ตอนที่ 927 ให้อภัย

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 927 ให้อภัย

เจินหมิงดีใจเป็นอย่างมาก ทว่า น้ำเสียงกลับสะอื้นด้วยความตื้นตันอย่างอดไม่ได้ น้ำตาของนางไหลพราก สีหน้าย่ำแย่ยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก

ผู้ใดจะคิดว่าคุณชายเจ็ดจะยังมีชีวิตรอดกลับมาอย่างปลอดภัยกัน นี่คือข่าวดีที่สุดเลย

ไป๋ชิงเหยียนก้มหน้าลงเล็กน้อย คิ้วที่ขมวดอยู่ค่อยๆ คลายออก หญิงสาวยันกายลุกขึ้นยืน “พวกเราออกไปต้อนรับพวกเขากัน…”

เดิมทีท่านแม่ ท่านอาสะใภ้และน้องสาวของนางควรมาถึงในวันพรุ่งนี้ นึกไม่ถึงเลยว่าพวกนางจะมาถึงแล้ว

เจินหมิงรีบเข้าไปประคองไป๋ชิงเหยียน เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเผือด ดวงตาคล้ำและอาการอ่อนเพลียไร้เรี่ยวแรงของหญิงสาว เจินหมิงจึงรู้สึกปวดใจมาก

เจินหมิงช่วยประคองแขนของไป๋ชิงเหยียนด้วยมือทั้งสองข้างพลางกล่าวเสียงเบา “คุณหนูใหญ่ พวกฮูหยินเพิ่งผ่านประตูเมืองหลวงเข้ามา คุณหนูใหญ่พักผ่อนอีกสักครู่ดีหรือไม่เจ้าคะ หากเห็นสีหน้าที่ซีดเผือดของคุณหนูใหญ่ในตอนนี้ พวกฮูหยินและคุณหนูท่านอื่นจะเป็นกังวลได้นะเจ้าคะ”

“สีหน้าข้าดูแย่มากหรือ” ไป๋ชิงเหยียนชะงักฝีเท้าพลางเอ่ยถามเจินหมิง

เจินหมิงพยักหน้าด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “ขอบตาคุณหนูใหญ่คล้ำมากเจ้าค่ะ”

ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้พบหน้าท่านแม่ ท่านอาสะใภ้ น้องสาวและอาเจวี๋ยนานแล้ว หญิงสาวไม่อยากให้พวกเขาเห็นสีหน้าที่ย่ำแย่ของตัวเองจึงหันไปกล่าวกับเจินหมิง “ใช้แป้งปกปิดดีกว่า”

เจินหมิงพยักหน้ารับคำ จากนั้นทาแป้งปิดทับรอยดำที่ใต้ตาให้ไป๋ชิงเหยียน เมื่อไป๋ชิงเหยียนมองเห็นสีหน้าตัวเองที่ไม่ได้โทรมเหมือนดั่งตอนแรกในกระจก หญิงสาวจึงจับมือของเจินหมิงลุกขึ้นยืน จากนั้นเดินไปที่เรือนหน้า

ไป๋จิ่นซิ่วยังเดินไปไม่ถึงหอทำพิธีก็เห็นวั่งเกอที่ถูกฉินหล่างอุ้มขึ้นเหนือศีรษะกำลังเอื้อมมือเล็กๆ ของตนไปจับดอกอวี้หลานที่กำลังบานสะพรั่งอยู่บนต้นไม้

ชุ่ยปี้ยืนมองอยู่ด้านข้างอย่างเป็นกังวล กลัวว่าฉินหล่างจะเผลอทำวั่งเกอตกลงมา หากเป็นเช่นนั้นนางจะได้เอื้อมแขนไปรับตัววั่งเกอไว้ได้ทัน ทันใดนั้นชุ่ยปี้เหลือบเห็นไป๋จิ่นซิ่วจึงเอ่ยเรียกทั้งน้ำตา “คุณหนูรอง!”

ฉินหล่างได้ยินเสียงจึงหันกลับไปมอง เขาเห็นไป๋จิ่นซิ่วในชุดไว้ทุกข์ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดิน ฉินหล่างขยับริมฝีปากเล็กน้อย จากนั้นก้มกล่าวกับวั่งเกอที่อยู่ในอ้อมแขน “วั่งเกอ ดูสิ…ท่านแม่ของเจ้ามาแล้ว เจ้าเอาแต่ร้องหาท่านแม่ของเจ้าไม่ใช่หรือ”

ขอบตาของไป๋จิ่นซิ่วร้อนผ่าว ยกยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย หญิงสาวถลกชายกระโปรงเดินไปหาฉินหล่างและวั่งเกอ จากนั้นกล่าวเสียงเบาหวิว “วั่งเกอของเราโตขึ้นไม่น้อยเลย มาหาแม่มา…”

เมื่อวั่งเกอเห็นว่าไป๋จิ่นซิ่วเตรียมเอื้อมมือมารับตนไปจากอ้อมกอดของฉินหล่าง เขาจึงรีบใช้สองมือกอดคอฉินหล่างแน่น จากนั้นเอนหน้าซบลงบนบ่าของฉินหล่างโดยไม่มองไป๋จิ่นซิ่วแม้แต่น้อย ได้แต่หันหลังให้นางเท่านั้น

ไป๋จิ่นซิ่วลำคอร้อนผ่าว นางยกมือข้างหนึ่งจับแขนของฉินหล่างไว้ มืออีกข้างเอื้อมไปลูบแผ่นหลังของวั่งเกอย่างแผ่วเบา นางพยามกลั้นน้ำตาเอาไว้พลางเอ่ยกับวั่งเกอเสียงแผ่วเบา “วั่งเกอโกรธแม่อย่างนั้นหรือ แม่ผิดไปแล้ว วั่งเกอหายโกรธแม่ได้หรือไม่ ต่อไปแม่จะไม่ทิ้งวั่งเกอไปไหนอีก ดีหรือไม่”

ไป๋จิ่นซิ่วเอื้อมมือไปกุมมือนุ่มของวั่งเกออย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “แม่คิดถึงวั่งเกอมากเลย คิดถึงทุกวัน แม่ขอกอดวั่งเกอได้หรือไม่”

ฮูหยินสองหลิวซื่อที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยและกำลังจะเดินออกไปช่วยต้อนรับแขกที่มาเคารพศพที่หอทำพิธีมองเห็นบุตรสาวกำลังเอ่ยปลอบหลานชายมาแต่ไกล น้ำตาของนางไหลพรากลงมาทันที นางรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาทิ้ง จากนั้นเดินประคองมือหลัวหมัวมัวออกมาจากมุมของระเบียงทางเดิน กล่าวเสียงดังลั่น “วั่งเกอของเราไม่สนใจนางก็ถูกแล้ว วั่งเกอไปกับยายเถิด ต่อไปพวกเราไม่ต้องสนใจแม่ของเจ้าแล้ว!”

วั่งเกอได้ยินเช่นนี้จึงรีบเอื้อมมือไปหาไป๋จิ่นซิ่ว จากนั้นกอดคอไป๋จิ่นซิ่วไว้แน่น

ฉินหล่างโน้มตัวส่งวั่งเกอให้ไป๋จิ่นซิ่วยิ้มๆ เจ้าตัวเล็กหนักขึ้นกว่าเดิมมาก หลายวันมานี้เขาถูกเลี้ยงดูอย่างดี

“คนใจดำ!” หลิวซื่อแสร้งเอ็ดวั่งเกอเบาๆ “ยายสอนเจ้าว่าอย่างไร เมื่อพบหน้าแม่ของเจ้าไม่ให้สนใจนางใช่หรือไม่ อย่างน้อยก็ไม่ควรสนใจนางสักสามเดือน เหตุใดเจ้าถึงไม่ได้เรื่องเช่นนี้กัน!”

วั่งเกอกอดคอมารดาของตัวเองแน่นพลางเตะขาไปมากลางอากาศอย่างมีความสุข เด็กน้อยยิ้มจนตาหยี ใบหน้าคล้ายคลึงกับไป๋จิ่นซิ่วมาก

หลิวซื่อจิ้มไปที่หน้าผากของวั่งเกอเบาๆ

“ท่านแม่…” ไป๋จิ่นซิ่วเอ่ยเรียก

หลิวซื่อละสายตาจากหลานชายมองไปทางบุตรสาวของตัวเอง สีหน้าเคร่งขรึมลงทันที “ไม่ต้องมาเรียกข้าว่าแม่! ข้าไม่กล้ารับเจ้าเป็นลูกสาวหรอก ตีข้าจนสลบโดยไม่อธิบายสิ่งใดให้ข้ารู้เรื่องสักอย่าง เมื่อตื่นขึ้นข้าก็ใกล้ถึงเมืองไป๋ว่อแล้ว เจ้าไม่ต้องมาคุยกับข้าสามเดือน! วั่งเกอเมินเฉยต่อเจ้าสามเดือนไม่ได้ ทว่า ข้าทำได้!”

หลิวซื่อกล่าวจบจึงเดินจากไปทันทีอย่างโมโห

ไป๋จิ่นซิ่วมองไปทางฉินหล่างอย่างขอความช่วยเหลือ “ตอนอยู่ที่ไป๋ว่อท่านแม่โมโหมากหรือ”

“ท่านแม่ยายไม่ได้โมโห ทว่า เอาแต่เป็นห่วงเจ้าทั้งวัน ข่าวส่งไปถึงช้ามาก ท่านแม่ยายเป็นกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ สุดท้ายเมื่อได้ยินว่าคุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว ยึดเมืองหลวงได้และกำลังจะขึ้นครองราชย์แทนจักรพรรดิองค์ก่อน ท่านถึงได้วางใจลง ท่านแม่ยายโมโหก็เพราะเป็นห่วงเจ้า” ฉินหล่างกล่าวเสียงเบา

“ท่านช่วยแก้ต่างแทนข้าต่อหน้าท่านแม่ให้ที” ไป๋จิ่นซิ่วกล่าวต่อ

ฉินหล่างมองไป๋จิ่นซิ่วด้วยแววตาอ่อนโยน “ไม่จำเป็นต้องให้ข้าช่วยแก้ต่างแทนหรอก แค่เจ้าไปสำนึกผิดกับท่าน ท่านแม่ยายก็ยกโทษให้เจ้าแล้ว”

ครั้งนี้ไป๋จิ่นซิ่วทำให้ฉินหล่างต้องมองนางใหม่จริงๆ

หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ฉินหล่างรักและทะนุถนอมไป๋จิ่นซิ่ว บัดนี้เขารู้สึกนับถือนางมาก

ไป๋จิ่นซิ่วอ่อนโยนเกินไปจนฉินหล่างลืมไปว่าหญิงสาวเคยไปออกรบในสนามรบจริงเช่นเดียวกัน นางเก่งกาจไม่แพ้บุรุษคนใด

ได้ภรรยาที่เก่งทั้งวิชาการและการรบเช่นนี้ ฉินหล่างรู้สึกว่าตัวเองควรพยายามให้มากขึ้นอีก เช่นนี้เขาจะได้คู่ควรกับไป๋จิ่นซิ่ว

เมื่อได้รับรายงานว่าไป๋ชิงเหยียนจะออกไปรอต้อนรับฮูหยิน คุณหนูและคุณชายตระกูลไป๋ที่หน้าจวนไป๋ด้วยตัวเอง เซี่ยอวี่จั่งจึงรีบสั่งให้ทหารกองกำลังรักษาพระองค์คุ้มกันถนนและบริเวณรอบๆ จวนไป๋อย่างแน่นหนา แม้แต่รถม้าที่เดินทางมาเคารพศพยังถูกกันให้รออยู่อีกซอยก่อน เมื่อบรรดาฮูหยินไป๋กลับถึงจวนแล้วจึงจะได้รับการปล่อยให้จากไป

เว่ยจงสั่งให้องครักษ์ลับของจวนไป๋เตรียมพร้อมอยู่รอบๆ จวนไป๋เพื่อความไม่ประมาทเช่นเดียวกัน

คนจากตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่อยากมาพบหน้าไป๋ชิงเหยียนและมาเคารพศพขององค์หญิงใหญ่ก็ถูกกันไม่ให้เข้าใกล้ไป๋ชิงเหยียนเช่นเดียวกัน

ฮูหยินสองหลิวซื่อ ไป๋ชิงเหยียน ไป๋จิ่นซิ่ว ไป๋จิ่นเซ่อ ฉินหล่าง วั่งเกอและบรรดาบ่าวรับใช้ของตระกูลไป๋ยืนอยู่ที่หน้าจวนไป๋

เมื่อเห็นขบวนรถม้ามุ่งหน้าเข้ามายังจวนไป๋ ฮูหยินสองจึงเดินไปด้านหน้าสองสามก้าว

บุรุษร่างสูงโปร่งที่ขี่ม้านำอยู่ด้านหน้าสุดของขบวนด้วยท่าทีองอาจคือคุณชายเจ็ดไป๋ชิงเจวี๋ยของตระกูลไป๋ ผู้ที่ขี่ม้าตามอยู่ด้านหลังของไป๋ชิงเจวี๋ยด้วยท่าทีองอาจสง่างามคือไป๋จิ่นเจาและไป๋จิ่นหวา

ฮูหยินสองหลิวซื่อกำมือของหลัวหมัวมัวแน่น ลำคอของนางร้อนผ่าว มือสั่นเทาอย่างคุมไม่อยู่ น้ำเสียงตื้นเต้นแฝงไปด้วยความไม่อยากเชื่อ “นั่นอาเจวี๋ยใช่หรือไม่ ใช่อาเจวี๋ยจริงๆ ใช่หรือไม่”

หากอาเจวี๋ยยังมีชีวิตรอด แสดงว่าอาฉยงและอาเวินของนางก็อาจยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ อย่างน้อยให้อาฮุยหรืออาเฟิงรอดกลับมาก็ยังดี