บทที่ 938 อำนาจและอิทธิพล

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 938 อำนาจและอิทธิพล

ขณะที่เหล่าเทพมารฟ้าบุพกาลในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองยังคงพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้น หานเจวี๋ยมายังชั้นฟ้าที่สามสิบสามแล้ว พูดคุยรำลึกความหลังอยู่กับจอมอริยะเสวียนตูในตำหนักเอกภพ

ท่าทีของจอมอริยะเสวียนตูอ่อนน้อมลงอย่างเห็นได้ชัด มีท่าทางเหมือนลูกน้องอย่างสมบูรณ์ จุดนี้ทำให้หานเจวี๋ยพอใจยิ่ง

หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ทำตัวไร้เหตุผล เขารู้สึกว่าจอมอริยะเสวียนตูสมควรวางตัวทัดเทียมเสมอภาคกับเขา ก็นับว่ามีสัมพันธ์คงเดิมเหมือนเมื่อก่อน

เขาคิดว่าตอนนี้ต่างหากถึงจะนับว่ามีสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นมา

พูดคุยกันอยู่สักพัก รอจนอริยะมรรคาสวรรค์ที่ยังอยู่ในมรรคาสวรรค์ทยอยมาถึงแล้วก็พากันนั่งประจำที่โดยเร็ว ไม่มีใครกล้าเอะอะเสียงดัง สายตาอริยะทั้งหมดที่มองไปยังหานเจวี๋ยล้วนเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส

รวมถึงอริยะเทพอวี๋เจี้ยนและพุทธสัจจะยุทธแห่งโลกพุทธะ

จอมอริยะเสวียนตูกวาดตามองไปรอบๆ เอ่ยขึ้นว่า “อริยะทั้งหมดในมรรคาสวรรค์มากันพร้อมหน้าแล้ว อริยะสวรรค์ ขอแนะนำให้ท่านรู้จักก่อน ท่านี้คืออริยะมหามรรคจากฟ้าบุพกาล นามว่าจอมเซียนเฉินอวี่”

พอจอมเซียนเฉินอวี่ได้ยินก็ลุกขึ้นทันที ค้อมคำนับหานเจวี๋ย แม้ว่าจะเป็นอริยะมหามรรค แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ยก็ดูประหม่าอย่างเห็นได้ชัด

หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย ทั้งตำหนักตกอยู่ในความเงียบสงัด

จอมเซียนเฉินอวี่ประหม่าสุดขีด

อันที่จริงหานเจวี๋ยทำนายถึงเขาได้โดยไม่ต้องนับนิ้วด้วยซ้ำ แต่หากไม่นับนิ้วคนอื่นก็จะไม่ทราบ

นี่คือการวางท่าของเขา

ไม่ว่าจะปฏิเสธหรือยอมรับ ล้วนต้องได้รับความเห็นชอบจากเขา

ความเป็นมาของจอมเซียนเฉินอวี่ซับซ้อน มีบ่วงกรรมมหันต์ เคยล่วงเกินดวงจิตมหามรรครายหนึ่ง โลกในสังกัดเขาล่มสลายไปนานแล้ว ที่มายังมรรคาสวรรค์ ว่ากันตามตรงก็คือมาขอพึ่งพิง 艾琳小說

อย่างไรก็ตามหานเจวี๋ยทำนายพบว่าแรงกรรมของจอมเซียนเฉินอวี่ไม่มากนัก โดยทั่วไปแล้วนับว่าซื่อตรงเปิดเผย ไม่เคยทำเรื่องชั่วร้ายใหญ่โตอันใด ส่วนที่ว่าเคยคร่าชีวิตมาหรือไม่ เรื่องนั้นย่อมเคยแน่นอน ฝึกบำเพ็ญจนบรรลุอริยะมหามรรคได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เคยผ่านการเข่นฆ่าสังหาร

นับว่าเข้าที!

หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย “ในเมื่อมายังมรรคาสวรรค์แล้ว เรื่องราวในอดีตก็ให้แล้วกันไป นับจากนี้ไปให้ยึดถือมรรคาสวรรค์เป็นบ้านตน รับหน้าที่ดูแลพิทักษ์มรรคาสวรรค์ ถึงแม้ตบะเจ้าจะสูงกว่า แต่ตามปกติแล้วยังคงต้องคอยฟังคำสั่งจากจอมอริยะอยู่ หากเจ้ามีผลงาน มรรคาสวรรค์จะไม่เอาเปรียบเจ้าแน่นอน”

พอเอ่ยวาจานี้ออกไป จอมเซียนเฉินอวี่พลันโล่งใจ รีบคารวะขอบคุณ

เหล่าอริยะมรรคาสวรรค์ยิ้มออกมา อันที่จริงพวกเขาก็รู้สึกสุ่มเสี่ยงเช่นกัน เกรงว่าผู้ทรงพลังจากฟ้าบุพกาลจะมาเบียดลดบทบาทของพวกเขา โชคดีที่อริยะสวรรค์เกรียงไกรชัดเจนมีเหตุผล ไม่ได้แบ่งแยกชนชั้นจากตบะ

จากนั้นจอมอริยะเสวียนตูได้แนะนำอริยะอีกหลายรายที่มีพื้นเพมาจากแดนเซียน พวกเขามีท่าทางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีมาดของอริยะเลย

หานเจวี๋ยพยักหน้ารับไปเรื่อยๆ ไม่ได้จงใจวางท่าเลย ทว่าได้รับแจ้งเตือนค่าความประทับใจห้าถึงหกดาวอย่างต่อเนื่อง

อริยะที่อยู่ในที่นี้ไม่มีผู้ใดกล้าเกลียดชังในตัวหานเจวี๋ยเลย ล้วนเป็นมิตรกันทั้งสิ้น หานเจวี๋ยเห็นแล้วพอใจยิ่ง

จอมอริยะเสวียนตูเริ่มชี้แจงถึงพัฒนาการในช่วงนี้ของมรรคาสวรรค์

มีสิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลมุ่งหน้ามาพึ่งพิงมรรคาสวรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่มีอริยะเบิกฟ้าและอริยะเสรีหลั่งไหลมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่ได้รับการยอมรับจากเหล่าอริยะชั่วคราว ล้วนพำนักอยู่ที่วังเยือนอริยะ มีเพียงจอมเซียนเฉินอวี่ที่ผ่านการรับรอง ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นอริยะมหามรรค จอมอริยะเสวียนตูกลัวเขาจะจากไปเช่นกัน

อาณาเขตของมรรคาสวรรค์ขยายตัวออกไปเรื่อยๆ หลายปีมานี้ขยายตัวออกไปเร็วยิ่ง ที่สำคัญคือดวงชะตามรรคาสวรรค์เพิ่มพูนขึ้นเร็วนัก

เรื่องที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือโลกมนุษย์สามัญบางส่วนที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเริ่มวิวัฒนาการเป็นโลกขนาดใหญ่แล้ว ทรงพลังทัดเทียมกับแดนเซียนช่วงก่อนเกิดมหาเคราะห์ แดนเซียนในปัจจุบันนี้มีโลกขนาดใหญ่ทั้งหมดสิบสองดินแดนและโลกขนาดเล็กเกือบสองแสนโลกแล้ว

หานเจวี๋ยฟังแล้วก็เริ่มใจลอย ทว่าสีหน้าเขายังคงไม่แปรเปลี่ยน ทำให้เหล่าอริยะล้วนจริงจังกันยิ่งนัก ไม่กล้าคลายความตื่นตัว

หานอวี้มองปฐมบรรพชนของตน ในใจสะท้อนใจอย่างยิ่ง

ทุกครั้งที่นึกถึงว่าปฐมบรรพชนของตนคือสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกละอายใจ

เขารู้สึกว่าตนไม่คู่ควรกับฐานะเชื้อสายของหานเจวี๋ยเลย

คนที่ภูมิใจที่สุดคือหลี่เสวียนเอ้า เขารู้สึกว่าตนเลือกติดตามถูกคนแล้ว ส่วนศิษย์สำนักซ่อนเร้นคนอื่นๆ ก็พอว่า เพราะเคยชินกันมานานแล้ว

หลายชั่วยามผ่านไป ในที่สุดจอมอริยะเสวียนตูก็พูดจบ

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เรื่องอริยะใหม่ของมรรคาสวรรค์ไม่จำเป็นต้องรอถามข้าอีก พวกเจ้าหารือกันเองได้เลย ข้าฟังแล้วไม่เลวเลย ว่ากันตามนี้เถอะ”

เขาลุกขึ้นยืน เดินไปได้สองก้าวก็หายวับไป

เหล่าอริยะรีบลุกขึ้นคำนับ แม้หานเจวี๋ยจะหายตัวไปแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่กล้าผ่อนปรนมารยาทที่พึงมี

หานเจวี๋ยออกจากมรรคาสวรรค์ เริ่มท่องไปในฟ้าบุพกาล

หลังจากพิฆาตดวงจิตบรรพกาล สำหรับเขาแล้วฟ้าบุพกาลไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป สิ่งคุกคามมีเพียงนอกฟ้าบุพกาลเท่านั้น

….

ภายในอาณาเขตแห่งดวงจิต บนแท่นกลมแห่งหนึ่ง ดวงจิตมหามรรคหลายสิบรายมารวมตัวกันที่นี่ ห้าเทวทัณฑ์ก็มาด้วยเช่นกัน

อี๋เทียนมีสีหน้าหมิ่นหยาม แววตาของสามเทวทัณฑ์ที่เหลือก็ทอแววตื่นเต้นสนใจ

กลับเป็นหานทั่วที่นิ่งสุขุม

อันที่จริงพวกเขาล้วนอยากเห็นท่าทีของเทพมหาทัณฑ์

ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น ดวงจิตมหามรรคที่เหลือก็เป็นเช่นนี้

ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้คำพูดของเทพมหาทัณฑ์ก็สื่อว่าจะหนุนหลังดวงจิตบรรพกาล

หลังจากดวงจิตบรรพกาลดับสูญ เวลาผ่านไปหลายแสนปี เทพมหาทัณฑ์ถึงได้ปรากฏตัวขึ้น เหล่าดวงจิตมหามรรคต่างนึกสงสัยว่าเทพมหาทัณฑ์ถูกอริยะสวรรค์เกรียงไกรเล่นงานสั่งสอนไปแล้วใช่หรือไม่

ตอนนี้พวกเขากล้าดูแคลนเทพมหาทัณฑ์ ทว่าไม่กล้าหยามหมิ่นหานทั่วอีก

ตำแหน่งเทวทัณฑ์อันใดไหนเลยจะเทียบกับฐานะบุตรชายอริยะสวรรค์เกรียงไกรได้เล่า

ผ่านไปนานพักใหญ่

เทพมหาทัณฑ์พลันปรากฏตัวขึ้น เหล่าดวงจิตหุบปากทันที ไม่กล้าพูดมากอีก

เหล่าดวงจิตมหามรรคยังคงปกปิดอารมณ์ของตัวเองเป็นอยู่ มีเพียงอี๋เทียนที่เชิดคอตั้ง จ้องมองเทพมหาทัณฑ์ด้วยสีหน้าท้าทาย

อี๋เทียนก้าวออกมา เอ่ยว่า “อริยะสวรรค์เกรียงไกรคือพ่อบุญธรรมของข้า!”

เงียบกริบ!

หานทั่วรีบลากเขากลับไป

เหล่าดวงจิตมหามรรคเหยียดหยามในใจ คนผู้นี้เป็นคนโง่โดยแท้

เพียงแต่คำพูดของเขาก็มีน้ำหนักพอจริงๆ อย่างน้อยเหล่าดวงจิตก็ไม่กล้าแสดงความเหยียดหยามอย่างเปิดเผย

เทพมหาทัณฑ์เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “เรื่องแดนบรรพกาลคลี่คลายแล้ว ทุกอย่างกลับเป็นปกติ งานชุมนุมฟ้าบุพกาลยังคงเป็นงานใหญ่ที่ทุกท่านต้องรับผิดชอบจัดเตรียมตามเดิม ส่วนเรื่องที่ทุกท่านกังวลกันอยู่ ไม่จำเป็นต้องคิดแล้ว ข้าและอริยะสวรรค์เกรียงไกรมีไมตรีต่อกันมาตลอด เมื่อก่อนใช่ในอนาคตก็ยังคงใช่ ก่อนหน้านี้ข้าบอกเพียงว่าจะไม่ขัดขวางดวงจิตบรรพกาล มิได้บอกว่าจะพุ่งเป้าไปยังมรรคาสวรรค์”

เหล่าดวงจิตมหามรรคพยักหน้ารับ ในใจลอบดูแคลน

ดูเหมือนคนหัวรั้นอย่างเจ้าจะถูกอริยะสวรรค์เกรียงไกรจัดการเข้าแล้ว!

อี๋เทียนแค่นเสียง ทว่าไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

เทพหาทัณฑ์ยังคงนิ่งเฉย เอ่ยต่อไปว่า “เรื่องแดนบรรพกาลส่งผลกระทบอย่างหนัก ฟ้าบุพกาลจะไม่พลาดอีกเป็นครั้งที่สอง ตอนนี้สถานที่อันตรายที่สุดในฟ้าบุพกาลคือก้นบึ้งฟ้าบุพกาล พวกเจ้าทุกคนจะต้องส่งอริยะเสรีหนึ่งร้อยรายออกไปพิทักษ์ก้นบึ้งฟ้าบุพกาลไว้ ข้าจะไม่เอาเปรียบพวกเขาแน่ วันหน้าจะมอบโอกาสวาสนาอันยิ่งใหญ่ให้”

เหล่าดวงจิตมหามรรคฟังแล้วพากันตอบรับ

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เทพมหาทัณฑ์และอริยะสวรรค์เกรียงไกรสมานฉันท์กันแล้ว อย่างน้อยตำแหน่งของพวกเขาก็มั่นคง ขอเพียงมีความมั่นคงพวกเขาก็ยินดีปฏิบัติตาม

หานทั่วแอบโล่งใจ เขาชื่นชมเทพมหาทัณฑ์มากจริงๆ จนใจที่เทพมหาทัณฑ์เกรงกลัวดวงจิตบรรพกาล โชคดีที่ท่านพ่อของเขาสะสางปัญหาเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว

เขาเคารพนับถือในตัวบิดายิ่งกว่าเดิม ท่านพ่อไม่เพียงแต่เป็นผู้แข็งแกร่งเท่านั้น ในด้านการจัดการเรื่องราวก็เหนือล้ำกว่าเขามาก สวมควรฆ่าก็ฆ่า สมควรใช้งานก็ใช้ต่อไป

เทพมหาทัณฑ์เอ่ยสั่งการต่ออีกสองสามเรื่อง ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับภาพรวมของฟ้าบุพกาล ไม่ได้เอ่ยถึงมรรคาสวรรค์เลยสักคำ

รอจนเทพมหาทัณฑ์จากไปแล้ว ห้าเทวทัณฑ์ก็เตรียมจากไปเช่นกัน

เพิ่งพ้นจากอาณาเขตดวงจิต เหล่าดวงจิตมหามรรคก็พากันไล่ตามห้าเทวทัณฑ์มา เริ่มเชื้อเชิญพวกเขาไปเป็นแขกที่อาณาเขตเต๋าของตนอย่างกระตือรือร้น

………………………………………………………………