บทที่ 942 การเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 942 การเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า

บทที่ 942 การเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้สูญเปล่า

“หัวหน้าซู ถ้าไม่ได้คุณดูแลไว้ คนแก่อย่างเราสองคนจะมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้หรือ? ในเมื่อคุณมาที่เมืองหลวงแล้วก็ให้เราเป็นเจ้าบ้านที่ดีเถอะ” ตู้ถงเหอเอ่ยอย่างสุภาพ

ความเมตตาในตอนนั้นอาจดูธรรมดา แต่เมื่อมองย้อนกลับไปมันคือบุญคุณที่ได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้

สมัยที่อยู่หงซินก็ไม่ได้สัมผัสได้ถึงความลึกซึ้งของมันหรอก

พอกลับมาถึงเมืองหลวงและพูดคุยเรื่องเก่า ๆ กับเพื่อน ก็พบว่าชีวิตเราอย่างกับอยู่บนสวรรค์

แล้วก็เป็นเพราะชายผู้ซื่อสัตย์ตรงหน้านี่แหละ

แน่นอนว่ารวมถึงความซื่อสัตย์และน้ำใจของคนในหมู่บ้านด้วย

ตู้ถงเหออยู่มาจนปูนนี้แล้วจะไม่รู้ได้อย่างไร?

“แค่ช่วยนิด ๆ หน่อย ๆ เองครับ ไม่ต้องเกรงใจกันหรอก”

หลังจากทักทายตามมารยาทก็นั่งล้อมวงกินข้าวด้วยกัน

นี่เป็นมื้ออาหารที่ไม่ได้แยกแขกกับเจ้าบ้าน ทุกคนต่างก็สนุกสนานได้อย่างเต็มที่

ตอนที่ตู้ถงเหอมาหา เขาเอาเหล้าเหมาไถมาด้วยสองขวด

หลังจากดื่มเข้าไปก็มึนเมาเล็กน้อย แต่เราตกลงกันว่าจะไปหาฉือเก๋อที่บ้านกำพร้าพรุ่งนี้ ส่วนสามีภรรยาตู้ก็ได้เหล่าซานพากลับไป

คืนนี้ผ่านไปอย่างเงียบสงบ

วันรุ่งขึ้น คนบ้านตู้มาถึงบ้านซูแต่เช้าโดยที่ยังไม่ได้กินข้าว

ตอนเขามาถึง เหล่าซานที่พาพวกซูฉางจิ่วไปดูการเชิญธงชาติยังไม่กลับมาเลย

ชายชราจึงนั่งคุยกับคุณปู่ซูแทน

ส่วนอวี่รุ่ยหยวนช่วยคุณย่าซูเตรียมอาหารเช้า

ไม่นานกลุ่มคนที่ไปดูธงชาติก็กลับมาบ้าน พวกเขาดูตื่นเต้นกันมาก มองออกเลยว่าดีใจจนเนื้อเต้น

“เป็นยังไงบ้างครับหัวหน้า?”

ซูฉางจิ่วได้ยินคำถามก็แทบจะหลั่งน้ำตาออกมา

ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยเชิญธงชาติมาก่อนนะ แต่ที่เห็นในเมืองหลวงกับในหมู่บ้านมันต่างกันโดยสิ้นเชิงเลยน่ะสิ

พอเพลงชาติขึ้นเขาถึงกับร้องไห้ออกมาทันที

ความรู้สึกนี้คงตราตรึงจนกลับไปถึงบ้านแน่ ๆ

“ไม่คิดเลยว่าชาตินี้จะได้มาเห็นกับตาตัวเอง คุ้มมากครับ!”

“เดี๋ยวตอนเช้าเราไปหาเหล่าฉือ แล้วบ่ายค่อยไปเยี่ยมชมวีรบุรุษกัน” ตู้ถงเหอยิ้ม “คุณต้องตื่นเต้นแน่นอน”

เดินทางมาถึงเมืองหลวง ได้เห็นการเชิญธงชาติเป็นครั้งแรก เขาตื่นเต้นมากจนน้ำตาไหลออกมาตรงนั้น

ชายชราเข้าใจความรู้สึกของซูฉางจิ่วชายต่างถิ่นผู้ซื่อสัตย์คนนี้ดี

เสี่ยวเฉ่ายังตื่นเต้นเลย แต่ไม่ได้มากเท่ากับผู้เป็นพ่อ

พอเห็นเขาก็อดนึกถึงแม่ไม่ได้ อยากให้ท่านมาเที่ยวที่นี่ดูสักครั้ง

คนจีนทุกคนควรได้มาเมืองหลวงสักครั้งในชีวิตนะ จะได้คุ้มที่เกิดมา

ระหว่างทำงานเธอเก็บเงินไว้ด้วย ไว้พาแม่มาเที่ยวบ้างดีกว่า

ยังไงเงินก็หาใหม่ได้อยู่แล้ว

ซูฉางจิ่วนึกเสียใจมาตลอดที่เอาเงินเก็บมาใช้กับการเดินทางในครั้งนี้จนหมด

แต่ตอนนี้เขาไม่เสียใจอะไรอีกแล้ว

คุ้มจริง ๆ คุ้มมากที่ได้มา

ถ้ารู้ก่อนคงฝากหน้าที่ไว้กับเพื่อนบ้าน แล้วพาภรรยามาด้วย

ซูฉางจิ่วคิดก่อนจะเอ่ยประโยคนั้นออกมา

“ไม่งั้นเราหาทางซื้อตั๋วให้พี่สะใภ้มาตอนนี้เลยดีไหมคะ?” ฉีเหลียงอิงถาม

“ไม่ต้องหรอก ๆ ไว้คราวหลังเถอะ อาจจะมีโอกาส พวกเธอก็บอกไม่ใช่หรือว่าเสี่ยวเอ้อร์มีคนรักแล้ว ไว้หลานคลอดเมื่อไรเดี๋ยวฉันพาภรรยามาด้วย”

บ้านเขาไม่มีเงินแล้ว เขารู้เรื่องนี้ดีจึงรีบปฏิเสธ

“ได้ค่ะ อีกอย่างพี่สะใภ้ก็ไม่เคยเดินทางไกลคนเดียวด้วย ไว้ถึงตอนนั้นพวกพี่มาด้วยกันนะ มาอยู่ที่นี่สักพักเลย” ฉีเหลียงอิงได้ฟังเช่นนั้นก็ดีใจมาก

คนแก่ก็แบบนี้แหละ พาอยู่มาจนถึงจุดหนึ่งก็อยากให้มีทายาทต่อไว ๆ

เห็นพี่สะใภ้ได้เป็นย่าคน เธอก็ได้แต่อิจฉาในใจ

แต่ช่วยไม่ได้ ลูกชายกับว่าที่สะใภ้กำลังเรียนอยู่เลยทำได้แค่รอเท่านั้น โนเวล-พีดีเอฟ

“รอมีลูกอะไรล่ะ? ก็มาตอนเสี่ยวเอ้อร์แต่งงานซี!” อวี่รุ่ยหยวนยิ้ม “ตอนคนโตเรากลับบ้านไปฉลองแล้ว งั้นคนรองก็อยู่ในเมืองหลวงเถอะ”

คุณย่าซูกล่าว “ฉันแก่แล้วด้วย เดินทางไม่ไหวแล้วละ ถ้าเสี่ยวเอ้อร์แต่งงานก็ให้อยู่ที่เมืองหลวงนี่แหละ หลังจากนั้นก็ค่อยให้พวกเขากลับหมู่บ้านแล้วกัน”

ถึงจะแต่งงานที่เมืองหลวง แต่การกลับบ้านไปต้อนรับแขกก็ไม่ควรขาดนะ

อีกอย่างเหล่าเอ้อร์กับภรรยาก็อยู่ในมณฑลด้วย

ถ้าตอนนั้นไม่มีใครไปด้วยก็ให้สองคนนี้ไปคอยต้อนรับแทนแล้วกัน

ซูฉางจิ่วพยักหน้ารับคำ

ภรรยาเขาอยู่ลำบากด้วยกันมาทั้งชีวิต เขาอยากให้เธอได้มาเที่ยวเมืองหลวงด้วย

แต่ด้วยอายุที่มากขึ้น ความสามารถในการหาเงินก็น้อยลงทุกวัน ได้แต่รอลูกสาวออกเรือนนี่แหละ

ช่างเถอะ ไว้ค่อยว่ากัน เขาได้ยินว่า ว่าที่สะใภ้ของเสี่ยวเอ้อร์ยังเรียนอยู่เลย อีกตั้งสองปีเชียว

ตอนนี้หมู่บ้านกำลังไปได้สวย พอถึงตอนนั้นอาจจะมีเงินแล้วก็ได้

หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เหล่าซานก็หารถขับพาคนอื่น ๆ ไปส่งบ้านกำพร้าเพื่อเยี่ยมเยียนฉือเก๋อ

ซูฉางจิ่วที่ได้นั่งรถยนต์รู้สึกสดชื่นมาก

ไม่นึกเลยว่าจะได้นั่งรถที่นี่ด้วย

“คนในเมืองหลวงดูร่ำรวยกว่าเราเยอะเลยเนอะ” ซูฉางจิ่วถอนหายใจ “ไม่อยากพูดแบบนี้เลย แต่ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยทองคำจริง ๆ”

ทุกคนหัวเราะครืน

“พี่ฉางจิ่วครับ สถานที่ที่ฮ่องเต้ประทับอยู่ปูพื้นด้วยอิฐทองเลยนะ ส่วนที่อื่น ๆ ก็เหมือนพวกเรานี่แหละ”

ตู้ถงเหออธิบายเพิ่มว่า “ถึงจะปูพื้นด้วยอิฐทอง แต่มันไม่ได้ทำมาจากทองจริง ๆ หรอกนะ แค่เสียงตอนเคาะมันเหมือนก้อนทองน่ะ ส่วนกระบวนการทำมันยากมากเลยราคาสูง”

เหล่าซานไม่เคยศึกษาเรื่องนี้มาก่อนเลย จึงถามด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือครับคุณลุงตู้?”

“จริงจ้ะ ส่วนที่มาของชื่ออิฐทอง เขาว่ามันมีอยู่สามที่มานะ หนึ่งคืออิฐทองผลิตในซูโจวก่อนจะส่งมายังเมืองหลวง เราจึงเรียกว่า ‘อิฐเมืองหลวง’ ต่อมาก็ได้กลายมาเป็นชื่อ ‘อิฐทอง’ แทน สองคือหลังจากที่เราเผาอิฐทองออกมา พื้นผิวจะมีความแข็งมาก พอเคาะแล้วจะเกิดเสียงเหมือนโลหะ ข้อสุดท้ายในสมัยราชวงศ์หมิง อิฐทองคำหนึ่งแผ่นมีค่าเท่ากับทองคำห้าสิบก้อน เขาก็เลยเรียกกันว่าอิฐทองคำน่ะ” อวี่รุ่ยหยวนเป็นฝ่ายตอบแทน

คนทั้งสองไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน จึงนั่งฟังด้วยความสนอกสนใจ

“ถึงจะไม่ได้ทำจากทองคำ แต่ก็ยังมีค่ามากอยู่ดีสินะ” เหล่าซานทอดถอนใจ

ขณะกำลังหยอกล้อ เราก็มาถึงบ้านเด็กกำพร้าเอกชนที่มีสองสามีภรรยาถานเป็นคนดำเนินการ

จากนั้นก็หยิบข้าวของที่คุณย่าซูเตรียมเอาไว้ให้เด็ก ๆ ฉือเก๋อและคนอื่น ๆ ก่อนลงจากรถแล้วเข้าไปในลานบ้าน

ตู้ถงเหอและภรรยามาที่นี่บ่อย ๆ จึงสนิทกับเด็ก ๆ ดี

พอเด็ก ๆ เห็นผู้อาวุโสทั้งสองคนก็เตรียมวิ่งเข้าไปหา แต่พอเห็นคนแปลกหน้ากลับต้องหยุดชะงัก ได้แต่ยืนกลัวไม่กล้าเข้าไปหา

“มานี่มา คุณปู่คุณย่าซูทำของอร่อย ๆ มาให้ด้วยนะ” หญิงชรายิ้มแล้วกวักมือเรียก

คุณย่าซูมักจะจัดอาหารเป็นชุด ๆ คอยอุดหนุนพวกเด็ก ๆ อาหารส่วนใหญ่จึงเป็นเนื้อสัตว์และผัก

พวกเขาคุ้นเคยกับการกระทำนี้ของผู้อาวุโสเป็นอย่างดี

“มีหมูก้อนทอดไหมครับ? ผมชอบหมูก้อนที่คุณย่าซูทำที่สุดเลย”

“ผมอยากกินหมูตุ๋นครับ!”

เด็ก ๆ ถูกดึงดูดด้วยของอร่อยสามพยางค์นี้

อวี่รุ่ยหยวนส่งกระเป๋าใบใหญ่ให้ผู้ช่วย แล้ววานให้เขาเอาไปไว้ในครัว

“ตอนเที่ยงจัดใส่จานด้วยนะ”