War sovereign Soaring The Heavens – ตอนที่ 2258
ตอนที่ 2,258 : หยั่งถึงสวรรค์และโลก
อย่างไรก็ตามแม้การจู่โจมของต้วนหลิงเทียนจะทั้งเร็วทั้งแรง หากแต่ก็ยากจะฝ่าปราการป้องกันของ 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรไปได้!
“ให้มันได้ยังงี้สิ…”
เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนได้แต่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ
ฉากเรื่องราวก่อนหน้าเขาเองก็มีคิดไว้แล้วหากแต่ก็แค่คิดเท่านั้น พอได้เห็นมันเกิดขึ้นจริงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา…
เขาได้ลงมือด้วยพลังทั้งหมดอย่างไม่มีการออมรั้งแล้ว
ทว่ากลับไม่อาจเจาะม่านพลังป้องกัน 3 ประสานของพวกมันได้!
‘แม้พลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดของข้าจะแตะถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน แต่เพราะอย่างไรข้าก็ไม่ใช่เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจริงๆ จึงไม่อาจสำแดงพลังอำนาจที่แท้จริงของขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้’
ต้วนหลิงเทียนลอบกล่าวในใจ
อันที่จริงจุดนี้เขาก็สังเกตเห็นตั้งแต่ตอนที่ทดลองใช้ปฐมเวทย์กลืนกินจนระดับพลังแตะขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแบบนี้ตั้งแต่วันก่อนแล้ว
อนิจจาแม้เขาจะยกระดับพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดให้บรรลุถึงขอบเขตนี้ได้ แต่เขาก็ยังไม่อาจใช้พลังอำนาจที่แท้จริงของด่านพลังเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้…
ความเปลี่ยนแปลงจากเซียนสวรรค์ 8 เปลี่ยนไปยังขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนนั้น ไม่เพียงแต่พลังเซียนต้นกำเนิดในร่างจะยกระดับพัฒนาขึ้นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความเข้าใจต่อสวรรค์และโลกอีกด้วย
แม้ฟังดูจะลี้ลับ แต่ก็ไม่ใช่กล่าวลอยๆ!
เปลี่ยนที่ 9 ของขอบเขตเซียนสวรรค์บางคนก็เรียกว่าเปลี่ยนสู่สวรรค์
บางคนก็อาจจะเรียกว่าเปลี่ยนสู่เซียนอมตะ เพราะคิดว่าเมื่อบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนแล้ว ต่อไปที่ต้องเจอคือข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์กลายเป็นเซียนอมตะ และขึ้นสู่แดนสวรรค์
อันที่จริงแล้วหากคิดแบบนี้ล้วนผิดไปอยู่บ้าง
ก็จริงอยู่ที่เปลี่ยนที่ 9 ของขอบเขตเซียนสวรรค์อาจเรียกว่าเปลี่ยนสู่เซียนอมตะ เพราะหลังก้าวข้ามหายนะทัณฑ์สวรรค์จะได้เป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะ… แต่ก็ไม่ใช่เพราะเหตุนี้ทั้งหมด
และเปลี่ยนที่ 9 ของขอบเขตเซียนสวรรค์นั้น ก็ไม่ใช่ว่าบรรลุถึงแล้วจะได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน…
ระหว่างกระบวนการดังกล่าว ยังต้องอาศัยถึงการทำความเข้าใจต่อสวรรค์และโลก
จนเมื่อหยั่งถึงสวรรค์และโลกรู้แจ้งในฟ้าดินถึงระดับหนึ่ง จึงจะชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมาได้!
หาไม่แล้วต่อให้พลังเซียนต้นกำเนิดในร่างจะบรรลุถึงขีดจำกัดขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ก็ไม่มีทางชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ลงมาได้!
เมื่อไม่อาจชักนำหายนะทัณฑ์สวรรค์ เช่นนั้นยังจะกล่าวถึงเรื่องข้ามผ่านหายนะทัณฑ์สวรรค์กลายเป็นครึ่งก้าวเซียนอมตะได้อย่างไร? ยังเลิกหวังเรื่องขึ้นสวรรค์ไปได้เลย!
และในกระบวนการทำความเข้าใจสวรรค์และโลกของเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ก็จะทำให้สามารถใช้พลังเซียนต้นกำเนิดขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนในร่างกายได้ดั่งแขนขา…เสมือนพลังสถิตย์อยู่ทุกห้วงลมหายใจ!
นอกเหนือจากนั้นวรยุทธ์เซียน และเวทย์พลังทั้งหลายก็จะเปล่งอานุภาพได้มากยิ่งขึ้น!
ด้วยเพราะเหตุนี้
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะเร่งเร้าพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดให้บรรลุถึงขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนได้ก็จริง แต่เขาก็ไม่อาจใช้พลังได้อย่างลึกซึ้งแตกฉานเหมือนตัวตนขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจริงๆ!!
‘ในวันนั้นตอนที่ถังซวนจ้าวลัทธิบูชาไฟกับหล่างเชียนจินอาวุโสสูงสุดของลัทธิอารามทมิฬสู้กัน แม้ระดับพลังเซียนต้นกำเนิดในร่างงพวกมันจะยังไม่บรรลุถึงขีดจำกัดขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยน ยิ่งไปกว่านั้นเวทย์พลังของพวกมันก็มีระดับไม่ได้เหนือไปกว่าข้า…’
‘แต่พลังที่พวกมันใช้ออกได้ ยังเหนือกว่าการลงมือเต็มพลังของข้าในตอนนี้ไม่น้อย…’
‘ที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น…ล้วนเพราะพวกมันมีความชำนาญในการใช้พลังเซียนต้นกำเนิดในร่างมากกว่า หลังได้ทำความเข้าใจสวรรค์และโลก กระทั่งพลังในร่างยังประหนึ่งแขนขาของพวกมัน ระดับความควบคุมพลังกลายเป็นแยบคายลึกล้ำ ไม่ใช่อะไรที่ข้าในตอนนี้จะเทียบได้เลย’
ในวันนั้นต้วนหลิงเทียนได้เห็นฉากที่ถังซวนกับหล่างเชียนจินประมือกันด้วยสองตาของตัวเอง
เรียกว่าฉากเรื่องราวยังสดใหม่ในใจ
เช่นนั้นแล้วเขาจึงตระหนักได้ถึงช่องว่างความต่างระหว่างเขากับพวกมันทั้งสองได้ทันที…
‘หากข้าบรรลุถึงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนจริงๆ ไม่ใช่ยกระดับพลังขึ้นมาจากเซียนสวรรค์ 7 เปลี่ยน…ขอเพียงทำความเข้าใจฟ้าดินสักหน่อย พลังที่ข้าสามารถปะทุออกมาได้ สมควรไม่ใช่แค่ทำให้ม่านพลังของพวกมันกระเพื่อมรุนแรงแบบนี้แน่…’
มองไปยังม่านพลังที่ห้อมล้อมคลุมร่าง 3 ฝาแฝดปีศาจสุกกรเบื้องหน้า ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบทอดถอนในใจ
มีเพียงเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนเท่านั้น ถึงจะมีความสามารถในการสัมผัสและทำความเข้าใจสวรรค์และโลกกอย่างแท้จริง
ดังนั้นแล้วต่อให้ต้วนหลิงเทียนจะทอดถอนในใจมากเท่าไหร่ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขายังไม่อาจทำความเข้าใจสวรรค์และโลกได้…
“ไอหนูปีศาจมนุษย์! อาศัยตอนที่เวทย์พลังของเจ้ายังมีอำนาจอยู่เจ้าอยากจะทำอะไรก็รีบๆทำเข้าเถอะ…หาไม่แล้วรอเวลาที่เวทย์พลังของเจ้าหมดลงเมื่อใด พวกเรา 3 พี่น้องจะให้เจ้าได้ตายไร้ที่ฝัง!”
ตอนนี้เอง 1 ใน 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกร ก็มองต้วนหลิงเทียนด้วยสีหน้าแววตาเย้ยหยัน กล่าวค่อนแคะออกมา
“คิดไม่ถึงจริงๆว่าในปีศาจมนุษย์ยังมีตัวตนเช่นเจ้าดำรงอยู่ด้วย…อาศัยพลังจากกระบวนท่าจู่โจมของเจ้าเมื่อครู่ กระทั่งชิงหยวนป้า อันดับ 1 ใต้เซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนของเผ่าปีศาจมนุษย์ก็เทียบเจ้าไม่ได้!”
“น่าเสียดายที่ต่อให้เจ้าจะร้ายกาจกว่าชิงหยวนป้ามากแค่ไหน แต่วันนี้เจ้าก็ต้องตาย!”
……
อีก 2 ใน 3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกร ก็เริ่มกล่าววาจาค่อนแคะต้วนหลิงเทียนเช่นกัน
ม่านพลังที่ห่อหุ้มคลุมร่างของพวกมัน 3 พี่น้องเอาไว้ หลังรับการโจมตีของต้วนหลิงเทียนแล้ว แม้จะกระเพื่อมและแลดูเบาบางลง แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่นัก
เห็นได้ชัดว่าแม้จะรับการโจมตีของต้วนหลิงเทียนไปแล้ว ความเข้มแข็งของพลังก็ยังไม่ได้อ่อนโทรมลงสักเท่าไหร่
ได้ยินวาจาค่อนแคะถากถางของ 3 ปีศาจหัวหมู สองตาต้วนหลิงเทียนก็หรี่ลง คิ้วโค้งขึ้น
ทันใดนั้นสองตาที่หรี่ลงก็เบิกโพลงเผยประกายเยียบเย็นหนึ่ง
“ดูเหมือนพวกเจ้าคิดว่าจะจัดการข้าได้แล้วสินะ?”
ในขณะที่สองตาต้วนหลิงเทียนเบิกขึ้นเต็มตา เสียงกล่าวคำไม่รีบไม่ร้อนหนึ่งก็ดังขึ้น ฟังจากน้ำเสียงแล้วคล้ายไม่ได้ร้อนรนใจอะไรแม้แต่น้อย ถึงจะได้ยินวาจาปรามาสระคนข่มขู่ของพวกมันก็ตามที
คนสงบดั่งเมฆเคลื่อนน้ำไหล ไม่ยี่หระ!
“หือ?”
ความสงบดังกล่าว นับว่าทำให้ 3 พี่น้องเผ่าปีศาจสุกรแปลกใจในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตามพวกมันเพียงแปลกใจอยู่ครู่เดียว ก่อนที่สีหน้าจะฉายชัดถึงความเย้ยหยันออกมามากกว่าเดิม
“เฮอะ! คิดเล่นลูกไม้วางมาดลึกลับรึ?”
“เจ้าเห็นพวกกข้าโง่งมถึงขั้นจะติดกับลูกไม้ตื้นๆนี่ของเจ้าจริงๆ?”
“น่าขันนัก!”
3 นักรบผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าปีศาจสุกรกล่าวออกอีกครั้ง น้ำเสียงก็ค่อนข้างเดียจฉันท์ต้วนหลิงเทียนไม่น้อย!
“วางมาดลึกลับ? พวกเจ้าก็ช่างคิดไปได้..”
เจอการเย้ยหยันถากถางของ 3 ปีศาจสุกร สีหน้าต้วนหลิงเทียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอะไร เสียงกล่าวก็ยังคงสงบเฉยเมยนัก “หากข้ายังลงมือเต็มกำลังต่อไป บางทีคงต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะฝ่าการป้องกันของพวกเจ้าได้…แต่ไม่พ้นผลของเวทย์พลังสนับสนุนข้าคงได้หมดลงก่อนที่จะฆ่าพวกเจ้าได้…”
“ถึงตอนนั้นพลังของข้าคงตกไปอยู่ในระดับเดิม…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวแฉความในใจของพววกมันออกมา
“แต่ว่า…พวกเจ้าไม่คิดบ้างเหรอว่าข้าอาจอาศัยจังหวะที่พลังยังไม่ถดถอยหลบหนีไป? พวกเจ้าคิดว่าอาศัยพลังของพวกเจ้าตอนนี้จะมีปัญญาตามข้าได้ทัน?”
เสียงกล่าววาจาประโยคท้ายของต้วนหลิงเทียน ไม่ขาดการเย้ยหยันแม้แต่น้อย
ได้ยินคำพูดนี้ของต้วนหลิงเทียน 3 แฝดหัวหมูอดหน้าเปลี่ยนเป็นมืดคล้ำไม่ได้
ยามพวกมัน 3 คนผนึกกำลังกันลงมือ ที่ร้ายกาจที่สุดก็คือพลังโจมตีกับพลังป้องกัน
หากแต่ความเร็วนั้นยังคงเป็นจุดอ่อนของพวกมัน!
หากต้วนหลิงเทียนคิดหลบหนีจริงๆ ตอนนี้ให้พวกมันทั้ง 3 พยายามบินไล่ให้ตายจนมันหมูย้อย ก็ไม่มีวันตามทัน!
“ขี้ขลาด! ไอ้พวกเผ่าปีศาจมนุษย์เจ้าล้วนแล้วแต่เป็นพวกขี้ขลาด!!”
“ไอ้หนู เจ้ามันช่างสร้างความเสื่อมเสียให้เผ่าปีศาจมนุษย์ยิ่ง! เจ้ายังมีหน้าคิดหนีอีกงั้นเหรอ!?”
“ตัวขี้ขลาดเอ๊ย!”
……
หลังได้ยินวาจาเตือนสติของต้วนหลิงเทียน ปีศาจสุกรแฝด 3 ก็เร่งกล่าวคำเย้ยเยาะถากถางออกมาทันที เป้าหมายของพวกมันก็ใช่ใดอื่น เพียงคิดยั่วโทสะต้วนหลิงเทียน! ทำให้ต้วนหลิงเทียนขาดสติยั้งคิด!!
ด้วยวิธีนี้พวกมันถึงจะมีโอกาสฆ่าปีศาจมนุษย์หน้าละอ่อนเบื้องหน้า!
หากปีศาจเผ่ามนุษย์เบื้องหน้าคิดหลบหนีไปจริงๆ พวกมันยอมรับว่าไม่มีปัญญาไล่ทัน!
“หึ!”
ต้วนหลิงเทียนไหนเลยจะมองไม่เห็น เจตนา ของปีศาจสุกรทั้ง 3 “พวกหัวหมูเจ้าทั้ง 3 ไม่ต้องห่วงไป…ตอนนี้ต่อให้ข้าจะหนีไปได้อย่างง่ายดาย แต่ข้าก็ไม่คิดจะหนีไปไหนหรอก…”
“นั่นเพราะ…อาศัยพวกเจ้าทั้ง 3 ไม่มีคุณสมบัติพอให้ข้าต้องหนี!”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกเสียงเข้ม ในวาจาแฝงความนัยประการหนึ่ง
และ 3 ปีศาจสุกรตอนนี้กก็เสมือนถูกระเบิดลูกหนึ่งถล่มใส่ทันที พวกมันกลายเป็นอื้ออึงไม่เข้าใจ ด้วยไม่ทราบว่าต้วนหลิงเทียนไปพกพาความมั่นใจมาแต่ไหนกันแน่ ทำไมถึงกล้าพูดออกมาแบบนี้!
“แต่ข้าต้องบอกไว้ก่อนเลย…พลังป้องกันของพวกหัวหมูเจ้าทั้ง 3 มันร้ายจริงๆ…กระทั่งยอดฝีมือเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนก็ไม่น่าจะทำลายลงได้ในเวลาสั้นๆ…”
ก่อนที่ 3 ยอดนักรบของเผ่าปีศาจสุกรจะทันได้ฟื้นตัว ต้วนหลิงเทียนยังคงกล่าวสืบต่อออกมา
“น่าเสียดายก็แต่ วันนี้ที่พวกเจ้าเจอเป็นข้า…”
สิ้นคำกล่าววาจาประโยคนี้ของต้วนหลิงเทียน มือขวาเขาก็ยกขึ้นช้าๆ พลันปรากฏป้ายศิลามุมแหว่งหนึ่งผุดขึ้นจากความว่างเปล่า
ตอนแรกเมื่อป้ายศิลามุมแหว่งนี้ปรากฏ ก็แลดูไม่ได้มีอำนาจขู่ขวัญอะไร
นอกจากกลิ่นอายพลังผันผวน รวมถึงอักขระโบราณที่สลับซับซ้อนบนตัวแผ่นศิลาแล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรทั้งสิ้น…
ทว่าทันใดนั้นเอง
วู้ม! วู้ม! วู้ม!!
……
ปรากฏเสียงพลังหนึ่งดังกังวาลออก! ป้ายศิลามุมแหว่งในมือต้วนหลิงเทียน พลันลอยขึ้นไปเล็กน้อยกก่อนจะปะทุไอมารอันยิ่งใหญ่สุดไพศาลออกมา คลื่นพลังอันน่าเกรงขามเริ่มกำจายไปในบรรยากาศจนทัศนียภาพโดยรอบเริ่มบิดเบือน!!
ไอมารที่ปะทุออกมาดั่งเพลิงไฟสีดำนั้น ยิ่งมายิ่งพวยพุ่งลุกโชนปานจะหลอมฟ้า!
ทั้งหมดเป็นเพราะต้วนหลิงเทียนจ่ายพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดลงไป เผยพลังอำนาจของมัน!
‘ไม่คิดเลยว่าตอนจ่ายพลังเซียนสุริยันต้นกำเนิดขีดสุดขอบเขตเซียนสวรรค์ 9 เปลี่ยนลงไป ตราผนึกมารจะแลดูทรงพลังขึ้นมาถึงขนาดนี้…ดูจากกระดับพลังของมันท่าทางคิดทำลายม่านพลังป้องกันของพวกกหัวหมูทั้ง 3 คงไม่เป็นปัญหาอะไร…’
ตอนแรกต้วนหลิงเทียนก็อดสะดุ้งไปไม่น้อยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของตราผนึกมาร เพราะมันแลดูทรงพลังทั้งเกรี้ยวกราดกว่าทุกที! ยังคึกคักไม่ต่างใดจากฉีดเลือดไก่!!
อย่างไรก็ตามครู่ต่อมาพอต้วนหลิงเทียนหายอึ้ง มุมปากพลันปรากกฏรอยยิ้มแสยะเหี้ยมเกรียม
ตอนนี้เองนอกจากไอมารมหาศาลดั่งเพลิงทมิฬหลอมโลกแล้ว
หากสังเกตให้ดีจะพบว่า…
ในไอมารมหาศาลนั้น ปรากฏอัสนีสีม่วงแล่นวาบแปลบปลาบ มองไปยังคล้ายมังกรเทพพยาดาสีม่วงแหวกว่ายวนเวียน!
อีกทั้งทุกคราที่อัสนีสีม่วงแลบลั่นออก โดยรอบกลับมีพลังลึกลับอีกขุมหนึ่ง เปล่งกลิ่นอายเก่าแก่โบราณออกมาบิดเบือนบรรยากาศ ราวกับจะประกาศศักดิ์ดา!
แน่นอนว่าป้ายศิลามุมแหว่งที่ต้วนหลิงเทียนหยิบออกมาและกำลังเผยพลังอำนาจอันน่าครั่นคร้ามนี้ก็ไม่ใช่ใดอื่น….มันคือตราผนึกมารที่ต้วนหลิงเทียนไม่ได้นำออกมาใช้เนิ่นนาน!
และทันทีที่ไอมารมหาศาลเริ่มปะทุลุกโชนออกมาท่วมตราผนึกมารดั่งเพลิงไฟ กอปรทั้งแลเห็นอัสนีพลังสีม่วงแลบลั่นวูบวาบ สีหน้าเย้ยหยันดูแคลนของ 3แฝดปีศาจสุกรก็มลายหายไป กลายเป็นเคร่งขรึมจริงจัง!
นั่นเพราะป้ายศิลาประหลาดที่ปรากฏขึ้นในมือปีศาจมนุษย์หนุ่มเบื้องหน้า กลับทำให้พวกมันรู้สึกหวั่นหวาดในใจ ทั้งเหมือนถูกสะกดข่มไปถึงก้นบึ้งของวิญญาณ!
ราวกับในป้ายศิลาเล็กๆนั่น อัดแน่นไว้ด้วยพลังล้างโลก!