บทที่ 958 ศัตรูของเหล่าสรรพสิ่ง ร่างจำแลงสูงสุด

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 958 ศัตรูของเหล่าสรรพสิ่ง ร่างจำแลงสูงสุด

หานเจวี๋ยยังอยู่ระหว่างปิดด่าน แต่แจ้งเตือนที่เด้งขึ้นมาอย่างกะทันหันได้ขัดจังหวะการฝึกบำเพ็ญของเขา

[จอมอริยะเสวียนตูสหายของท่านเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

[หานทั่วบุตรชายของท่านเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

[หานฮวงบุตรชายของท่านเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

[โจวฝานศิษย์ของท่านเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

[จี้เซียนเสินศิษย์ของท่านเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

[เจียงเจวี๋ยซื่อศิษย์ของท่านเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

[หวงจุนเทียนสหายของท่านเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

….

แจ้งเตือนความเกลียดชังแถวแล้วแถวเล่าเด้งขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ไม่ได้มีเพียงแต่สหายเท่านั้น ยังมีรายชื่ออีกมากมายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว เจตจำนงฟ้าบุพกาลเริ่มลงมือแล้วหรือ

เขาเรียกหน้าต่างค่าสถานะออกมาตรวจสอบดู ตอนนี้เขาเพิ่งอายุ 10,372,308 ปีเท่านั้น ยังเหลือเวลาอีกกว่าสี่แสนปีหนังสือยอดชะตาถึงจะใช้งานได้อีกครั้ง

ภัยพิบัตินี้มาเยือนเร็วเกินไป ทำให้เขาค่อนข้างตั้งตัวไม่ทัน

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง

ผู้ที่เคยผ่านการสยบจากคุกสวรรค์อนธการล้วนไม่เกิดความเกลียดชังเลย

ดูเหมือนคุกสวรรค์อนธการจะยังคงยอดเยี่ยมมาก สามารถป้องกันอิทธิพลจากเจตจำนงฟ้าบุพกาลได้

หานเจวี๋ยรับรู้ได้ว่าสิงหงเสวียนและชิงหลวนเอ๋อร์ล้วนเกิดความเกลียดชังระดับหกดาวแล้ว แต่เหล่าศิษย์ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามกลับไม่ได้เปลี่ยนไป เนื่องจากจักรวาลดาราแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยหานเจวี๋ย พวกเขาอยู่ในอาณาเขตเต๋าแห่งนี้มาตั้งแต่ก่อนจะถือกำเนิด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับฟ้าบุพกาล

หานเจวี๋ยถอนหายใจคราหนึ่ง ออกไปผนึกสิงหงเสวียนและชิงหลวนเอ๋อร์ไว้

จากนั้นเขาไปเข้าฝันบุคคลที่ผ่านการสยบทาสจากคุกสวรรค์อนธการ แจ้งเรื่องเจตจำนงฟ้าบุพกาลให้ทราบ ให้พวกเขาปกปิดไว้ให้ดี เรื่องนี้ยกให้เป็นหน้าที่เขาเอง

บุคคลที่ผ่านการสยบทาสจากคุกสวรรค์อนธการได้แก่ บรรพจารย์ซานชิง เทพสูงสุดอู๋ฝ่า ฉิวซีไหล เจ้านิกายเทียนเจวี๋ย มหาจักรพรรดิเทียนเอ้อ ฟางเหลียง ผานซิน สวีตู้เต้า มหาอริยะสวีหุน นักพรตเต๋าเสินเผา หงหยวน หยางเช่อ เทพมหาทัณฑ์และปรมาจารย์ฟ้าทลาย

ปรมาจารย์ฟ้าทลายก็อยู่ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามเช่นกัน ขณะนี้ยังไม่ได้รับมอบหมายหน้าที่ใดๆ จากหานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยเข้าฝันเทพมหาทัณฑ์เป็นรายสุดท้าย ถือโอกาสสอบถามเรื่องราวบางอย่างจากเทพมหาทัณฑ์ด้วย

ในแดนความฝัน

เทพมหาทัณฑ์ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจตจำนงฟ้าบุพกาล น่ากลัวจริงๆ ทั่วฟ้าบุพกาลนี้เว้นเพียงแต่สิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยได้ยินนามของท่านแล้ว ที่เหลือล้วนเกลียดชังในตัวท่านกันหมด อีกทั้งต้องการสู้จนตัวตายด้วย หากคิดจะเปลี่ยนแปลง จะต้องเอาชนะดวงชะตาฟ้าบุพกาลให้ได้ถึงครึ่งหนึ่ง ยิ่งตบะแก่กล้าแค่ไหน ยิ่งดวงชะตามากมายเพียงใด ก็แปลว่าท่านจะต้องเอาชนะผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อเสียงทั้งหมดในฟ้าบุพกาลให้ได้ถึงจะแก้สถานการณ์นี้ได้”

หานเจวี๋ยพลันกระจ่างขึ้นมาในทันใด มิน่าเล่าความคิดที่ชนรุ่นหลังมีต่อผานกู่และบรรพชนเต๋าถึงหลงเหลือความเคารพเลื่อมใสอยู่ แปลว่าสองคนนี้ทำลายรูปการณ์ได้สำเร็จ

“ไม่ถูกสิ เช่นนั้นผานกู่และบรรพชนเต๋าพ่ายแพ้ได้อย่างไร” หานเจวี๋ยขมวดคิ้วเอ่ยถาม

เทพมหาทัณฑ์กล่าวว่า “นี่เป็นเพียงการทำลายรูปการณ์ที่ถูกสรรพสิ่งจ้องเอาชีวิตเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเขาน่าจะต้องเผชิญกับบางอย่างต่อ เป็นเหตุให้ผานกู่สละตน บุกเบิกฟ้าดินขึ้น ส่วนบรรพชนเต๋าก็หมกตัวอยู่ในมรรคาสวรรค์ มรรคาสวรรค์แยกตัวสันโดษจากฟ้าบุพกาล หากว่ามรรคาสวรรค์พัฒนารุ่งเรืองอย่างต่อเนื่องมาตลอด คงกลายเป็นศูนย์กลางของฟ้าบุพกาลไปนานแล้ว กลายเป็นดินแดนสุดแข็งแกร่ง”

หานเจวี๋ยสั่งว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่งเรื่องของข้า เจ้าดูแลจัดการฟ้าบุพกาลต่อไปก็พอ”

“ท่านมีความมั่นใจหรือไม่ขอรับ”

“มี”

แดนความฝันสิ้นสุดลง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เขาเคลื่อนย้ายมาที่อาณาเขตเต๋าหลัก พบว่าอารามเต๋าของตนถูกปิดล้อมไว้แล้ว

ปัจจุบันนี้เขตเซียนร้อยคีรีมีจำนวนศิษย์ทะลุหลักร้อยล้านไปนานแล้ว ศิษย์ทั้งหมดล้วนต้องการบุกเข้ามาในอารามเต๋าของเขา แต่พลังของอาณาเขตเต๋าที่ได้มาจากระบบกลับทำให้พวกเขาอับจนหนทาง

ไม่ใช่แค่ในเขตเซียนร้อยคีรีเท่านั้น นอกเขตเซียนร้อยคีรีก็คึกคักมากเช่นกัน

ผู้บำเพ็ญทยอยเดินทางมาถึงอย่างต่อเนื่อง

หานเจวี๋ยสบถถึงความน่าหวาดกลัวของเจตจำนงฟ้าบุพกาลอยู่ในใจ ไม่มีผู้ใดเป็นตัวตั้งตัวตีเลย สรรพสิ่งล้วนมาด้วยตัวเอง ที่สำคัญคือสรรพสิ่งเหล่านี้ไม่รับรู้ถึงจุดนี้เลยแม้แต่น้อย ในความทรงจำของพวกเขา ต่างมีความชิงชังคั่งแค้นต่ออริยะสวรรค์เกรียงไกรสุดหัวจิตหัวใจ ไม่อาจลบเลือนไปได้

เพียงพวกเขาได้ยินว่าสรรพสิ่งในใต้หล้าต้องการกำจัดอริยะสวรรค์เกรียงไกร ถึงได้เดินทางมา

ส่วนใครเป็นผู้ริเริ่มนั้น สรรพสิ่งพูดต่างกันไป

หานเจวี๋ยมองไปยังชั้นฟ้าที่สามสิบสาม เหล่าอริยะมารวมตัวกันในตำหนักเอกภพ กำลังหารือกันว่าจะโจมตีเขตเซียนร้อยคีรีอย่างไรดี แล้วจะกำจัดอริยะสวรรค์เกรียงไกรเช่นใด

เขารู้สึกขบขันนัก ราวกับเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังวางแผนกันอย่างลับๆ ว่าจะตอบโต้ผู้ใหญ่อย่างไร แต่ไม่รับรู้เลยว่าผู้ใหญ่กำลังแอบฟังอยู่นอกหน้าต่าง

ในเวลานี้เอง หานเจวี๋ยรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายแกร่งกล้าสายแล้วสายเล่าที่กำลังสอดส่องลงมายังมรรคาสวรรค์

ยอดมหามรรค!

ในบรรดานั้นอุดมไปด้วยตัวตนระดับยอดมหามรรคระยะสมบูรณ์!

จำเป็นต้องกล่าวเลยว่ารากฐานของฟ้าบุพกาลแกร่งกล้ามาจริงๆ

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘หากข้าเอาชนะผู้แข็งแกร่งฟ้าบุพกาลทั้งหมดได้ จะเกิดอะไรขึ้น’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยแสนล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[เผชิญหน้ากับเจตจำนงฟ้าบุพกาล]

‘หากเผชิญหน้ากับเจตจำนงฟ้าบุพกาล ข้าจะตายหรือไม่’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยแสนล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[มีความเสี่ยงจะดับสูญสี่สิบเปอร์เซ็นต์]

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

อันตรายขนาดนี้เชียวหรือ

เขาเคลื่อนย้ายกลับมายังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามอีกครั้ง ถามในใจว่า ‘ข้าอยากเห็นฉากที่ข้าเผชิญหน้ากับเจตจำนงฟ้าบุพกาล’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยแสนล้านล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

เหตุใดยังหักอายุขัยอีกเล่า

โดยพื้นฐานแล้วคำถามนี้ไม่แตกต่างจากคำถามก่อนหน้านี้เลยมิใช่หรือ

หานเจวี๋ยสบถในใจ ทว่ายังคงเลือกดำเนินการต่อ

จิตรับรู้ของเขาเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ

เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาปรากฏตัวขึ้นเหนือมหามรรคสามพันวิถี

เขามองเห็นตัวเองกำลังเงยหน้ามองเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดอยู่

เจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดแผ่แสงเจิดจ้าแยงตา บิดส่ายสั่นไหวรุนแรง กลายเป็นเงาร่างเจ็ดร่าง

สองเงาร่างในบรรดานั้นมีรูปร่างหน้าตาเหมือนหวงจุนเทียนและชิงเทียนเสวียนจี ซ้ำยังมีเงาร่างหนึ่งที่ดูเหมือนขุนพลศักดิ์สิทธิ์ด้วย แต่มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจน

ร่างแปลงของอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรค!

นี่คือฉากต่อสู้ที่ข้าต้องเผชิญหน้าหรือ

หานเจวี๋ยตรวจจับรัศมีของเจ็ดร่างนี้อย่างละเอียด ล้วนไม่อ่อนด้อยไปกว่าดวงจิตบรรพกาลและเซียนพเนจรเลย

แข็งแกร่งนัก!

“อริยะสวรรค์เกรียงไกรหานเจวี๋ย เจ้าเป็นตัวประหลาด วิญญาณต้นกำเนิดหาได้มาจากฟ้าบุพกาลไม่ ฟ้าบุพกาลยอมรับเจ้าไว้ ทว่าเจ้ากลับก่อกวนดวงชะตาฟ้าบุพกาลหลายต่อหลายครั้ง เจ้าทราบความผิดหรือไม่”

น้ำเสียงทรงอำนาจเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น เย็นชาอย่างยิ่ง หานเจวี๋ยไม่เคยได้ยินเสียงนี้มาก่อนเลย

หานเจวี๋ยในอนาคตที่อยู่เบื้องหน้าเปิดปากเอ่ยตอบว่า “ปกติแล้วข้าปิดด่านเพียรบำเพ็ญเสมอ ไม่ออกไปต่อสู้กับผู้ใด ศัตรูทั้งหมดที่ข้าสังหารก็หาใช่คนที่มือไม่เคยเปื้อนเลือด ข้าไม่เคยสังหารผู้บริสุทธิ์ไร้ความผิด ยิ่งไม่เคยคิดครอบครองอำนาจแห่งฟ้าบุพกาลด้วย มีความผิดที่ใดเล่า”

เสียงทรงอำนาจดังขึ้นมาอีกครั้ง “ทุกคนที่เจ้าสังหาร ล้วนเป็นผู้ที่ชะตาไม่ถึงฆาต ในบรรดาพวกเขามีทั้งว่าที่ผู้สร้างมรรคาในอนาคต มีทั้งผู้ผลักดันชะตามหาเคราะห์และมีทั้งผู้ที่จะสร้างคุณงามความดี แต่เพื่อปกป้องผู้คนรอบกายแล้วเจ้ากลับลงมือสังหารสิ่งมีชีวิตไปนับไม่ถ้วน ความผิดบาปนี้ยากจะประเมินค่าได้”

หานเจวี๋ยหัวเราะดังลั่น “น่าขันเสียจริง เคลื่อนไหวเล็กน้อยจะสะเทือนไปทั่วกายาได้หรือ จะยัดเยียดข้อหามากมายไปไย เข้ามาเลย ให้ข้าได้รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของเจตจำนงฟ้าบุพกาลสักหน่อย วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าหุบปากเสีย!”

ร่างจำแลงเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดพุ่งลงมาหาหานเจวี๋ย มหามรรคสามพันวิถีที่อยู่ด้านล่างก็พุ่งทะยานขึ้นมา สานถักทอกันเป็นตาข่ายที่ใหญ่ไพศาล หมายจะผูกมัดหานเจวี๋ยไว้

หานเจวี๋ยรับชมการต่อสู้ด้วยความประหม่า

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป หานเจวี๋ยในอนาคตทำลายร่างจำแลงเจ็ดกฎเกณฑ์สูงสุดได้ ทรงพลังเลิศล้ำ

หานเจวี๋ยจำเป็นต้องยอมรับเลยว่าจากมุมมองของผู้ชมแล้ว ตัวเขางามสง่ามากจริงๆ

ทว่า เรื่องราวมิได้จบลงเท่านี้!

………………………………………………………………