ตอนที่ 242 โชคชะตาผันแปร
วันต่อมา เฉียวเวยตื่นมาพร้อมความสบายเนื้อสบายตัวและอิ่มเอมอย่างยิ่งยวด เมื่อวานที่ถูกพวกตัวปลอมทำให้ไม่พอใจก็มลายหายไปพร้อมกับความสุขสันต์ มิน่าเล่าถึงมีคนหมกมุ่นแต่กับเรื่องเหล่านี้ ช่างน่าอภิรมย์ยิ่งนัก
ซาลาเปาน้อยทั้งสองตื่นแล้ว เวลานี้กำลังนั่งเล่นกับจีหมิงซิวอยู่บนพรมขนแกะ พวกเขาคงกลัวว่าจะรบกวนนาง จึงเล่นกันเบาแสนเบา แต่ดูออกว่าพวกเขากำลังสนุกสนาน มีรอยยิ้มกระจ่างเต็มใบหน้า
พอลืมตาขึ้นมาก็ได้เห็นภาพที่น่าอบอุ่นเช่นนี้ จึงรู้สึกอ่อนยวบในใจ
มุมปากของเฉียวเวยยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
จีหมิงซิวสังเกตได้ถึงสายตาของนางจึงหันหน้าไปมองด้วยสายตาอันอบอุ่นเจือแววกรุ้มกริ่มที่ยากจะอธิบายอยู่หลายส่วน “ตื่นแล้วหรือ”
เฉียวเวยถูกโปรยเสน่ห์ใส่โดยไม่รู้ตัว ใจจึงเต้นระส่ำ แต่แล้วจู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนตนนอนดูเหมือนจะไม่ได้ใส่เสื้อผ้า จึงรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิด พอลองลูบดูถึงได้รู้ว่านางใส่อยู่แล้ว
จีหมิงซิวยิ้มเจ้าเล่ห์
ซาลาเปาน้อยสองคนนี้สิ่งแรกที่ทำตอนตื่นมาก็คือซุกเข้าไปกอดนาง เขาจะให้เจ้าเด็กแสบสองคนเห็นเรือนร่างของนางได้อย่างไร
มุมปากเฉียวเวยยกสูงหนักขึ้น กดอย่างไรก็กดไม่อยู่
มื้อเช้า เฉียวเจิงตุ๋นน้ำแกงเห็ดลูกชิ้นเนื้อ ถึงแม้เขาจะรับปากให้เฉียวเวยเป็นคนทำ แต่สุดท้ายด้วยความรักบุตรสาว ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็เข้าห้องครัวไปวุ่นอยู่ในครัวแล้ว
ฝีมือของเฉียวเจิงย่อมเทียบกับเฉียวเวยไม่ได้ แต่หากเทียบกับไซน่าฮูหยินกับไซน่าอิง นั่นเรียกว่าทิ้งห่างไปเป็นสิบช่วงถนนทีเดียว
คนชนเผ่าถ่าน่าก็ไม่รู้เป็นอะไรกัน ทุกคนชอบการทำอาหารกันหมด แต่กระนั้นก็ทำได้ยากจะกลืนกินเหลือเกิน เฉียวเจิงกินอาหารของปราสาทไซน่าไปหลายครั้ง กินจนเกือบรู้สึกสงสัยในตัวเอง สุดท้ายทนไม่ไหวถึงได้ทำใจกล้าขอห้องครัวเล็กๆ จากไซน่าฮูหยิน พอได้มา คณะของเฉียวเวยก็นับว่าได้ปลดแอกเสียที
ลูกชิ้นเนื้อเพิ่งตีสดๆ เส้นบะหมี่ก็ทำใหม่ พอเข้าปากแล้วสดชื่น กลิ่นหอมเนื้อละเอียด รถเค็มกำลังพอดี แค่ใส่ขิงซอยกับต้นหอมสักหน่อยก็อร่อยเลิศจนแทบจะกลืนลิ้นลงไปด้วย
ทุกคนกินกันจนอิ่มหนำ ก่อนจะพบไซน่าฮูหยินที่โถงรับแขก
ไซน่าฮูหยินใบหน้าแดงระเรื่อ ต่างกับคนเมื่อวานที่หน้าดำคร่ำเครียดโดยสิ้นเชิง เฉียวเวยมองเฉียวเจิงด้วยสายตาประหลาด เฉียวเจิงหันไปส่งสายตาประหลาดต่อให้จีหมิงซิว จีหมิงซิว… จีหมิงซิวเดินออกไปนิ่งๆ “ไซน่าฮูหยิน”
ไซน่าฮูหยินสีหน้ายินดี “พวกเจ้ามาแล้ว พอดีเลย ข้ากำลังคิดจะไปหาพวกเจ้าอยู่พอดี!”
“มีเรื่องน่ายินดีอะไรหรือ” จีหมิงซิวถามด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม
ไซน่าฮูหยินเอ่ยว่า “ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีแน่! เช้านี้ข้าไปที่ปราสาทเฮ่อหลันด้วยตัวเองมา ข้าได้พบเหอจั๋ว เหอจั๋วไม่เป็นอะไรมากแล้ว เขาว่าเดิมทีเมื่อวานควรประลองกันต่อ แต่ก็จนใจที่เขามาป่วยเสียกลางงาน วันนี้เลยจะให้พวกเจ้าประลองกันอีกรอบหนึ่ง!”
เฉียวเวยถึงกับอึ้งไป “ยังจะประลองอีก?” เมื่อวานนางโชคร้ายถึงขั้นเกือบสงสัยในตัวเอง ถ้าวันนี้ให้จับฉลากอีก อย่าได้เอาฉินหมากภาพวาดหรือท่องบทแต่งกลอนอะไรมาให้นางอีกนะ
จีหมิงซิวตบไหล่นาง “มีให้ประลองย่อมดีกว่าไม่มีให้ประลอง ถึงอย่างไรก็คงไม่เลวร้ายไปกว่านี้แล้ว”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “ที่ท่านว่าก็จริง แพ้ทุกอย่างราบคาบก็ผ่านมาแล้ว ยังมีอะไรที่ข้าจะแพ้ไม่ได้อีก อย่างมากก็แค่แพ้อีกสักรอบเท่านั้น!”
คณะของพวกเขาขึ้นรถม้าไปที่ลานประลอง อาจเพราะเมื่อวานครอบครัวหนึ่งแสดงความสามารถออกมาได้ “ดีเลิศ” เกินไป วันนี้ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็มีชาวบ้านบนเกาะจำนวนไม่น้อยมุ่งหน้ามาที่นี่กันตามเสียงลือเสียงเล่าอ้าง อยากจะมาให้เห็นกับตาว่าคนที่อ่อนด้อยทั้งฉินหมากภาพวาดแต่ยังกล้ามาอ้างตนว่าเป็นจั๋วหม่าน้อยนั้น หน้าตาเป็นอย่างไร แน่นอนว่ายังอยากเห็นเด็กชายที่กินอาหารได้น้อยกว่าเด็กหญิง รวมถึงเด็กอวบอ้วนที่ท่องกล่อนได้เพียงบทเดียวด้วย ได้ข่าวว่ายังมีหมอเทวดาที่แค่เข้าสู่ลานประลองก็เป็นลมไปทันทีอีกคน นับเป็นเรื่องน่าขันอย่างยิ่งยวดทีเดียว
คณะของเฉียวเวยพอลงจากรถม้า ก็ได้รับสายตา “เผ็ดร้อน” จากทั่วสารทิศทันที พวกเขาเคยถูกด่าว่าเอาหนังไปทำรองเท้ากับลูกไม่มีพ่อมาแล้ว สายตาเยาะหยันเพียงเท่านี้ แทบไม่ทำให้พวกเขารู้สึกอะไรเลยจริงๆ
คณะของพวกเขาเดินเข้าลานประลองไปอย่างองอาจผึ่งผาย
เมื่อได้เห็นท่าทางเย่อหยิ่งของพวกเขา สตรีนางนั้นที่เพิ่งลงจากรถม้าก็ยกมุมปากขึ้นด้วยความดูแคลน ความตายอยู่ตรงหน้าแล้วยังจะตบหน้าตัวเองจนบวมเป่งอีก ช่างน่าหัวเราะให้ฟันร่วงนัก!
ด้วยความสามารถที่พวกตัวปลอมแสดงออกมาเมื่อวาน ทำให้ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยมีความประทับใจในตัวพวกนางที่เปลี่ยนไป พอนางเดินเข้ามาสู่สายตาทุกคน ทุกคนก็ทยอยเอามือขวาแตะหัวไหล่ซ้าย ทำความเคารพนางอย่างนอบน้อม
นางหันไปส่งยิ้มน้อยๆ พร้อมพยักหน้าให้ทุกคน จึงพลันเรียกเสียงฮือฮาขึ้นได้ทันที
จำต้องบอกว่าบางครั้งการมีอำนาจก็เป็นเรื่องดี เพราะหากนางไม่ได้เป็นจั๋วหม่าน้อยแห่งชนเผ่าถ่าน่า เกรงว่าชาตินี้คงไม่มีใครมองนางด้วยสายตาเคารพเลื่อมใสเช่นนี้
สตรีนางนั้นติดใจกับการเป็นจั๋วหม่าน้อยเสียแล้ว นางพาบิดากับบุตรทั้งสองของนางเดินขึ้นระเบียงชั้นสอง
พวกเขายังคงนั่งลงข้างกายเหอจั๋ว
ดื่มด่ำกับการปรนนิบัติระดับจั๋วหม่าน้อย
ตระกูลปี้หลัวพลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย ตำแหน่งที่นั่งจึงอยู่ใกล้กว่าตระกูลไซน่าหลายก้าว
ไซน่าฮูหยินมองภาพที่เห็นด้วยสายตาดุดัน เพียงกรอกตาบนโดยไม่ได้พูดอะไร นางเชื่อมั่นในบุตรชายของตน เชื่อมั่นว่าจั๋วหม่าน้อยที่เขาตามหามาต้องได้รับการยอมรับจากเหอจั๋วแน่
คณะของเฉียวเวยนั่งลง สาวใช้ลดผ้าม่าน ผ้าม่านนี้จัดทำขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ จากข้างนอกมองมาจะเห็นเพียงเลือนลาง แต่มองจากข้างในกลับชัดเจนแจ่มแจ๋ว
เฉียวเวยเห็นสีหน้าได้ใจของใครบางคน กับตอนที่ใครบางคนรินชาให้เหอจั๋ว ความรู้สึกเอ็นดูอันยากจะปกปิดก็พวยพุ่งขึ้นมา นางส่ายหน้าเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เข้าถึงบทบาทเกินไปก็นับว่าป่วยได้นะ เจ้าตัวปลอม!
วันนี้ยังคงเริ่มต้นโดยการให้ผู้อาวุโสใหญ่พูดเปิดให้บรรยากาศในงานคึกคัก นางกำนัลชิงเหยียนถือกล่องใส่หัวข้อต่างๆ เข้ามาวาง หลังจากจบงานเมื่อวาน กล่องหัวข้อนี้มีการเอากระดาษมาคาดปิดผนึกไว้ นางให้นายท่านทั้งหลายตรวจสอบกันรอบหนึ่ง เมื่อมั่นใจแล้วว่ากระดาษที่ปิดผนึกไว้ไม่มีใครมาแตะต้อง ถึงได้ถือกล่องนั้นไปตรงหน้าเหอจั๋ว
เหอจั๋วเปิดผนึกออกแต่กลับไม่จับฉลากเอง แต่เรียกให้จิ่งอวิ๋นตัวปลอมมาจับฉลากหัวข้อการประลองให้ – หอสอยดาว ไข่มุกจันทร์กระจ่าง
ทุกคนได้ฟังก็พากันหยุดหายใจ ภายในลานประลองที่อึกทึกพลันเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด แต่ไม่นานก็เกิดเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง
เฉียวเวยไม่เคยมาที่ชนเผ่าถ่าน่า ไม่รู้ว่าหอสอยดาวอยู่ที่ใด ไข่มุกจันทร์กระจ่างคืออะไร แต่ดูจากสีหน้าตื่นตกใจของทุกคนแล้ว น่ากลัวว่าคงจะไม่ใช่อะไรที่ได้มาง่ายๆ
ไม่นานนางก็ได้รู้คำตอบจากปากของจีหมิงซิว ของที่ได้มาไม่ง่ายอะไรกัน นั่นมันไม่มีทางได้มาเลยจะบอกให้
หอสอยดาว มีอีกชื่อหนึ่งว่าเรือนสอยดาว ตามตำนานเล่าว่าเป็นเรือนที่สร้างขึ้นโดยโหราจารย์ชนเผ่าถ่าน่ารุ่นสุดท้ายตั้งแต่สมัยราชวงศ์เทียนฉี่ ซึ่งผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว ภายในมีของที่โหราจารย์ทิ้งเอาไว้ไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือไข่มุกจันทร์กระจ่าง
ส่วนไข่มุกจันทร์กระจ่างนั้นมีความหมายตามชื่อของมัน ซึ่งก็คือไข่มุกราตรีที่สว่างใสประหนึ่งแสงจันทร์ ไข่มุกราตรีไม่นับว่าเป็นของมากค่าราคาแพงอะไรในตลาด ในกล่องเก็บสมบัติของจิ่งอวิ๋นก็มีอยู่หลายเม็ด แต่ใครใช้ให้เม็ดนี้เป็นของที่ท่านโหราจารย์ทิ้งไว้เล่า ของที่เกี่ยวกับท่านโหราจารย์ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ล้วนมีข้าเท่ากับเมืองเมืองหนึ่งเลยทีเดียว
เพียงแต่ว่าสถานที่ตั้งของหอสอยดาวนั้นช่างประหลาดนัก เป็นเหวที่ได้ชื่อว่าเป็นหุบเหวร้อยผี คนมีความสามารถจำนวนไม่น้อยเคยลงไปเพื่อตามหาร่องรอยของไข่มุกจันทร์กระจ่าง แต่ก็จนใจที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย ไซน่าอิงก็เคยทนความอยากรู้ไม่ไหวเดินทางลงไป ตอนออกมาก็ขวัญหนีดีฝ่อจนต้องกอดพ่อกอดแม่ร้องไห้อยู่เป็นเดือน
สถานที่ที่ทำให้ชายอกสามศอกขวัญเสียขนาดนั้นได้ เห็นได้ว่าน่ากลัวเพียงใด
อันที่จริงจะบอกว่าอันตรายก็ไม่ถึงขั้นนั้น อย่างน้อยคนที่เข้าไปกว่าครึ่งก็กลับมาอย่างเรียบร้อยปลอดภัยดีเกือบทุกคน เพียงแต่คนที่ออกมาบ้าก็บ้าไปเลย ฟั่นเฟือนก็ฟั่นเฟือนไปเลย หลังจากนั้นจึงไม่ค่อยมีคนกล้าเข้าไปอีก
ถึงได้ถามว่า หัวข้อที่ไม่รักชีวิตเช่นนี้เป็นความคิดของใคร
นี่มันบ้าระห่ำมากเลยทีเดียวเชียวนะ
เฉียวเวยหันไปมองไซน่าฮูหยิน หนังตาไซน่าฮูหยินเต้นตุบๆ “ไม่ใช่ข้า!”
อีกด้านหนึ่ง สตรีนางนั้นหันไปมองประมุขตระกูลปี้หลัวกับฮาจั่ว ทั้งสองก็มีท่าทีร้อนรนแทบนั่งไม่ติดเช่นกัน “ไม่ใช่ข้า!”
ที่พวกเขาตามหาจั๋วหม่าน้อยกลับมาก็เพราะหวังว่าจั๋วหม่าน้อยจะเป็นที่ยอมรับของเหอจั๋ว และเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งประมุขชนเผ่าอย่างถูกต้องเหมาะสม พวกเขาต้องคุ้มครองจั๋วหม่าน้อยให้ดีด้วยซ้ำ จะส่งจั๋วหม่าน้อยไปยังสถานที่ชั่วร้ายเช่นนั้นได้อย่างไร พวกเขากินอิ่มแล้วอยากหาเรื่องใส่ตัวหรือไร
ตระกูลปี้หลัวเดือดดาลเป็นที่ยิ่ง!
ไซน่าฮูหยินก็รู้สึกเป็นกังวลไม่น้อย สถานที่แห่งนั้น บุตรชายนางเคยไปมาครั้งหนึ่ง ขาไปยังตบอกด้วยความมั่นใจเต็มที่ ปีศาจวัวงูเทพอะไรเขาไม่กลัวทั้งสิ้น แต่กลายเป็นว่าขากลับกลับโผเข้ามากอดนาง ร้องไห้ฮือๆ ราวกับเด็กน้อย น้ำหูน้ำตาไหลเต็มหน้าไปหมด ต้องบอกก่อนว่าตอนนั้นเขาอายุตั้งยี่สิบปีเข้าไปแล้ว!
บุตรชายของนางเป็นคนที่หาญกล้าที่สุดในตระกูลไซน่า แม้แต่เขายังถูกหุบเหวแห่งนั้นทำจนขวัญกระเจิง แล้วสตรีที่อ่อนหวานเช่นนี้จะไหวหรือ
ประมุขตระกูลปี้หลัวกระแอมไอ “เรื่องนี้อันตรายเกินไป เปลี่ยนเป็นหัวข้ออื่นเถิด”
น่าประหลาดที่ครานี้ไซน่าเหอไม่คัดค้านความเห็นอีกฝ่าย
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยขึ้นอย่างน่าเกรงขามว่า “ในเมื่อจับฉลากมาแล้ว ก็นับว่าเป็นบัญชาแห่งองค์เทพ หากมีผู้ใดไม่อยากไป แค่ออกมายอมแพ้ก็เท่านั้น”
ประมุขตระกูลปี้หลัวพลันสะอึก
สตรีนางนั้นกำหมัดแน่น
เฉียวเวยกลับไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไรนัก หากเป็นหุบเหวร้อยสัตว์ร้อย นางอาจจะยังพอขนลุกบ้าง แต่นี่ร้อยผี? ฮ่า!