ตอนที่ 244-1 ชัยชนะอันยิ่งใหญ่
ครอบครัวของเฉียวเวยนอนหลับกันอย่างเต็มอิ่มภายในถ้ำแห่งนั้น จนกระทั่งแสงอาทิตย์สีทองยามอรุณรุ่งสาดเอียงลงมาจากของฟ้า ขับไล่ความมืดมิดภายในถ้ำไป พวกเขาถึงได้ค่อยๆ ลืมตากันขึ้น
กองไฟใกล้จะมอดหมดแล้ว ภายในถ้ำเหลือไออุ่นอยู่เพียงน้อยนิด จิ่งอวิ๋นยืดเอวบิดขี้เกียจ ยังตื่นไม่เต็มตาดีนัก ซุกเข้าหาอ้อมแขนของเฉียวเวยทั้งสะลึมสะลืออย่างนั้น
เฉียวเวยระบายยิ้มอบอุ่น กอดเขาแน่น ลูบศีรษะน้อยๆ ของบุตรชาย จิ่งอวิ๋นทิ้งตัวอ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้นพักหนึ่ง ไม่นานวั่งซูก็ตื่น เด็กน้อยอวบอ้วนยึดครองพื้นที่ในอ้อมแขนของมารดาเอาไว้จนเต็ม จิ่งอวิ๋นจึงจำต้องออกไปช่วยท่านตาทำกับข้าว
แป้งธัญพืชที่เมื่อวานพกติดตัวมาด้วยกินหมดไปแล้ว โชคดีที่ในป่ามีอาหารอุดมสมบูรณ์ ไม่นานจูเอ๋อร์ก็เด็ดผลไม้กลับมาเต็มตะกร้า เห็ดที่เก็บมาเมื่อวานยังเหลืออยู่ไม่น้อย เฉียวเวยหาหม้อใบเล็กออกมาจากตะกร้าเฉียวเจิง แล้วจึงใช้น้ำสะอาดในถุงน้ำตุ๋นเป็นน้ำแกง แค่นี้ก็พอพวกเขากินกันสามคนแล้ว แต่เจ้าเด็กอ้วนวั่งซูไม่อิ่มง่ายเพียงนี้ เฉียวเวยเลยยิงนกตัวอ้วนเนื้อแน่นมาอีกหลายตัว
ส่วนเจ้าสัตว์น้อยทั้งสาม ถึงแม้จะถูกเลี้ยงดูอยู่ในบ้านมานาน แต่เพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อัตคัดมาตลอด ทำให้ไม่เพียงไม่สูญเสียสัญชาตญาณในการล่าสัตว์ กลับกันยังดุดันกว่าสัตว์ในประเภทเดียวกันเสียอีก ไม่นานก็จัดการเรื่องอาหารเช้าของพวกมันเองกันจนเรียบร้อย
พอกินมื้อเช้าเสร็จ เฉียวเวยกับเฉียวเจิงก็เก็บข้าวของเพื่อมุ่งหน้าไปสมทบกับจีหมิงซิว
เมื่อคืนรีบร้อนออกมาเกินไป ไม่ทันได้เตือนพวกตัวปลอมสองคนนั้นว่าอาจมีผีแก่กลับมาล้างแค้นได้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้อยากเตือนอยู่แล้ว ใครใช้ให้นางปลอมตัวเป็นนางกันเล่า ลิ้มรสชีวิตที่หวานฉ่ำมามากเพียงนั้นแล้ว ครานี้ก็ควรลิ้มรสความขมปร่าบ้าง
“จั๋วหม่าน้อย” ได้ลิ้มลองความขมปร่าบ้างอะไรกัน แทบจะเรียกได้ว่ากล้ำกลืนความลำบากตลอดชีวิตที่เหลือแล้วเลยเสียมากกว่า นอนๆ อยู่ก็ถูกคนเอาไม้รุมตีอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ระหว่างทางหนีก็เจอกับคนบ้าสามคนนั้นอีก ครานี้นางมองรูปลักษณ์ของพวกเขาได้ถนัดตาแล้ว ตาแก่สามคนที่จะเป็นผีก็ไม่ใช่ เป็นคนก็ไม่เชิง!
เหตุใดถึงเป็นผีก็ไม่ใช่ เป็นคนก็ไม่เชิง คงต้องเริ่มกล่าวถึงตั้งแต่ตอนที่เฉียวเวยสั่งสอนผีร้ายสองตนนั้น
เจ้าสามถูกเฉียวเวยดึงลิ้นจนขาดกลางเป็นคนแรก หลังจากนั้นก็ถูกวั่งซูผลักกระเด็นจนตกน้ำ เขาว่ายน้ำไม่เป็น ระหว่างที่ตะเกียกตะกายพยายามเอาชีวิตรอดอยู่ในน้ำก็ทำอุปกรณ์แต่งผีของตนหลุดออกหมด
ส่วนเจ้ารอง ระหว่างที่เข้ามาช่วยเจ้าสามนั้น เฉียวเวยจับไต๋เขาได้ พอตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น ลิ้นจึงขาดไปด้วย เขี้ยวก็หล่นหายไป เหลือแค่หน้าผีขาวซีดเพียงอย่างเดียว แต่พอฟ้ามืดเลยแยกไม่ออกเท่าไรอีก
ส่วนพี่ใหญ่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง พี่ใหญ่เป็นผีร้ายที่มีการวางตัวอย่างสูงส่งและเย็นชา เขาไม่เคยต้องอาศัยลิ้นยาวหรือฟันเขี้ยว อาศัยเพียงภาพลักษณ์… อันเป็นเอกลักษณ์ที่ทวยเทพและภูตผียังต้องเกรงขาม พร้อมเอาชนะทุกคนไม่ว่ามีทหารนับพันนับหมื่น ดุดันพร้อมทำลายทุกสิ่งอย่างประหนึ่งตัดต้นไผ่ แต่เพราะต้องการไปสั่งสอนคน มือจึงถือไม้กระบองอยู่ท่อนหนึ่ง การทำเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับฮ่องเต้ที่สวมชุดมังกรแล้วในมือถือไม้นวดแป้งเลยสักนิด นอกจากจะน่าขันแล้วก็ไม่พาให้รู้สึกเป็นอื่นอีก
ดังนั้น “จั๋วหม่าน้อย” จึงไม่นึกว่านี่ก็คือผีสามตนแห่งหุบเหวนรกที่ใครได้ยินเป็นต้องขวัญผวา ผีสามตนแห่งหุบเหวนรกเล่นงานนางอย่างไร้เหตุไร้ผล นางบอกพวกเขาว่าตนไม่เคยทำอะไรให้พวกเขาโกรธมาก่อน พวกเขาต้องเล่นงานคนผิดแล้วเป็นแน่ ตอนแรกผีทั้งสามไม่เชื่อ แต่หลังจากนางนั่งยันนอนยันพร้อมถามว่า “นางมีลูกมาด้วยใช่หรือไม่” “เป็นเด็กตัวอวบอ้วน” ในที่สุดผีสามตนก็ยอมรับว่าพวกตนเล่นงานผิดคนจริงๆ
ผีสามตนจึงถามว่านางเป็นใคร เหตุใดทั้งสองถึงได้หน้าตาราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกันเช่นนี้ นางจึงบอกกล่าวฐานะของตนไปว่า “ข้าคือจั๋วหม่าน้อยแห่งชนเผ่าถ่าน่า ท่านตาของข้าคือเหอจั๋วที่อยู่เหนือผู้คนทั้งปวง เวลานี้ข้าพักอาศัยอยู่ที่ปราสาทเฮ่อหลัน สตรีนางนั้นเป็นเพียงพวกต้มตุ๋นที่ตระกูลไซน่าหามาปลอมตัวเป็นข้าเท่านั้น”
ผีตนหนึ่งถามว่า “แต่เจ้าเป็นจั๋วหม่าน้อยตัวจริง? จั๋วหม่าน้อยที่… บอกให้เหอจั๋วทำอะไร เหอจั๋วก็ทำอย่างนั้นน่ะหรือ?”
สตรีนางนั้นถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงถามอะไรประหลาดเช่นนี้ แต่ก็ยังยืดอกขึ้นตอบด้วยความภูมิใจว่า “ถูกต้อง ท่านตาข้ารักข้ามาก ข้าอยากได้อะไรเขาก็ให้ข้าทั้งสิ้น หากพวกเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะขอร้องให้ท่านตาอภัยโทษให้พวกเจ้า”
จากนั้น “จั๋วหม่าน้อย” ก็ถูกซ้อมอีกรอบหนึ่ง!
นางไม่รู้ถึงเหตุผลด้วยซ้ำ!
นางถูกซ้อมสามรอบในหนึ่งคืน ชีวิตที่น่ารันทดเช่นนี้ไม่มีใครอีกแล้ว “จั๋วหม่าน้อย” ถูกอัดจนจมูกเขียวหน้าบวมไปหมด รอยแผลทั่วตัว นางรู้สึกคิดผิดมากที่ตนมายังหุบเหวร้อยผี เสียใจถึงขั้นท้องเทิ้งเขียวไปหมด แต่มานึกเสียใจเอาตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะตาแก่สามคนนั้นหลังจากซ้อมนางไปสามรอบก็ยังไม่ยอมไปง่ายๆ แต่ใช้เชือกมัดนางแล้วเอาขึ้นไปแขวนบนต้นไม้
“ข้าไปทำอะไรให้พวกเจ้าไม่พอใจกันแน่! ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ข้า! คนที่ทำร้ายพวกเจ้าไม่ใช่ข้า! พวกเจ้าจับคนผิดแล้ว!”
ใบหน้าทั้งสามเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน “หึหึ เจ้านี้แหละ ครานี้ไม่เล่นงานผิดคนแน่”
จากนั้นผีสามตนก็จากไป ทิ้ง “จั๋วหม่าน้อย” ให้ห้อยตัวอยู่บนต้นไม้สูงคนเดียว ร้องหาฟ้าฟ้าไม่ตอบ ร้องหาดินดินไม่สนอยู่อย่างนั้น รันทดยิ่งกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว จนนางถึงขั้นเริ่มสงสัยในชีวิตตนแล้ว!
เฉียวเวยไม่รู้เลยว่าบทเรียนที่ตนฝากไว้นั้นได้สร้างละครจำอวดเช่นนี้ขึ้นมา นางในเวลานี้กำลังเดินเรื่อยๆ ไปตามป่าที่เขียวชอุ่ม อาบบ่มไออุ่นจากแสงอาทิตย์ สูดหายใจเอาอากาศที่สะอาดบริสุทธิ์เข้าปอด จิตใจปรอดโปร่งจนแทบจะบินได้
เฉียวเจิงกับจูเอ๋อร์คอยนำทาง ซาลาเปาน้อยทั้งสองจูงมือกันเดินอยู่ตรงกลาง เฉียวเวยกับเจ้าไป๋ทั้งสองปิดขบวนอยู่ด้านหลัง
นกจุยเฟิงของจีหมิงซิวส่งข่าวมาแล้ว จีหมิงซิวเข้าหุบเหวมาทางตะวันออก พวกนางแค่มุ่งหน้าไปทางตะวันออกเรื่อยๆ ก็จะได้เจอกับพวกเขา
การเดินข้ามป่าที่รกชัดเช่นนี้ ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะพบเจอกับงูพิษและสัตว์ร้าย งูที่นี่ไม่ใช่งูตัวเล็กที่พบเห็นได้ตามป่าทั่วไป ขนาดแต่ละตัวตัวหนาพอๆ กับปากชาม แต่หากไม่เข้าไปรบกวนพวกมัน พวกมันก็จะไม่เข้ามาจู่โจมซี้ซั้ว
เสี่ยวไป๋ชอบหยอกล้อ มันอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสังเกต แอบโดดฉิวขึ้นไปบนต้นไม้ ใช้อุ้งมือข่วนงูหลามตัวยักษ์ที่นอนขดอยู่บนต้นไม้!
อีกฝ่ายไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมองสักนิด
ไม่มีเจ้างูน่ารักให้หยอกล้อ ชีวิตของเพียงพอนช่างน่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก!
เสี่ยวไป๋กระโดดกลับลงมาด้วยความไม่ได้อย่างใจ เดินคอตกตามคณะพวกเขาไป ไม่ต้องบอกเลยว่าปวดใจเพียงใด
แน่นอนว่าไม่ใช่สัตว์ร้ายทุกตัวที่สงบนิ่งเช่นนี้ พวกเขาเดินต่อไปได้พักหนึ่งก็บังเอิญเจอกับฝูงหมาป่า
หมาป่ามักออกมาในเวลากลางคืน คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอพวกมันทั้งฝูงตอนกลางวันแสกๆ เช่นนี้ รูปร่างหมาป่าฝูงนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก แต่ขาทั้งสี่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ สายตาคมกล้า ดูเต็มไปด้วยพลังการโจมตีอันดุดัน เฉียวเวยลองนับดูแล้วมีหมาป่าทั้งหมดสามสิบเจ็ดตัว นี่นับว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย หากต้องสู้ขึ้นมาจริงก็คงตึงมือเอาเรื่องทีเดียว
ในขณะที่เฉียวเวยกำลังใคร่ครวญว่าจะหนีหมาป่าฝูงนี้ออกไปได้เร็วที่สุดอย่างไรอยู่นั้น ฝูงหมาป่าก็เข้ามาล้อมพวกนางไว้ หมาป่าจ่าฝูงยืดคอยาวอย่างเย่อหยิง “โบร๋ว…”
ฝูงหมาป่าของมันพร้อมใจกันเงยหน้าหอนรับ “โบร๋ว…”
จากนั้นเสี่ยวไป๋ก็เชิดหน้าขึ้นบ้าง “โบร๋ว…”
เฉียวเวย “?!”
หมาป่าจ่าฝูงหอนใส่เสี่ยวไป๋ “โบร๋ว…”
เสี่ยวไป๋หอนกลับ “โบร๋ว…โว๋ว…”
หมาป่าจ่าฝูง “โบร๋ว…โว๋ว…โบร๋ว…โว๋ว…”
เสี่ยวไป๋ “โบร๋วโว๋วๆ…”
ไม่รู้พวกมันกำลังสื่อสารอะไรกัน สุดท้ายหมาป่าจ่าฝูงก็นำฝูงของมันจากไป
นี่คือความสำคัญของการพูดได้หลายๆ ภาษา!
เสี่ยวไป๋ปัดต้นขนด้วยความภูมิใจ ความเสียใจที่หยอกล้องูไม่สำเร็จพลันมลายหาย หันไปสนุกกับการไล่จับแมลงแทน!
หลังจากเหตุการณ์เล็กๆ สองเหตุการณ์นี้ คณะของพวกเขาก็ไม่เจอสัตว์ร้ายที่ดูอันตรายอะไรอีก กลับเป็นระหว่างทางเดินทางลึกไปในป่าที่รกชัดนี้ สองพ่อลูกได้พบสมุนไพรล้ำค่าอยู่ไม่น้อย แค่เห็ดหลิงจือซู่เฉอที่ขายกันตามตลาดแทบจะเท่าราคาทองคำก็มีหลายสิบจินแล้ว แต่เพราะอาจต้องเก็บที่ไว้เด็ดสมุนไพรชนิดอื่นด้วย ทั้งสองจึงเด็ดมาแค่เจ็ดแปดดอก หลังจากนั้นยังบังเอิญเจอสี่ยอดแห่งสมุนไพรแดนใต้อย่างปิงหลัง อี้จื้อเหริน ซาเหรินและปาจี่เทียนอีกด้วย
ปิงหลังมีสรรพคุณในการฆ่าแมลง ขับลม ขับพยาธิตัวกลมและรักษาต้อหิน ปาจี่เทียนช่วยบำรุงไต เสริมธาตุร้อน ขับลมและความชื้น รวมถึงเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก อี้จื้อเหรินช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้ม้าม บรรเทาอาการท้องเสีย เพิ่มความอบอุ่นให้ลำไส้และกระตุ้นความอยากอาหาร ส่วนซาเหรินนอกจากจะมีสรรพคุณช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้กับม้ามและระงับอาการท้องร่วงแล้ว ยังสามารถปรับสมดุลลมปราณและช่วยให้ครรภ์สงบได้อีกด้วย สมุนไพรทั้งสี่ประเภทนี้ เรียกได้ว่ามีมูลค่าสูงมากทีเดียว
ที่น่าเสียดายก็คือนอกจากปิงหลังกับปาจี่เทียนที่โตช้า ทำให้เวลานี้พอมีผลให้เก็บอยู่บ้างแล้ว อี้จื้อเหรินกับซาเหรินจะพร้อมเด็ดในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง เวลานี้จึงไม่เหลืออะไรให้เด็ดแล้ว
เฉียวเจิงเด็ดปิงหลังกับปาจี่เทียนมาอย่างละนิดละหน่อย เดินไปได้อีกพักหนึ่งพอเห็นพุ่มเตี้ยๆ ที่มีใบเรียวยาวประหนึ่งดาบ เขาก็ร้องเสียงดังว่า “ต้นหลงเซวี่ย!”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว ไม่ใช่กระมัง สถานที่บ้าๆ แห่งนี้มีต้นหลงเซวี่ยด้วยหรือ
ต้นหลงเซวี่ยมีอีกชื่อว่าหลงเซวี่ยเจี๋ย เป็นสมุนไพรแดงชื่อดังและล้ำค่าของอวิ๋นหนาน หากเปลือกของลำต้นมันถูกขูดออก จะมีน้ำยางสีแดงสดไหลออกมา เช่นเดียวกับคนเลือดไหลตอนเป็นแผล ต้นหลงเซวี่ยจึงมีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะเหตุนี้ น้ำจากต้นหลงเซวี่ยเป็นยางไม้ประเภทหนึ่ง มีฤทธิ์ในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและฆ่าเชื้อที่รุนแรง คนจำนวนไม่น้อยใช้มันเป็นส่วนผสมหลักในการเก็บรักษาศพ ว่ากันว่าสามารถรักษาให้ศพไม่เน่าไม่เปื่อยได้
ไม่เน่าไม่เปื่อยจริงหรือไม่นั้นเฉียวเวยไม่รู้ เพราะนางไม่เคยลองมาก่อน
เฉียวเจิงตื่นเต้นจนหุบปากไม่ลง “จดที่ตรงนี้เอาไว้ อีกเดี๋ยวให้พวกจีหมิงซิวมาช่วยย้ายต้นหนึ่งกลับไป!”
เฉียวเวย “…”
ท่านคิดจะให้สามีข้าเหนื่อยตาย!
การมาครั้งนี้ไม่ว่าจะหาไข่มุกจันทร์กระจ่างเจอหรือไม่ อย่างไรก็นับว่าได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปมากทีเดียว นางได้ท่านพ่อกลับมานานเพียงนี้ เฉียวเวยยังไม่เคยเห็นเขาหน้าเป็นประกายแดงระเรื่อด้วยความตื่นเต้นเช่นนี้มาก่อนเลย
“ข้าเหนื่อยเหลือเกิน พวกเราหยุดพักกันก่อนเถิด!” เจ้าตัวอ้วนวั่งซูเหงื่อแตกผลั่ก
เฉียวเวยรู้สึกว่าการที่ตนเลี้ยงดูลิงน้อยผอมแห้งให้จ่ำม่ำขาวอวบเช่นนี้ได้นั่นไม่ง่ายเอาเสียเลย นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้บุตรสาว เอาผ้านวมรองหลังให้นาง แล้วหันไปรองให้บุตรชาย จากนั้นก็หาที่มีร่มไม้ไปนั่งพัก
จูเอ๋อร์รับหน้าที่คอยส่งเสบียงให้กับการเดินทางในครั้งนี้ พอพวกเขานั่งพัก มันก็ออกไปเด็ดผลไม้ ที่เด็ดมาล้วนเป็นผลไม้ที่เฉียวเวยกับซาลาเปาน้อยทั้งสองไม่เคยกินทั้งสิ้น รสชาติหวานฉ่ำมากทั้งสิ้น
ระหว่างที่พวกเขากำลังกินผลไม้กันอยู่ จู่ๆ เสี่ยวไป๋ก็ตั้งหูขึ้น ตามด้วยลุกขึ้นยืนแล้วมองไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ พอขาน้อยๆ ของมันยกขึ้น ก็วิ่งฉิวไปทางนั้นทันที
“เสี่ยวไป๋!” เฉียวเวยร้องเรียก แต่เสี่ยวไป๋คล้ายไม่ได้ยิน ทะยานตัวเข้าไปในทุ่งหญ้า
เฉียวเวยจำต้องไปตามหา
นางเดินผ่านทุ่งหญ้า แล้วเดินต่อไปอีกประมาณหนึ่งร้อยเมตร ในที่สุดก็เจอเจ้าตัวแสบนั่นเสียที มันวิ่งเร็วเพียงนี้เฉียวเวยยังคิดว่ามันเจอขุมสมบัติอะไรเสียอีก พอเดินเข้ามาใกล้กลับเห็นว่ามันพุ่งเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของผู้ชายคนหนึ่ง!
ผู้ชายคนนั้นใส่อาภรณ์ดำตลอดร่าง หมวกของเสื้อคลุมบังลงมาครึ่งใบหน้าจนเห็นเพียงปลายคางขาวผ่องกับริมฝีปากแดงฉ่ำราวกับสตรี
นั่นอาจเป็นริมฝีปากที่เย้ายวนที่สุดเท่าที่เฉียวเวยเคยพบเห็นมาแล้ว หากไม่ได้มีจีหมิงซิวอยู่แล้ว นางอาจวู่วามเข้าไปทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาไปแล้ว ดังนั้นอย่ามองแค่เพียงริมฝีปากนี้ แต่หากมีความงามที่ไม่เป็นสองรองใครในแคว้นเช่นนี้ ย่อมเป็นที่จดจำไม่ลืมเลือนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น
เฉียวเวยแทบจะจำเจ้าของรีมฝีปากนั้นได้ในทันที เจ้าตัวสร้างเรื่องที่บุกเข้ามาในตระกูลจีหลายครั้ง เล่นงานพ่อสามีนางจนหลงงมงายในมนต์เสน่ห์ ซ้ำยังจับตัวท่านพ่อกับลูกแฝดทั้งสองของนางมายังชนเผ่าถ่าน่า!
เดิมทีตอนที่ใต้เท้าเจ้าสำนักเห็นเสี่ยวไป๋ก็ประหลาดใจมากอยู่แล้ว พอเงยหน้าขึ้นเห็นเฉียวเวยที่กำลังมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยไอสังหาร เส้นเลือดตรงขมับเขาก็พลันเต้นตุบๆ โยนเสี่ยวไป๋ที่ซุกอยู่ตรงหน้าอกตนออกทันที!
“แผละ!” เสี่ยวไป๋หล่นลงกับพื้นก้นจ้ำเบ้า เจ็บชะมัด!
ใต้เท้าเจ้าสำนักหมุนตัวจะเดินหนี!
“จะไปไหน หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” เฉียวเวยเร่งฝีเท้าตามไป หุบเหวร้อยผีช่างเป็นสถานที่ที่ดียิ่งนัก ทำให้นางได้พบกับอีตาพ่อค้าหัวหมอนี่! เกาะนี้ช่างแคบนัก ดูสิว่าจะหนีไปได้ไหม!
ใต้เท้าเจ้าสำนักโอดครวญในใจ เขาแค่ออกมาเดินเล่นเท่านั้น กลับเดินมาเจอสตรีที่ร้ายกาจนางนี้เสียได้ ตอนออกมาลืมดูปฏิทินวันแดงวันดำใช่หรือไม่นี่!
ใต้เท้าเจ้าสำนักตอนแรกเพียงแค่เดินซอยเท้าเร็วๆ ตอนหลังพอได้ยินเสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาก็ไม่มีเวลาสนใจอะไรมากเพียงนั้นอีก ยกขาได้ก็เริ่มออกวิ่งทันที!
สายตาเฉียวเวยพลันดุดัน “ยังจะวิ่งอีก ไอคนชั่ว วันนี้มาเจอข้านับว่าเจ้าโชคร้าย! จะหนีพ้นเหรอเจ้าน่ะ!”
พอพูดจบ เฉียวเวยก็กระโดดพุ่งตัวใส่หลังของใต้เท้าเจ้าสำนักจนล้มลงกับพื้น
ร่างที่ผอมบางแต่แข็งแรงของใต้เท้าเจ้าสำนักกลิ้งไปกับพื้นหญ้า ระหว่างที่กลิ้งอยู่นั้น ใต้เท้าเจ้าสำนักรู้สึกว่าตนถูกหินก้อนใหญ่ทับเอาไว้ กระดูกทั่วทั้งร่างแทบจะถูกบดขยี้จนไม่เหลือชิ้นดี เขาเจ็บจนต้องสูดหายใจเฮือกใหญ่
เฉียวเวยตั้งตัวให้มั่นแล้วลุกขึ้นยืน หิ้วตัวอีกฝ่ายขึ้นมายันไว้กับต้นไม้ใหญ่ที่ต้องใช้คนเป็นสิบคนโอบ นางยิ้มเย็นขณะเอ่ยว่า “หนีหรือ ลองหนีข้าดูอีกทีสิ!”
ในหัวเจ้าสำนักมึนตึ๊บไปหมด พอเริ่มตั้งสติได้ก็มองอีกฝ่ายด้วยความเดือดดาล “สตรีโหดร้ายอย่างเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่!”
“สตรี โหด ร้าย?” เฉียวเวยหรี่ตา พ่นเสียงรอดไรฟันออกมาทีละคำ “จะตายอยู่แล้วยังกล้าเอ่ยวาจาไม่ระวังปากเช่นนี้อีก ข้าว่าเจ้าคงหน่ายจะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!”
พูดจบเฉียวเวยก็เงื้อหมัดชกเข้าที่หน้าเขา!
ใต้เท้าเจ้าสำนักเอียงศีรษะหลบ หมัดของเฉียวเวยชกเข้ากับต้นไม้จนบุ๋มไปรูใหญ่
ใต้เท้าเจ้าสำนักเหลือบมองด้วยหางตา กลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกขยับขึ้นลงทีหนึ่ง
เฉียวเวยดึงหมัดกลับ ทิ้งแขนลงเอามือไปไว้ทางด้านหลัง สีหน้ายังคงเรียบเรื่อยสบายๆ แต่ในใจกลับสบถหยาบไปแล้ว ให้ตายเถอะ นี่มันต้นไม้เหล็กหรือไร เจ็บมือชะมัด…
ใต้เท้าเจ้าสำนักเพ่งมอง ถามเสียงเย็นว่า “จับคนต้องมีความผิด จับชู้ต้องได้คาหนังคาเขา ข้าอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรสักนิด เหตุใดเจ้าถึงต้องมาจับข้า อย่าคิดว่าเจ้าเป็นสตรีแล้วข้าจะยอมผ่อนปรนให้เจ้าครั้งแล้วครั้งเล่าจนขึ้นมาขี่หัวข้าได้นะ”
เฉียวเวยตบหน้ากากหยกที่ปิดอยู่ครึ่งหน้าของเขา “ไม่ผ่อนปรนแล้วทำอะไรได้ เจ้าหนุ่มหน้าขาว”
จึ๊ๆ สัมผัสมือนี้ดีกว่าของแม่ทัพน้อยมู่เสียอีก เหตุใดถึงได้เนียนละเอียดเช่นนี้
เหตุใดถึงรู้สึกว่าสายตาของสตรีนางนี้จู่ๆ ก็ดูหื่นกระหายขึ้นมานะ! ใต้เท้าเจ้าสำนักกระแอมไอ “ข้าขอเตือนเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เอามือสกปรกของเจ้าออกไป”
เฉียวเวยยิ้มประชด “ข้าไม่เอาออก แล้วเจ้าจะทำไม”
สีหน้าใต้เท้าเจ้าสำนักดูซับซ้อนขึ้นเล็กน้อย
เฉียวเวยพูดต่อว่า “เจ้ามีความแค้นอะไรกับตระกูลจีกันแน่ เหตุใดต้องหาโอกาสเล่นงานตระกูลจีครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าให้กู่ครองรักกับสวินชิงเหยา เพราะอยากให้สวินชิงเหยาช่วยอะไรเจ้ากันแน่”
พอเอ่ยถึงตระกูลจี ใต้เท้าเจ้าสำนักกลับดูสงบนิ่งอย่างประหลาด เขายกริมฝีปากที่แดงก่ำขึ้น นัยน์ตาชั่วร้ายมีแววหยอกเย้าปรากฏให้เห็น “ไม่มีอะไรจะบอก”
ความเปลี่ยนแปลงในท่าทีของเขาทำให้เฉียวเวยงุนงงอยู่ในใจ เจ้านี้ดูหมายมั่นไร้ความเกรงกลัวต่อตระกูลจี ทำอย่างกับตระกูลจีติดค้างอะไรเขากระนั้น แต่ตระกูลจีทำทุกอย่างเปิดเผยมาแต่ไหนแต่ไร จำไม่ได้ว่าเคยทำให้คนอย่างอีตาทึ่มนี่ไม่พอใจสักหน่อย