ภาค 1-2 บทที่ 135

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 ตอนที่ 135 คำแนะนำและความช่วยเหลือ
บทที่ 135 คำแนะนำและความช่วยเหลือ
โดย
Ink Stone_Romance
“คุณหนูท่านนี้ เดินวุ่นวายในตรอกแห่งนี้ ที่แท้จะทำอะไรรึ”

เสียงตำหนิลอยมาจากในตรอก

“ท่านดู ท่านดู ผู้ดูแลใหญ่” พนักงานตัวน้อยรีบเอ่ย “ถูกคนจับเช่นนี้อีกแล้ว”

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองไป เห็นคุณหนูจวินถูกคนผู้หนึ่งขวางไว้

“ท่านผู้นี้คือนายหญิงในตระกูลของใต้เท้าโจวผู้ช่วยตัดสินคดีฝ่ายตะวันออกกรมการพระนคร” เขาเอ่ย

ชื่อเป็นพรวนนี้คนทั่วไปฟังแล้วคงงงอยู่บ้าง แต่ต่อให้เป็นพนักงานตำแหน่งน้อยเรียกแขกรินน้ำชาคนหนึ่งของเต๋อเซิ่งชางก็รู้ว่านี่หมายความว่าอะไร

เมืองหลวงแห่งนี้มีราชสำนักกรมราชการแล้วก็มีที่ว่าการกรมพระนคร แล้วยังมีสามอำเภอสิบแปดหมู่บ้านข้างเคียง ขุนนางประเภทต่างๆ เดินกันให้ทั่ว เดินบนถนนชนกันทีหนึ่งก็แสร้งเป็นรายชื่อสำรองขุนนางเมืองหลวงสักคนก็ได้

แม้รายชื่อสำรองขุนนางเมืองหลวงมากมายใช้ชีวิตไม่ต่างอะไรจากคนธรรรดม ถึงขั้นลำบากอยู่บ้าง แต่นั่นก็เป็นขุนนาง พบยมบาลยังดี ผีตัวจ้อยเกาะสิลำบาก ล่วงเกินคนเข้าไม่แน่ว่าอาจถูกขัดขาที่ไหนก็ได้

ดังนั้นกับคนที่ฐานะเป็นขุนนางเหล่านี้คนทำการค้าล้วนท่องจนคุ้นจำได้แม่นเป็นอย่างแรก

นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเมืองหลวงอยู่ยาก

“ใต้เท้าโจวคนนี้หาเรื่องทั้งที่ไม่มีเรื่องเก่งที่สุดแล้ว” พนักงานตัวน้อยเคร่งเครียดอยู่บ้าง “ท่านผู้ดูแลใหญ่เข้าไปแก้สถานการณ์เถอะขอรับ”

คุณหนูจวินไม่รู้เรื่องรู้ราวหากทำให้ใต้เท้าโจวผู้นี้โกรธเข้าย่อมลำบากแล้ว

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยกเท้าแล้วแต่ก็อดกลั้นไว้

เงื่อนไขพื้นฐานที่สุดอันหนึ่งของพวกเขาผู้ทำกิจการร้านแลกเงินซึ่งข้องเกี่ยวกับเงินตราก็คือต้องรักษาคำมั่น

นายน้อยเจ้าตระกูลบอกแล้วว่าทุกสิ่งล้วนจัดการตามคำสั่งคุณหนูจวิน คุณหนูจวินไม่เอ่ยปาก พวกเขาก็ขยับไม่ได้

“ดูต่อหน่อยเถอะ” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินมองมองธงที่ตัวเองถือทีหนึ่ง ยิ้มให้ผู้หญิงคนนั้นแล้วคำนับ

“ข้าคือหมอเร่ของโรงหมอจิ่วหลิง” นางเอ่ยขึ้น

ผู้หญิงมองธงในมือนาง

“รักษาเฉพาะโรคร้ายรักษายาก ฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี ได้ยาโรคหาย” นางอ่าน อ่านจบมองคุณหนูจวินยิ้มทีหนึ่ง “แม่นางน้อย วาจาไม่น้อยเลย”

คุณหนูจวินตอบรับ

“ไม่มีความสามารถจริงไม่กล้าเคลื่อนทัพ”

ผู้หญิงไม่คิดว่านางจะถึงกับไม่ถ่อมตน ส่ายศีรษะ

“คุณหนู ในเมื่อเจ้ามีโรงหมอ ถ้าเช่นนั้นก็ไปนั่งรอตรวจ หากเจ้าเป็นหมอเร่ นั่นย่อมไม่มีโรงหมอให้นั่ง” นางว่า “เจ้าอ้างชื่อโรงหมอเดินว่อนทั่วถนนหมายความว่าอย่างไร?”

“วิถีแห่งการบรรลุถ่ายทอดไม่ง่าย หมอไม่เคาะประตู โรงหมอจิ่วหลิงของข้าเปิดกิจการใหม่ ชาวบ้านไม่รู้ ดังนั้นข้าจึงเป็นหมอเร่ก่อน พอดีช่วยรักษาชาวบ้าน” คุณหนูจวินเอ่ย

ผู้หญิงทั้งฉุนทั้งขัน

“แม่นางน้อย ที่แท้เจ้าก็รู้ว่าหมอไม่เคาะประตูนี่” นางว่า “เจ้าเดินทะลุทั้งถนนส่งเดช หลอกเด็กน้อยก่อปัญหากินของมั่วซั่วเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เคาะประตูแล้ว นี่เจ้ากำลังก่อกวนประชาชน“

“นายหญิง ผลไม้เชื่อมที่ข้าให้เด็กๆ เป็นยาคลายร้อนที่โรงหมอจิ่วหลิงของข้าทำพิเศษ ตอนนี้อากาศร้อนชื้นมาก เด็กเล็กไม่ขบคิดเรื่องกินดื่ม ทานเข้าไปหน่อยดีกับร่างกาย” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างเป็นมิตร

“แม่นางน้อย ที่นี่คือเมืองหลวง” ผู้หญิงเอ่ยขึ้น ยื่นมือชี้ด้านนอก “ถนนเส้นนี้ก็มีโรงหมอสามแห่ง ไม่กล้าพูดว่าคนด้านในทุกคนล้วนเป็นหมอมีชื่อ แต่ท่านหมอคนหนึ่งในนั้นก็มีชื่อเสียงอยู่บ้างเหมือนกัน ร่างกายพวกเราไม่สบายเดินไม่กี่ก้าวก็ไปพบท่านหมอได้แล้ว มียาอะไรต้องกินเดินไม่กี่ก้าวก็ให้โรงหมอต้มให้ จะรอเฉพาะเจ้ามารักษาอาการป่วยทำไมเล่า?”

“นายหญิงย่อมเรียกใช้ข้าไม่ไหว” คุณหนูจวินยังคงเอ่ยอย่างเป็นมิตร “ข้ากำลังรอคนที่เรียกใช้ข้าไหว”

ผู้หญิงส่ายศีรษะคร้านจะพูดอีก

“ข้าแนะนำเจ้าสักหน่อย เจ้าอย่ามาเดินมั่วที่เมืองหลวง” นางเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “หากเจ้ามีใจอยากช่วยรักษาคนจริงก็ไปชนบท ไปสถานที่ซึ่งขาดแคลนหมอขาดแคลนยาเหล่านั้นช่วยโลกช่วยคน อย่ามาที่นี่เสแสร้งวางท่าหลอกผู้คนให้สนับสนุน”

พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ มองยามเฝ้าประตู

“ล้างกวาดหน้าประตูให้สะอาดด้วย ใครก็ห้ามปล่อยเข้ามาข้างใน”

คำพูดนี้ตะคอกยามเฝ้าประตูแต่ที่ด่ากลับเป็นคุณหนูจวิน

ชาวบ้านที่มาชมดูความครึกครื้นในตรอกชี้พวกนางวิพากษ์วิจารณ์

คุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบ หลิ่วเอ๋อร์แม้ไม่พอใจอยู่บ้างแต่เพราะคุณหนูกำชับไว้จึงได้แต่กอดธงแน่น

“ไปเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น หมุนตัวสั่นกระดิ่ง

เสียงกระดิ่งใสกังวานไม่เร่งไม่ช้าก้องกังวาน

คิ้วที่ขมวดของผู้ดูแลใหญ่หลิ่วคลายออก สีหน้าประหลาดใจอยู่บ้าง

อย่างอื่นไม่ต้องพูด คุณหนูจวินคนนี้ความอดทนไม่เลวเลยจริงๆ

คิดถึงตรงนี้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็สงบสติครุ่นคิดครู่หนึ่ง

ที่จริงตั้งใจคิดดูแล้ว หมอเร่เรื่องเช่นนี้ดูไปแล้วไร้สาระไปบ้าง แต่คิดให้ละเอียดก็ไม่ใช่ใครจะทำได้จริงๆ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กสาวอย่างคุณหนูจวินเช่นนี้

ต้องรู้ว่านางเกิดมาในครอบครัวหมอ บิดาก็เป็นขุนนางทั้งได้ชื่อว่าจงรักภักดีมีคุณธรรม

เดินถนนลัดเลาะตรอกซอกซอย เรียกความสนใจกลางเมือง ทนรับสายตาเย็นชารอยยิ้มเย้ยหยันคำด่าสาปแช่งเช่นนี้ยังเป็นมิตรแบบนี้ได้

ไม่เกิดมาอารมณ์ดีก็มีสิ่งที่หวังอยู่

อารมณ์รึ ตระกูลฟางบนล่างถึงขนาดในร้านแลกเงินล้วนรู้ว่าคุณหนูจวินผู้นี่ไม่ใช่คนอารมณ์ดีอะไร

คิดถึงตรงนี้ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ยกเท้าก้าวไล่ตามไป

“คุณหนูจวิน” เขาคำนับเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินหยุดฝีเท้า

“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว” นางยิ้มเอ่ยขึ้น “มีธุระอะไรหรือ?”

“ข้ามีเรื่องหนึ่งไม่เข้าใจ” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเปิดเข้าประเด็นเอ่ยขึ้น “คุณหนูจวินทำไมต้องเป็นหมอเร่? หากต้องการสร้างชื่อเสียง พวกเราก็มีวิธีทำให้คนป่วยมากมายมาถึงประตูขอตรวจได้”

คุณหนูจวินยิ้ม

“มาถึงที่สร้างชื่อเสียง สำหรับข้าไม่พอ” นางเอ่ย

ไม่พอ?

“ถ้าอย่างนั้น ท่านทำเช่นนี้จะสร้างชื่อเสียงได้จริงหรือ?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ “คนเหล่านี้ล้วนไม่ต้องการหมอเร่”

“ได้สิ” คุณหนูจวินว่า “เพียงแต่ข้าต้องตามหาคนที่ต้องการพบหมอเร่ให้พบ”

คนที่ต้องการพบหมอเร่?

ในเมืองหลวงผู้ใดต้องการพบหมอเร่?

ทุกหนทุกแห่งล้วนมีโรงหมอ ทุกที่ล้วนมีหมอชื่อดัง

หรือยังจะไม่คิดค่ายาค่ารักษาสร้างชื่อเสียงดีงามอย่างที่หรู่หนาน?

นั่นก็ไม่ต้องออกมาเป็นหมอเร่เหมือนกัน แปะป้ายประกาศไม่คิดค่าตรวจโรคหนึ่งเดือนที่โรงหมอจิ่วหลิงก็ได้แล้วไหม

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่เข้าใจ

หนิงอวิ๋นเจากลับคิดเข้าใจอยู่บ้าง

“คนที่ต้องการหมอเร่ ย่อมเป็นคนที่เชื่อหมอเร่” เขาเคาะผิวโต๊ะพูดกับตนเอง ฉับพลันตะโกนเสียงดัง “เสี่ยวติง เสี่ยวติง”

เสี่ยวติงรีบวิ่งเข้ามาจากด้านนอก

“นายน้อย เป็นอะไรอีกหรือขอรับ?” เขาเอ่ยถาม

“คุณหนูจวินวันนี้ยังออกไปข้างนอกไหม?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม

เสี่ยวติงทำหน้าจนปัญญา

“นายน้อย หากท่านต้องการพบคุณหนูจวินจริงๆ ก็ไปเถอะขอรับ ท่านไปนางคงไม่ทิ้งท่านไม่สนใจยังเตร็ดเตร่เดินถนนหรอก” เขาเอย “ข้าวันหนึ่งวิ่งไปดูคุณหนูจวินสามเที่ยวก็แทนท่านไม่ได้”

หนิงอวิ๋นเจาได้ยินขมวดคิ้ว

“พูดอะไร” เขาเอ่ย “หากข้าจะพบหน้าย่อมต้องมีธุระ ไม่มีธุระข้าไปพบนางทำอะไร”

เสี่ยวติงหัวเราะแห้งๆ ที่แท้ครั้งก่อนทานอาหารดื่มสุราเป็นเพื่อนคุณหนูจวินคือมีธุระสินะ

หนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นเดินหลายก้าว

“วันนี้นางจะไปเมืองฝั่งตะวันตกไหม?” เขาเอ่ยถาม

เสี่ยวติงขานรับ

“น่าจะขอรับ เมื่อวานคุณหนูจวินก็ไปเมืองฝั่งตะวันตก ยังวนไม่ครบเลย” เขาเอ่ย “จากที่ข้าตามสังเกตไม่กี่วันนี้ คุณหนูจวินมีความอดทนมากแล้วก็มีระบบระเบียบมาก แบ่งเมืองฝั่งตะวันออกเป็นสี่ถนนเดินจบแล้วถึงไปทางเมืองฝั่งตะวันตก ถ้าอย่างนั้นเมืองฝั่งตะวันตกก็ต้องเป็นเช่นนี้ด้วยแน่”

หนิงอวิ๋นเจาหยุดฝีเท้า

“เสี่ยวติง ลูกชายแม่นมของลูกพี่ลูกน้องของสืออีบ้านก็อยู่ที่เมืองฝั่งตะวันตก” เขาเอ่ย “เจ้าไปบอกเขาเรียกคุณหนูจวินรักษา”

เสี่ยวติงได้ยินทีแรกมึนงงอยู่หน่อย อึ้งไปนิดหนึ่งถึงคิดได้ว่านายน้อยพูดถึงใคร ทางโค้งนี่อ้อมเสีย นับถือนายน้อยจริงๆ ยังอุตส่าห์คิดออกมาได้

“ถ้าอย่างนั้นข้าไปบอกกับเขาว่านายน้อยบอกมา?” เขาเอ่ยถาม

“เจ้าบอกว่าข้าบอกนั่นจะยังเป็นตัวเขาเองเชื่อไหมเล่า?” หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้วเอ่ย “เจ้าไปหาเขาคุยเล่นร่ำสุรา เล่าเรื่องที่หรู่หนานให้เขาฟัง”

เสี่ยวติงพลันเข้าใจ

“นายน้อยปราดเปรื่อง” เขาหัวเราะฮ่าฮ่าเอ่ยขึ้น “เช่นนี้เขาย่อมไม่สงสัย นอกจากนี้คุณหนูจวินก็จะไม่สงสัยด้วย”

ต่อให้รู้ว่ามีความสัมพันธ์กับหนิงอวิ๋นเจา คุณหนูจวินก็จะไม่คิดว่าหนิงอวิ๋นเจาสั่งมา แต่เป็นได้ยินเรื่องเล่ามหัศจรรย์

“นายน้อยดีกับคุณหนูจวินเหลือเกินจริงๆ” เสี่ยวติงถอนหายใจเอ่ยออกมาอีก

“นั่นเพราะตัวนางเองดี หากนางไม่มีวิชาแพทย์เช่นนั้น ข้าย่อมไม่ทำเช่นนี้” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยไม่สะทกสะท้าน

เหมือนเป็นเพราะสาเหตุนี้ แล้วก็เหมือนกับไม่ใช่ เสี่ยวติงลูบศีรษะ

“แต่ผู้อื่นมีวิชาแพทย์เช่นนี้ นายน้อยก็ไม่ได้ทำเช่นนี้?” เขาอดไม่ได้เอ่ยถาม

หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ตอบคำถามนี้

เพราะคำตอบเห็นชัดเกินไป เขาไม่อยากหลอกตนเอง

แน่นอนว่าย่อมไม่ คนอื่นก็ไม่ใช่นางเสียหน่อย

ที่เขาทำเช่นนี้ ย่อมเพราะว่านางเป็นนาง

……………………………………….