ต้วนอู๋ตี๋เรียกสีหน้าสงบนิ่งและอ่อนโยนกลับคืนมาได้แล้ว เขาค้อมกายคำนับกล่าวว่า “ความเมตตาขององค์หญิง อู๋ตี๋เข้าใจ เพียงแต่ปณิธานของอู๋ตี๋ดับมอดนานแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่แรกอู๋ตี๋ก็มิเคยปรารถนาอำนาจลาภยศ ระหว่างที่เดินทางมา เห็นแว่นแคว้นสงบประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข อู๋ตี๋ก็พอใจยิ่งนักแล้ว
ดังนั้นข้าจึงตั้งใจจะกลับไปยังชิ่นโจว แม่ทัพหลงปลิดชีพตายเพื่อแว่นแคว้น แม่ทัพซูสิ้นใจที่นครหลวงต้ายง แม่ทัพถานวายชีวาในศึกบนสมรภูมิ แม่ทัพสือถูกใส่ร้ายจนมอดม้วย แม่ทัพแห่งชิ่นโจวในวันวาน เหลือเพียงอู๋ตี๋คนเดียว แม้นอู๋ตี๋จะหน้าด้านแต่ก็มิปรารถนาจะรับใช้จักรพรรดิแห่งต้ายง
อู๋ตี๋ตัวคนเดียว ไร้ห่วงไร้ผูกพัน มิเหมือนองค์หญิงที่ยังคงต้องแบกเกียรติยศและความปลอดภัยของประชาชนนับพันหมื่น ดังนั้นอู๋ตี๋ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะกลับไปใช้ชีวิตเงียบๆ อยู่ในชิ่นโจว เรื่องนี้ยังมิได้รับการอนุญาตอย่างเป็นทางการจากฉู่โหว องค์หญิงได้โปรดขอความเมตาตาแทนอู๋ตี๋ด้วย”
หลินปี้ถอนหายใจแผ่วเบา พูดมาจนถึงขั้นนี้ นางย่อมทราบว่าต้วนอู๋ตี๋มิคิดเปลี่ยนใจ ความจริงนางก็มิอยากขัดขวางต้วนอู๋ตี๋จากการใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ เพียงแต่นางกังวลว่าเจียงเจ๋อจะยอมปล่อยมือหรือไม่
เจียงเจ๋อผู้นี้โหดเหี้ยมต่อศัตรูยิ่งนัก มิมีวันเหลือทางรอดให้ศัตรูเด็ดขาด หากต้วนอู๋ตี๋ไปใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ ในบ้านเกิด ในสถานการณ์ที่ใต้หล้ายังไม่รวมเป็นหนึ่งเช่นตอนนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะกลายเป็นภัยแฝงเร้น นางมิทราบว่าเจียงเจ๋อจะปล่อยต้วนอู๋ตี๋ไปหรือไม่
หากต้วนอู๋ตี๋รออีกสิบปีให้หลังค่อยกลับมา บางทีอาจมิต้องกลัดกลุ้มเช่นนี้ แต่หลินปี้เข้าใจความทุกข์ทรมานของการพลัดพรากจากบ้านเกิดดี ตัวนางอยู่นครฉางอันยังหวนนึกถึงดวงจันทร์ของด่านเยี่ยนเหมินอยู่บ่อยครั้ง นับประสาอะไรกับต้วนอู๋ตี๋ผู้รอนแรมไปถึงโพ้นทะเล
สุดท้ายนางก็ถอนหายใจแผ่วเบา กล่าวว่า “ข้าจะไปบอกเรื่องของท่านกับเจียงโหว เขาน่าจะเห็นแก่หน้าข้าบ้างกระมัง อู๋ตี๋ หลังจากนี้ท่านเตรียมจะไปอาศัยอยู่ที่ใดในชิ่นโจวหรือ”
ต้วนอู๋ตี๋ตอบเรียบๆ “ในชิ่นโจวมีคนรู้จักข้ามากเกินไป ข้ามิอยากจุดชนวนให้เกิดเรื่องราว ก่อนหน้านี้ตอนพาแม่ทัพถานกลับไปฝังที่บ้านเกิด ข้าเดินทางไปส่งร่างด้วยตนเอง ที่นั่นเป็นสถานที่ดีแห่งหนึ่ง วันนั้นข้าเคยพูดว่าอาจมีสักวันหนึ่งข้าจะไปปลีกวิเวกอาศัยอยู่ที่นั่น หนนี้ระหว่างทางพบมิตรสหายเก่าในกองทัพหลายคน พวกเขาล้วนถอดเกราะกลับบ้านแล้ว พอข้าเอ่ยถึงการไปอาศัยอยู่ในบ้านเกิดของแม่ทัพถาน พวกเขาก็ล่วงหน้ากันไปก่อน ยามนี้คิดว่าคงกำลังหักร้างถางพง จัดการเรือกสวนไร่นาเสียใหม่อยู่”
หลินปี้ถอนหายใจแผ่วเบาอีกหน ตลอดหลายปีที่ผ่านมารวมกันนางยังไม่ถอนหายใจมากมายเท่าวันนี้ หลังถานจี้สิ้นชีพ แม้เป่ยฮั่นพระราชทานรางวัลให้ แต่ถานจี้ก็มิถูกเป่ยฮั่นเห็นค่านัก หลังจากเขาสิ้นใจเรื่องราวต่างๆ นับว่าถูกจัดการอย่างเงียบเหงา
หลังเป่ยฮั่นล่ม ต้ายงต่างเลื่อนยศให้แม่ทัพเป่ยฮั่นผู้เสียสละชีพเพื่อแว่นแคว้นหมดทุกคน แต่ถานจี้เคยเข่นฆ่าผู้คนมากมายในเจ๋อโจวดังนั้นจึงถูกเมินผ่าน สุสานของถานจี้คงมิมีคนดูแลมาเนิ่นนาน แม่ทัพผู้เคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อเป่ยฮั่น หลังสิ้นใจกลับอ้างว้างยิ่งนัก
ทว่าคนตายแล้วย่อมจบสิ้นแล้ว เรื่องราวภายหน้ายังคงรออยู่ เรื่องนี้จึงมิมีผู้ใดสนใจมากนัก ถึงอย่างไรถานจี้ก็มีนิสัยเข้ากับผู้อื่นยาก คิดมิถึงว่าต้วนอู๋ตี๋จะยังจดจำมิลืม แล้วจะมิให้นางละอายใจได้เช่นไร
หลินปี้หมุนตัวจากไป ทิ้งท้ายหนึ่งประโยคด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แม่ทัพต้วนโปรดวางใจ มีข้าหลินปี้อยู่ จะมิให้ผู้ใดสร้างความลำบากให้ท่านเป็นอันขาด เทศกาลชิงหมิงแต่ละปียามอยู่ต่อหน้าสุสานของแม่ทัพถาน โปรดจุดธูปเซ่นไหว้แทนข้า บอกเขาว่าตระกูลหลิวกับตัวข้าหลินปี้ผิดต่อแม่ทัพถานกับท่าน”
ลู่อวิ๋นลำบากแสนสาหัสจนในที่สุดก็มาถึงเรือนริมน้ำหลังสุดท้าย ตอนอยู่ที่เรือนริมน้ำหลังที่ห้า เขาแช่อยู่ในน้ำเย็นเฉียบเนิ่นนานจนมือเท้าชาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว หนทางช่วงสุดท้ายนี้เกือบจะทำให้เขาอดทนต่อไม่ไหว เมื่อเห็นโครงร่างคล้ายคลึงกับเรือนริมน้ำหลังที่ห้า ในที่สุดเขาก็มีรอยยิ้ม ด้านในเรือนริมน้ำหลังที่หก เขาเห็นหญิงรับใช้ของพระชายาฉีอ๋อง ถ้าเช่นนั้นเรือนริมน้ำหลังนี้จะต้องเป็นที่พำนักของเจียงเจ๋อเป็นแน่
เมื่อเห็นบานประตูที่ปิดไม่สนิทกับแสงโคมสีเหลืองหม่นที่เล็ดลอดผ่านซอกประตูออกมา เขาก็ลอบมองรอบด้านอย่างระแวดระวัง เมื่อไม่เห็นองครักษ์คนใด เขาจึงปึนขึ้นไปบนระเบียงอย่างแผ่วเบา เขาคลานแนบติดกับพื้น จากนั้นแนบร่างกับบานประตู มองลอดช่องประตูเข้าไปด้านใน
บนพื้นปูพรมขนสัตว์กับผ้านวม รอบด้านห้อยม่านโปรงบาง กลิ่นกำยานลอยอวล ภายในห้องมีกระดานหมากกับแท่นวางพิณ หนังสือเรียงรายอยู่เต็มชั้น ด้านหลังฉากกันลมปักลายงดงามมีม่านมุ้งทอดตัวลงมาอยู่เลือนราง นี่เป็นห้องพักที่หรูหราและสะดวกสบายห้องหนึ่ง กวาดสายตามองปราดแรกลู่อวิ๋นก็มั่นใจว่านี่จะต้องเป็นที่พำนักของเจียงเจ๋อเป็นแน่
เพียงแต่ในห้องเงียบสงบคล้ายไม่มีคน ตอนแรกเขาเห็นว่าเรือนริมน้ำหลังนี้มิมีคนคุ้นกันสักนิด หากหลบเข้าไปในในห้อง น่าจะรอคอยจนเจียงเจ๋อกลับมาแล้วลงมือสังหารอย่างรวดเร็วได้ ในใจจึงลอบยินดี แต่เมื่อครุ่นคิดอีกหน หากตนเองเข้าไปในห้องเช่นนี้ย่อมต้องทิ้งรอยน้ำเอาไว้ เมื่อเจียงเจ๋อกลับมา องครักษ์ตรวจดูโดยรอบเพียงเล็กน้อยก็คงพบทันที แต่หากเกาะอยู่บนระเบียงนอกประตู มีองครักษ์ลาดตระเวนผ่านมาก็คงจะพบตนทันทีเช่นกัน เมื่อขบคิดมาถึงตรงนี้เขาก็ขมวดคิ้วอย่างห้ามมิได้
ตอนนั้นเอง ดวงตาของลู่อวิ๋นก็พลันทอประกาย เขาเห็นอาภรณ์จำนวนหนึ่งหล่นร่วงอยู่บนม้านั่งยาวหลังฉากกันลมโดยบังเอิญ ในใจเขาพลันเกิดความคิด เขาถอดชุดอำพรางกายออก เช็ดคราบน้ำบนร่างแล้วซุกชุดอำพรางตัวไว้ใต้พรมตรงประตู จากนั้นเดินเข้าไปในห้อง เก็บเสื้อผ้าตัวหนึ่งขึ้นมาสวม อาภรณ์ตัวนี้ไม่สะดุดตานัก คิดว่าชั่วครู่ชั่วยามคงไม่มีผู้ใดรู้สึกตัวว่ามันหายไป หลังจากนั้นเขาจึงเดินอ้อมฉากกันลม พลิ้วกายหลบเข้าไปใต้เตียง กำมีดแหลมไว้อย่างดี รอคอยเจียงเจ๋อกลับมาเข้านอน
ผ่านไปไม่นาน ประตูห้องอีกด้านหนึ่งก็เปิดออก คนสองคนเดินเข้ามา ลู่อวิ๋นมองเห็นแต่ขาของทั้งสองคนนั้น คนที่อยู่ด้านหน้าสวมอาภรณ์สีเขียวคล้ายชุดของบ่าวรับใช้ คนผู้นั้นด้านหลังกลับมีชายอาภรณ์สีเขียวลากพื้น ตัวเสื้อหรูหราล้ำค่า ทั้งสองคนต่างมิได้เดินเข้ามาห้องด้านในที่อยู่หลังฉากกันลม คนที่สวมอาภรณ์หรูหราผู้นั้นนั่งลงบนม้านั่งกลมสีสันงดงามแล้วเอ่ยว่า “องค์หญิงเจรจากับแม่ทัพต้วนเสร็จแล้วหรือ”
ลู่อวิ๋นหัวใจสั่นไหว ทราบทันทีว่าคนผู้นี้ก็คือเจียงเจ๋อ เสียงของเขานุ่มรื่นหู น้ำเสียงอ่อนโยนผ่อนคลาย มิมีความหยิ่งทะนงของผู้กุมอำนาจมากล้นไว้ในมือแม้แต่น้อย
อีกคนหนึ่งตอบอย่างนอบน้อม “องค์หญิงให้ใต้เท้าเซียวมาแจ้งว่าอยากหารือรายละเอียดกับท่านต่อหน้า” เสียงของคนผู้นี้เย็นยะเยือกไร้ความรู้สึก แต่ก็แฝงความอ่อนโยนอยู่เสี้ยวหนึ่ง คล้ายกับสายลมอ่อนริ้วหนึ่งกลางเหมันตฤดู
ลู่อวิ๋นเดาว่าคนผู้นี้คงจะเป็นเงามารหลี่ซุ่น จึงผ่อนลมหายใจให้เบาลงอีก มิกล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่นิดเดียว
คนผู้นั้นลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “องค์หญิงเรียกหา พวกเราก็ไปกันเถิด คิดว่าแม่ทัพต้วนคงตัดสินใจแล้ว”
เวลานี้เอง ด้านนอกประตูก็มีเสียงคนเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา “มิจำเป็นแล้ว เจียงโหว ข้าหลินปี้มาแล้ว” กล่าวจบคนสองคนก็ผลักประตูเดินเข้ามา ฟังจากเสียง ลู่อ่วิ๋นก็ทราบว่าพวกเขาคือหลินปี้กับหัวหน้าองครักษ์เซียว
ทั้งสองฝ่ายคารวะกันเสร็จ หลินปี้ก็เปิดปากเข้าตรงประเด็น “เจียงโหว ข้าอยากขอให้ท่านเมตตาสักหน ปล่อยแม่ทัพต้วนไป มิทราบท่านคิดเห็นเช่นไร”
เจียงเจ๋อตอบอย่างใจเย็น “องค์หญิงเห็นแก่ไมตรีแต่เก่าก่อน เจียงเจ๋อเข้าใจ เพียงแต่ในอดีตแม่ทัพต้วนเป็นยอดแม่ทัพของเป่ยฮั่น ฝ่าบาทกับฉีอ๋องล้วนระวังเขาอยู่ ครานั้นเรื่องที่ข้าละเว้นแม่ทัพต้วน หลังจากฝ่าบาททราบแม้จะมิได้ตำหนิข้า แต่ก็ถอนหายใจมิวาย กล่าวว่าแม่ทัพชั้นยอดเช่นนี้กลับถูกข้าปล่อยไปเสียแล้ว”
หลินปี้แย้งอย่างเย็นชา “ยามนั้นต่อให้ท่านบังคับต้วนอู๋ตี๋อยู่ต่อ สุดท้ายก็รั้งได้แต่คนที่หมดใจแล้วคนหนึ่ง เขามิมีทางยอมสวามิภักดิ์แน่นอน”
เจียงเจ๋อกล่าวอย่างนิ่งสงบ “ข้าทราบเรื่องนี้ชัดเจนดี แม่ทัพแห่งชิ่นโจวล้วนเป็นแม่ทัพใต้สังกัดของแม่ทัพหลง จงรักภักดีต่อตระกูลหลิว ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความแค้นกับต้ายงอย่างลึกล้ำ อีกทั้งแม่ทัพต้วนยังเป็นคนที่ยึดมั่นในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องอย่างถึงที่สุด ยามนั้นเขามิมีทางยอมสวามิภักดิ์เป็นอันขาด ดังนั้นสุดท้ายข้าจึงมอบทางรอดให้เขา โชคดีที่เขาเป็นคนรักษาสัญญา มิทรยศเจตนาดีที่ข้าไว้ไมตรี”
หลินปี้น้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ท่านไยต้องสร้างความลำบากให้เขาอีก เขามิมีทางเป็นศัตรูกับต้ายงแล้ว สิ่งที่เขาร้องขอมีเพียงการไปใช้ชีวิตทำไร่ไถนาอย่างสงบเท่านั้น”
เจียงเจ๋อหัวเราะ “หากเป็นเช่นนี้คงจะน่าเสียดายความสามารถของแม่ทัพต้วน หากเขายอมสวามิภักดิ์ ย่อมต้องได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ครองตำแหน่งสูง ไยมิใช่มีความสุขยิ่ง”
หลินปี้ตอบอย่างจนปัญญา “แม่ทัพต้วนแต่เดิมก็เป็นผู้มิปรารถนาชื่อเสียงลาภยศ เขาตั้งใจจะปลีกตัวไปอาศัยอยู่ในบ้านเกิดของแม่ทัพถาน หากท่านมิวางใจ อย่างมากที่สุดก็จัดหาคนจำนวนหนึ่งไปคอยสอดส่องก็ใช้ได้แล้ว ยามนี้ปณิธานของเขามอดดับ ต่อให้รั้งเขาไว้ในราชสำนักก็ใช้ประโยชน์มิได้
ถิงเฟยกับแม่ทัพทั้งสี่ใต้บัญชา ยามนี้เหลือเขาเพียงคนเดียว เขามิมีทางยอมสวามิภักดิ์ ท่านน่าจะทราบความแค้นของกองทัพและประชาชนระหว่างชิ่นโจวกับเจ๋อโจวดี อยากจะสลายสิ่งนี้มิใช่เรื่องที่จะทำได้ในแปดปีสิบปี ในเมื่อแม่ทัพต้วนมิคิดจะเป็นศัตรูกับต้ายงแล้ว หากท่านยังฝืนคุมตัวเขาไว้เกรงว่าจะไม่ดี”
เจียงเจ๋อคล้ายครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ในเมื่อองค์หญิงขอร้องแทนเขา ข้าก็จะปล่อยเขาไปสักหน แต่องค์หญิงต้องรับประกันว่าแม่ทัพต้วนจะมิมีวันคิดกบฏ”
หลินปี้ตอบอย่างเฉยเมย “พวกเราล้วนยอมจำนนแล้ว เขายังจะชูธงกบฏได้อีกหรือ เขาเพียงแต่ตามหาสถานที่ใช้ชีวิตอย่างสงบก็เท่านั้น แคว้นอื่นแม้ดีงามก็มิสู้บ้านเกิดตนเอง หนนี้เขาเสี่ยงอันตรายกลับมา ก็คงคิดมิถึงว่าผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ท่านยังจดจำการมีอยู่ของเขาได้อีก”
เจียงเจ๋อถอนหายใจตอบว่า “ขุนนางผู้จงรักทหารผู้มีคุณธรรมย่อมสลักในใจคนมิเลือน ข้าจะลืมได้เช่นไร แม่ทัพต้วนอยากจะไปอาศัยอยู่ที่บ้านกิดของแม่ทัพถาน เช่นนี้ก็ดี หลังแม่ทัพถานสิ้นใจอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวนัก มีแม่ทัพต้วนคอยดูแลสุสานของเขาย่อมดีที่สุดแล้ว”
หลินปี้ได้ยินก็เอ่ยอย่างเย็นชา “ยามนั้นตอนถอดชื่อแม่ทัพถานออกจากรายชื่อประกอบพิธีเซ่นไหว้ฤดูวสันต์กับฤดูสารทของวัดอู่เมี่ยว ท่านเองก็เห็นด้วยมิใช่หรือ หากตอนนั้นท่านยอมเอ่ยปาก ไฉนเลยจะเป็นเช่นนี้”
เจียงเจ๋อตอบอย่างเรียบเฉย “ข้าชื่นชมนิสัยของแม่ทัพถานมาเสมอ พิธีเซ่นไหว้ยามฤดูวสันต์กับฤดูสารทของราชสำนักเหล่านั้นแม้จะสูงค่า แต่นิสัยเช่นแม่ทัพถานไฉนเลยจะใส่ใจ แทนที่จะให้ผู้อื่นเซ่นไหว้เขาทั้งที่ในใจเคียดแค้นและไม่เคารพ มิสู้ให้เขาได้พักผ่อนอย่างสงบอยู่ในสถานที่อันเงียบสงบสักแห่ง”
หลินปี้เงียบไปเพราะรู้สึกว่าคำพูดของคนผู้นี้มีเหตุผลยิ่งนัก ตอนนี้ดึกมากเกินไปแล้ว ในเมื่อเรื่องของต้วนอู๋ตี๋จัดการได้แล้ว นางจึงลุกขึ้นขอตัว ตอนจะออกไป หลินปี้ก็พลันถามขึ้นว่า “ท่านเจียง ลู่ช่านแห่งหนานฉู่คือศิษย์ของท่าน หากมีวันหนึ่ง สองแคว้นยกทัพสู้รบกัน ท่านจะจัดการเขาเช่นไร จะสังหารให้สิ้นเช่นนี้หรือไม่”
เจียงเจ๋อลังเลวูบหนึ่งแล้วตอบว่า “ข้าย่อมหวังว่าจะรักษาเขาให้อยู่รอดปลอดภัยได้ แต่ลูกศิษย์ผู้นี้ของข้าจิตใจแน่วแน่นัก เกรงว่าคงมิยอมแพ้จนกว่าจะสิ้นใจ แม้ข้าปรารถนาให้อย่างน้อยเขาหลบไปใช้ชีวิตอย่างสงบเฉกเช่นแม่ทัพต้วน แต่เกรงว่าคงมิมีทางเป็นไปได้”
เขามิได้ตอบตรงๆ แต่ความนัยในนั้นชัดเจนยิ่งนัก ลู่อวิ๋นหัวใจเหน็บหนาว กำมีดสั้นแน่นกว่าเดิม ส่วนหลินปี้ยิ้มละไม หมุนตัวเดินจากไป