คงหิวจนเป็นเช่นนั้น หากอธิบายวิธีเด็ดก้านหรือใบให้พวกเขา ข้ามั่นใจว่าพวกเขาจะฟัง”

เจี่ยนจู๋ฟังกู้เสี่ยวหวานอย่างสงบและจัดการงานให้ทุกคนได้เป็นอย่างระบบระเบียบ และยกนิ้วให้นางในใจ

จิตใจดี ใจเย็น ไม่เร่งรีบ และการจัดการกับสิ่งต่าง ๆ กระชับ

ครั้งเมื่อเขามาถึงที่นี่ครั้งแรก เขาสงสัยว่าทำไมใต้เท้าหลิวถึงเขียนจดหมายถึงเด็กผู้หญิงคนนี้ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจทุกอย่างแล้ว

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานเก็บข้าวของและบอกลาครอบครัวแล้ว อาโม่ก็บังคับรถม้าไปที่เมืองรุ่ยเสียนพร้อมกับเจี่ยนจู๋

ระหว่างทางตามที่เจี่ยนจู๋กล่าว ผู้ประสบภัยกำลังมุ่งหน้าไปที่เมืองรุ่ยเสียน

ยังมีผู้ประสบภัยบางคนที่นอนอยู่บนพื้นและไม่รู้จะขุดอะไรบนดิน หลังจากขุดได้เขาก็มีความสุขมาก ยัดมันเข้าปากโดยไม่ล้างให้สะอาดเสียก่อน และไม่รู้ว่าตนเองกำลังกินสิ่งใดอยู่

กู้เสี่ยวหวานเป็นกังวลเล็กน้อย ผู้ประสบภัยพิบัติทุกคนมีร่างกายผอมแห้ง ผิวพรรณซีดเซียว ผู้ประสบภัยที่ผอมแห้งทั้งหมดกำลังมุ่งหน้าไปที่เมืองรุ่ยเสียน เมื่อถึงเวลานั้นเมืองรุ่ยเสียนจะเต็มไปด้วยผู้ประสบภัย

ประการที่หนึ่งคือ ทั่วทั้งเมืองมีเจ้าหน้าที่ทางการไม่มากนัก ดังนั้นจึงไม่สามารถควบคุมได้ ประการที่สองคือ หากเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น เกรงว่าหลิวจือเสี้ยนจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้

——————————————-