ตอนที่ 228-1 เดินทางถึงชนเผ่าลึกลับ
จวบจนกระทั่งช่วงครึ่งคืนหลัง ลมพายุในทะเลถึงได้ผ่านไปเสียที ทุกคนนั่งกันอยู่บนดาดฟ้าเรืออย่างเหนื่อยอ่อน เหลือแรงแค่พอหายใจเท่านั้น
เมื่อผ่านเรื่องนี้มา ทุกคนต่างมองเฉียวเวยกันใหม่ หัวหน้าคนเรือเป็นเจ้าของเรือลำนี้ เขาตามคนในบ้านไปออกเรือตั้งแต่อายุได้เจ็ดขวบ จนถึงวันนี้ก็สี่สิบกว่าปีมาแล้ว ใช่ว่าเขาไม่เคยพบเจอลมพายุลูกใหญ่กว่านี้มาก่อน แต่ทุกครั้งมักจบด้วยการมีคนตายหรือบาดเจ็บหนัก มีเพียงคืนนี้ที่นอกจากคนเรือไม่กี่คนที่บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ไม่มีใครเป็นอะไรมากอีก หากเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์เอง ชั่วชีวิตนี้คงไม่เชื่อว่าสตรีนางหนึ่งถึงขั้นช่วยชีวิตบุรุษทั้งลำเรือเอาไว้
นี่แทบจะ…ทำให้เขาไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดี
เฉียวเวยยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือเป็นครึ่งค่อนคืนจนเริ่มง่วงแล้วจริงๆ ถึงได้ค่อยๆ เดินกลับห้องตนเองไป ระหว่างทางตอนเดินผ่านหัวหน้าคนเรือ หัวหน้าคนเรือเรียกนางไว้ เอ่ยกับนางด้วยสำเนียบแปร่งๆ อย่างคนในเมืองเฟยอวี๋ว่า “นังหนู ไม่เลว”
เฉียวเวยฟังเข้าใจ จึงยิ้มน้อยๆ ตอบกลับ “ทุกคนทุ่มเทมาก”
…
หลังจากผ่านคืนนั้นมาก็ไม่เจอลมพายุอีกเลย อากาศแจ่มใสท้องฟ้าปรอดโปร่งติดกันหลายวัน ทิวทัศน์ในท้องทะเลงดงามจนน่าตกใจ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเข้มไม่มีอะไรมารบกวนสักนิด แม้แต่เมฆสักก้อนก็ยังไม่มี น้ำทะเลเป็นสีน้ำเงินอมเขียวทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตาจนไปเชื่อมต่อกับท้องฟ้า ลมทะเลพัดโชยอ่อนๆ พาให้จิตใจผ่อนคลาย
เฉียวเวยยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ มือจับขอบเรือเอาไว้ ทอดสายตามองทิวทัศน์ในทะเล นางมักรู้สึกว่าทิวทัศน์ที่งดงามเช่นนี้ไม่เหมือนความจริงเอาเสียเลย
แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเขาใครคนหนึ่งมายืนอยู่ข้างกายนาง บังแสงอาทิตย์ที่สาดเอียงลงมาที่นางเอาไว้
เฉียวเวยหันไปมองแล้วยิ้มน้อยๆ “นายน้อยก็ออกมาชมทิวทัศน์เช่นกันหรือ”
จีหมิงซิวมองผืนน้ำที่เป็นระลอกคลื่นสีเขียวเข้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “สวยอยู่ไม่น้อย”
เฉียวเวยยิ้มโปรยเสน่ห์ “เช่นนั้น ทิวทัศน์สวยหรือข้าสวยหรือ” นางไม่ลืมที่จะอ่อยเหยื่อสามีตนเอง
มุมปากจีหมิงซิวยกขึ้นเล็กน้อย “ย่อมเป็นเจ้าที่สวย”
รอยยิ้มเฉียวเวยพลันแข็งค้าง
รอยยิ้มตรงมุมปากจีหมิงซิวยังคงอยู่ น้ำเสียงเรียบเรื่อยสบายๆ “เฟิ่งเอ๋อร์ไม่ชอบที่ข้าชมเจ้าเช่นนี้หรือ”
เฟิ่ง เฟิ่งเอ๋อร์?!
ดวงตาเฉียวเวยพลันเบิกกว้าง “เมื่อครู่ท่านเรียกข้าว่าอะไรนะ”
“เฟิ่งเอ๋อร์” จีหมิงซิวหันไปหานาง สายตาขบขันหยุดมองที่ใบหน้าของนาง เวลาเขาไม่ยิ้มจะแผ่รัศมีความห่างเหินยากจะเข้าถึง แต่เมื่อใดที่ยิ้มออกมา จะดูคล้ายแสงแดดบนผิวน้ำที่ทอประกายและอบอุ่นมากที่สุด ทำให้คนหลงใหลจนมึนงงหาทางออกไม่ได้
เฉียวเวยอ้าปากแล้วหุบ หุบแล้วอ้าอยู่อย่างนั้น พักใหญ่ก็ยังพูดอะไรไม่ออก
จีหมิงซิวมองนางด้วยสายตาอบอุ่น “นี่เฟิ่งเอ๋อร์เป็นอะไรไป บนหน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือ”
เฉียวเวยพลันได้สติ สองตาเบิกกว้าง เอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ท่าน…ท่านมันคนชั่ว! ท่านแต่งงานแล้วนะ! เหตุใดถึงยังเกี้ยวพาราสีสตรีนางอื่นอีก!”
จีหมิงซิวตอบกลับใสซื่อ “ไม่ใช่เฟิ่งเอ๋อร์ที่ให้ท่าข้าก่อนหรือ”
ถึงแม้นั่นจะเป็นเรื่องจริง แต่…แต่เจ้าจะหลงกลนางไม่ได้!
เฉียวเวยอึกๆ อักๆ “ข้า…ข้า…ข้าให้ท่าท่าน…ท่านก็ต้องหลงเสน่ห์ข้าหรือ นั่นข้ากำลัง…กำลังทดสอบท่านแทนฮูหยินน้อยต่างหาก! ท่าน…ท่านจะทำเรื่องที่ผิดต่อฮูหยินน้อยจริงๆ ได้อย่างไร!”
จีหมิงซิวถอนหายใจเบาๆ “คืนใบไม้ผลิช่างแสนสั้น ค่ำคืนยามเดินทางช่างเปล่าเปลี่ยว”
เฉียวเวยเดือดดาลจัด “เลวทราม!”
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยความหนักใจว่า “เฟิ่งเอ่อร์ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากได้ตัวข้า เหตุใดต้องปากกับใจไม่ตรงกันเช่นนี้”
“ข้า…”
จีหมิงซิวยกมือเรียวยาวประหนึ่งหยกของตนขึ้นเชยคางอีกฝ่ายเบาๆ สายตาหวานเชื่อมประหนึ่งมึนเมาในรสสุราหมักดอกเถาสิบลี้ “เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าดูสิ หน้าเจ้าแดงหมดแล้ว”
น้ำเสียงเขาน่าฟังจนต้องหลงใหล หนำซ้ำวันนี้ยังตั้งใจโปรยเสน่ห์เข้าไปอีกหลายส่วน หน้าของเฉียวเวยจึงแทบจะแดงก่ำในทันตา ไม่รู้เพราะเขินอายหรือเพราะความโกรธ
เฉียวเวยกัดริมฝีปาก ถลึงตาใส่อีกฝ่ายด้วยความโกรธเกรี้ยว “ท่านไม่กลัวว่ากลับไปข้าจะฟ้องเรื่องของท่านหรือ”
จีหมิงซิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มเป็นที่สุดว่า “เจ้าไม่ทำอย่างนั้นหรอกเฟิ่งเอ๋อร์ ข้ารู้จักเจ้าดี”
“ท่านๆๆๆ…”
ท่านถึงขั้นเข้าใจ “ข้า” ดี?!
ใจดวงน้อยๆ ของเฉียวเวยได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก ในหัวมีภาพเฟิ่งชิงเกอกับจีหมิงซิวแสดงฉากน้ำเน่าพรอดรักกันต่างๆ นานา ใจนึกหึงหวงขนานหนักจนไม่อยากพูดอะไรกับเขาอีก!
เฉียวเวยเดินกระฟัดกระเฟียดลงจากดาดฟ้าเรือ ก็บังเอิญเจอกับเซวียหรงหรงที่เพิ่งออกมาจากห้องเยี่ยนเฟยเจวี๋ยพอดี เซวียหรงหรงกำลังคิดจะทักทายนาง ก็เห็นนางเดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงเข้าห้องไป เซวียหรงหรงงุนงงไปหมด ไม่เข้าใจว่าฮูหยินเป็นอะไร นางเดินขึ้นดาดฟ้าเรือไปเก็บเสื้อผ้าที่ตากแห้งแล้วก็เห็นจีหมิงซิวยืนอยู่ตรงหัวเรือคนเดียว มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
…
หลังจากเดินเรือมาได้เจ็ดวัน เรือก็มาถึงเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ดูว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน ไซน่าอิงให้ทุกคนขนสัมภาระลงจากเรือแล้วหันไปพูดคุยกับหัวหน้าคนเรือสองสามประโยค จากนั้นหัวหน้าคนเรือก็แล่นเรือกลับไปทางเดิม
เฉียวเวยยืนอยู่บนหาดทรายที่ถูกแดดส่องจนร้อนจัด เมื่อหันหน้าเข้าหาเกาะแล้วทอดสายตามองไป เห็นเพียงป่ารกชัดดูอึมครึมผืนหนึ่ง นางลดมือที่บังแดดไว้ลง “ชนเผ่าของพวกเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่หรือ”
มองอย่างไรก็ดูเป็นเกาะร้าง ชนเผ่าลึกลับที่มีชื่อเสียงเป็นที่น่าเกรงขาม คงไม่ได้ตั้งอยู่ในเกาะเล็กๆ กลางทะเลลึกเช่นนี้กระมัง
ที่บอกว่าคนนอกไม่อาจเข้ามาได้ แต่เรือลำเมื่อครู่ไม่ได้มาถึงที่นี่แล้วหรอกหรือ
หากพวกเขากลับไปบอกกับคนอื่น เขาก็พาคนนอกมาเยี่ยมชมที่นี่ได้แล้วไม่ใช่หรือ
ไซน่าอิงคล้ายเดาความสงสัยในใจของเฉียวเวยได้ จึงบอกว่า “ยังต้องเดินเท้าต่ออีกระยะหนึ่ง คืนนี้ปักหลักพักกันที่นี่ก่อน พรุ่งนี้เจ้าค่อยออกเดินทาง”
พวกจีอู๋ซวงทั้งสามค้นเอากระโจมออกมากางลงบนหาดทรายในจุดที่ไม่ไกลจากทะเลนัก และไม่ใกล้ป่าจนเกินไป กระโจมมีเพียงสามหลัง เฉียวเวยกับจีหมิงซิวหลังหนึ่ง เซวียหรงหรงหลังหนึ่ง คนที่เหลืออย่างจีอู๋ซวง อี้เชียนอิน เยี่ยนเฟยเจวี๋ยกับไซน่าอิงทำได้แค่นอนเบียดกัน
จีอู๋ซวงกับเยี่ยนเฟยเจวี๋ยนอนครึ่งคืนแรก ไซน่าอิงกับอึ้เชียนอินนอนครึ่งคืนหลัง ในกระโจมจะได้มีพื้นที่พอ ซ้ำยังเป็นการจัดเวรเฝ้ายามไปในตัวด้วย
อาหารแห้งพวกเขากินกันบนเรือจนหมดแล้ว เซวียหรงหรงจึงไปจับทากทะเลกับปูทะเลตัวเล็ก เฉียวเวยพับแขนเสื้อจับปลาทะเลตัวเล็กมาได้หลายตัว แต่ก็ยังไม่พอกิน ปริมาณอาหารที่บุรุษเหล่านั้นต้องการมากจนน่าตกใจจริงๆ
เฉียวเวยจึงกระโดดลงทะเล
เซวียหรงหรงหน้าถอดสี “ฮูหยินน้อย!”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่รู้มาปรากฏตัวอยู่หลังนางตั้งแต่เมื่อไร เขาเอ่ยปลอบว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง นางว่ายน้ำเก่งนัก” เขาจำได้ว่าเฟิ่งชิงเกอโตอยู่ริมแม่น้ำ จึงว่ายน้ำเก่งยิ่งนัก
เซวียหรงหรงเลยเบาใจ นางเอาถุงผ้าที่ใส่ทากทะเลกับปูส่งให้อีกฝ่าย “ท่านเอาไปก่อน ข้าจะไปจับต่ออีกนิด”
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยไม่ได้เอาถุงไป แต่ดึงเสื้อตัวบนของตนออกมาแบ่งเอาทากทะเลกับปูจากนางไป ชั่วขณะที่หมุนตัวกลับไปนั้น เขาเผอิญเหลือบไปเห็นผิวตรงหน้าท้องที่โผล่พ้นสาบเสื้อออกมา ผิวนางขาวผ่องราวกับหยก เล่นเอาลมหายใจเขาปั่นป่วนทันที!
เขาหันไปคว้าของทะเลที่อยู่ข้างกายอย่างทำอะไรไม่ถูก มือจับถูกปูทะเลตัวเล็กตัวหนึ่ง เจ้าปูตัวนั้นใช้ก้ามหนีบนิ้วเขาอย่างไร้ปราณี!
ซี๊ด!
เยี่ยนเฟยเจวี๋ยสูดเอาอากาศเย็นๆ เข้าปอด คิดอยากจะบี้เจ้าตัวแสบให้เละเป็นโจ๊ก แต่เมื่อคิดได้ว่าเซวียหรงหรงเป็นคนจับมา เขาก็จับมันวางลงไปแต่โดยดีดังเดิม
เฉียวเวยดำลงทะเลไปจับกุ้งตัวใหญ่มาได้สองตัว หอยกาบเจ็ดแปดตัว หลังจากนั้นก็กลับขึ้นผิวน้ำมาเก็บหอยแมลงภู่ตรงโขดหินอีกกองใหญ่
อี้เชียนอินเข้าป่าไปจับกระต่ายป่ามาได้ตัวหนึ่ง
ไซน่าอิงไม่ได้ร่วมหาอาหารด้วย สีหน้าเขาดูรู้สึกผิด จึงขันอาสาเป็นพ่อครัวให้ เขาใช้หินมาก่อเป็นเตา จุดไฟ เอาน้ำสะอาดสำหรับกินดื่มมาล้างให้สะอาด แล้ววางลงไปย่างบนหิน ส่วนเนื้อกระต่ายเอาเสียบไม้พาดอยู่เหนือกองไฟ ด้านหนึ่งปิ้งไฟอีกด้านก็ไม่ลืมสาดเครื่องปรุงลงไปด้วย
กลิ่นหอมจากอาหารทะเลและเนื้อกระต่ายค่อยๆ ลอยขึ้นมา ทุกคนจึงเริ่มท้องร้อง
พอทำทุกอย่างเสร็จ เยี่ยนเฟยเจวี๋ยก็ฉีกขากระต่ายส่งให้เซวียหรงหรงก่อนใครเพื่อน จากนั้นจึงฉีกขากระต่ายอีกข้างส่งให้จีหมิงซิวท่ามกลางสายตาขุ่นเคืองจนแทบอยากฉีกเขาเป็นชิ้นๆ ของอี้เชียนอินกับจีอู๋ซวง เฉียวเวยก็ได้ขากระต่ายมาข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งไซน่าอิงแย่งไปได้ จีอู๋ซวงเลยตัดเนื้อส่วนอกไปสองชิ้น ชิ้นหนึ่งให้ตนเอง อีกชิ้นส่งให้อี้เชียนอิน
ทุกคนกัดเนื้อกระต่ายกันอย่างเอร็ดอร่อยด้วยใจที่นึกขอบคุณ จากนั้นตาทุกคนก็เบิกกว้าง ก่อนจะรีบคายออกมา
แม่เจ้า นี่มันอาหารคนกินหรือนี่
หมูยังกลืนไม่ลงเลย
ไซน่าอิงกินอย่างเอร็ดอร่อย เขารู้สึกว่าฝีมือการทำอาหารของตนก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว แทบจะวัดฝีมือกับพ่อครัวในวังได้เลยทีเดียว
หลังจากนั้นไซน่าอิงยังคิดจะปิ้งของให้ทุกคนกินเพิ่มอีก ทุกคนรีบปฏิเสธ
เยี่ยนเฟยเจวี๋ย “เจ้าเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทาง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้พวกเราจัดการเถอะ พวกเราทำเองดีกว่า!”
อี้เชียนอิน “ใช่ๆ เจ้ายังต้องนำทางอีก เจ้าต้องรักษาสภาพร่างกายเอาไว้!”
เฉียวเวย “บุรุษอกสามศอก จะให้มาทำงานเยี่ยงสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร”
ไซน่าอิงตอบด้วยน้ำเสียงเป็นมิตรอย่างที่น้อยครั้งจะได้ยินว่า “ไม่เป็นไร ข้าชอบงานครัว ทำอาหารให้คนกินเป็นเรื่องน่ายินดีกว่าการฆ่าคนมากัก”
ทุกคนจึงพูดพร้อมกันว่า “พวกเราชอบกินดิบๆ!”
ดังนั้นทุกคนจึงฝืนกินอาหารทะเลดิบๆ กองโตลงท้อง ท่ามกลางสายตางุนงงของไซน่าอิง
…