Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 2 ตอนที่ 137 ในใจตนย่อมมีแผน
บทที่ 137 ในใจตนย่อมมีแผน
โดย
Ink Stone_Romance
พนักงานสองคนมองหลิ่วเอ๋อร์ที่เดินออกมาจากเรือนด้านหลังอย่างระมัดระวัง
ธงในมือหลิ่วเอ๋อร์ส่ายไหว
“พี่หลิ่วเอ๋อร์ คุณหนูจวินยังจะออกไปอีกหรือ?” พนักงานคนหนึ่งใจกล้าเอ่ยถาม
หลิ่วเอ๋อร์มองพวกเขาทีหนึ่ง ทำหน้าไม่เข้าใจ
“แน่นอนต้องไปสิ” นางว่า “ทำไมจะไม่ไป?”
ทำไมจะไม่ไป? โดนด่ากลายเป็นเช่นนั้นแล้วยังกล้าออกไปอีกหรือ? หน้านี่ต้องหนาเท่าไรกัน
“ด่าอะไร? พวกเขาด่าก็เรื่องของพวกเขา เกี่ยวอะไรกับคุณหนูของข้า ก็พวกเขาไม่มีคุณสมบัติให้คุณหนูของข้ารักษา ที่ควรอับอายคือพวกเขาเอง” หลิ่วเอ๋อร์แค่นเสียงเอ่ยขึ้น
เข้าใจแล้วว่าหน้าหนาเท่าไร พนักงานตัวน้อยสองคนคิด แล้วในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าชื่อโอ้อวดน่าขันทั่วเมืองที่หยางเฉิงของคุณหนูจวินคนนี้ในคำเล่าลือตอนแรกมาได้อย่างไร
มีคนเดินเข้ามาจากด้านนอกประตู
“คุณหนูจวินอยู่ไหม?” พร้อมกับคำเอ่ยถาม
เพราะที่นี่ไม่มีคนเข้ามานานแล้ว ทันใดนั้นมีคนผู้หนึ่งเข้ามา แล้วยังเอ่ยปากถามหาคุณหนูจวิน ทำให้พนักงานสองคนในห้องตกใจสะดุ้งโหยง
ไม่ใช่มาด่าถึงประตูหรอกมั้ง?
หันหน้ามองไปเป็นคุณชายเยาว์วัยผู้หนึ่ง
“คุณชายหนิง?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้น มองเขา “ไม่พบหน้ากันหลายวันเชียว”
ตอนเพิ่งมาถึงขยันมาหาดูแลคุณหนูที่นี่ทุกวัน พอได้ยินว่าคุณหนูเปิดโรงหมอเป็นหมอเร่ก็ไม่เห็นแล้ว ใช่รังเกียจหรือไม่?
หนิงอวิ๋นเจาย่อมฟังความนัยของหลิ่วเอ๋อร์ออก
ถ้าอย่างนั้นนางก็คิดเช่นนี้หรือ?
เขาเพราะรู้สึกว่าตนเองใส่ใจนางมากเกินไปกลัวนางคิดมากจึงไม่มา
แต่กลับลืมว่าฉับพลันถอยห่างกับฉับพลันเอาใจใส่ที่จริงก็ทำให้คนคิดมากได้เฉกเช่นเดียวกัน
นางเข้าใจผิดแล้วสินะ
ไม่น่าใช่
แต่เข้าใจผิดนิดหน่อยหรือไม่?
ดังนั้นเลยไม่รับเจตนาดีของเขา?
ระหว่างที่ครุ่นคิด คุณหนูจวินก็เดินแบกหีบยาออกมาจากด้านหลัง มองเห็นเขา สีหน้ายิ้มแย้มเหมือนเช่นก่อนหน้า
“คุณชายหนิง ท่านมา” นางว่า “มีธุระหรือ?”
หนิงอวิ๋นเขามองสีหน้าอ่อนโยนของนาง เขาเป็นคนที่มีอะไรในใจก็พูดสิ่งนั้น
“ใช่เป็นเพราะข้า ดังนั้นถึงปฏิเสธตรวจรักษาหรือไม่?” เขาเปิดเข้าประเด็น
แม้เขาคิดเอาเองว่าที่ทำยอดเยี่ยม จัดการได้รอบคอบ แต่อย่างไรนางก็คือนาง ความคิดฉลาดเฉลียวปานนั้นทันใดนั้นมีคนวิ่งออกมาเชิญนางรักษาโรค ต่อให้พูดถึงเรื่องเก่าที่หรู่หนาน นางก็ย่อมคิดถึงคนที่รู้เรื่องเก่าที่หรู่หนานอย่างตนสินะ
แน่นอนว่าเขาก็เพราะต้องการสร้างหลักฐานเรื่องนี้ถึงหาญาติผ่านการแต่งงานของตระกูลหนิง ตนเองรู้เรื่องเก่าที่หรู่หนาน คนตระกูลหนิงย่อมรู้ด้วย ครอบครัวคุยกันปกติประจำวันเล่ากระจายไปปกติยิ่งนัก ดังนั้นไม่มีทางคิดว่านี่เป็นการจัดการของตนเอง
แต่ไม่ว่ารอบคอบและหลบเลี่ยงอย่างไร นางก็ยังคงคาดเดาได้ว่าเป็นตนเอง
จุดนี้เขาไม่หลอกตนเอง
คุณหนูจวินงุนงงกับคำถามไปครู่หนึ่ง
“หวังเฉาซื่อคนนั้นหรือ” นางดูเหมือนเข้าใจขึ้นมา ยิ้มส่ายศีรษะ “ย่อมไม่ใช่ คุณชายหนิง ท่านคิดมากแล้ว”
หนิงอวิ๋นเจามองสีหน้าของนาง
“เจ้ารู้ว่าหวังเฉาซื่อเป็นใคร?” เขาเอ่ยถาม ในใจสงสัยอยู่บ้าง
คุณหนูจวินยิ้ม
“หนิง…” นางเอ่ยขึ้น นางเกือบหลุดปากพูดหนิงเหยียนออกมา คำพูดมาถึงริมฝีปากถึงเก็บลงไป “…แม่นมของลูกพี่ลูกน้องของเจ้า”
นางรู้จักหวังเฉาซื่อ? ไม่ใช่สงสัยเพียงเพราะหวังเฉาซื่ออยู่ดีๆ โดดออกมาเป็นฝ่ายเรียกนางรักษาอาการป่วยจึงเกิดสงสัย
นางรู้จักหวังเฉาซื่อได้อย่างไร?
หวังเฉาซื่อเป็นเพียงคนรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้ท่านอาของเขาชื่อเสียงโด่งดังทั่วเมืองหลวง แต่แม่นมคนหนึ่งของครอบครัวญาติผ่านการแต่งงานไม่มีทางชื่อเสียงดังทั่วเมืองหลวงเพราะเรื่องนี้ได้นะ
หนิงอวิ๋นเจามองคุณหนูจวินประหลาดใจอยู่บ้าง สายตาจับอยู่บนตัวพนักงานสองคนในโถงอีก
เต๋อเซิ่งชาง
คุณหนูจวินแม้เป็นพวกผู้หญิงที่เพิ่งมาถึงครั้งแรกคนหนึ่ง แต่เต๋อเซิ่งชางครองเมืองหลวงมานานปีแล้ว ในเมืองหลวงความสัมพันธ์ของผู้คนที่ซับซ้อนพันสลับดุจรากไม้กิ่งก้านเหล่านั้นพวกเขารู้ชัดยิ่งนัก
คุณหนูจวินได้ยินเขาพูดเช่นนี้ มองสีหน้าเขาก็เข้าใจทันที
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง” นางว่า “ที่แท้หวังเฉาซื่อเป็นคุณชายหนิงช่วยแนะนำมาให้ข้า”
หนิงอวิ๋นเจายิ้มหยันตนเอง
“อับอายแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
“ไม่ ไม่” คุณหนูจวินส่ายศีรษะยิ้ม “ข้ารู้ว่านางเป็นใคร แต่ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้า”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าจริงใจ
“คุณชายหนิง เจ้าคิดมากแล้ว”
คิดมากแล้ว?
หนิงอวิ๋นเจามองนาง สีหน้าด็กสาวนิ่งสงบ แววตาใสกระจ่าง ทำให้จิตใจคนนิ่งสงบลง
“ข้าคิดมากอีกแล้วหรือ?” เขาคิดนิดหนึ่งเอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้า
นางจำหวิงเฉาซื่อได้ไม่ใช่เพราะหนิงอวิ๋นเจา แต่นางเดิมก็รู้อยู่แล้ว
แน่นอนว่านางไม่เคยพบหวังเฉาซื่อมาก่อน นางเพียงรู้ว่ามีคนผู้นี้อาศัยอยู่ที่ตรอกแห่งนี้ คนผู้นี้คือคนรับใช้ของครอบครัวญาติผ่านการแต่งงานของหนิงเหยียน
คนที่มีความสัมพันธ์ฉันญาติมิตรไปจนถึงคนรับใช้ข้าทาสบริวารของขุนนางสำคัญตำแหน่งสูงอย่างหนิงเหยียนเช่นนี้ อาศัยอยู่ที่ไหนทำอะไร ในมือลู่อวิ๋นฉีเข้าใจกระจ่างแจ้ง
นางคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหวังเฉาซื่อเป็นหนิงอวิ๋นเจาจัดการมา
คิดถึงตรงนี้ก็อดยิ้มอีกครั้งไม่ได้
มองเห็นนางยิ้ม สีหน้าหนิงอวิ๋นเจาก็อึดอัดเล็กน้อย แต่ก็อยากยิ้มอยู่บ้างด้วย
ดังนั้นเขาจึงยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นพูดเช่นนี้ เจ้าก็ไม่ใช่เพราะไม่อยากรับน้ำใจจากข้าถึงปฏิเสธตรวจรักษา” เขายิ้มเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม ครั้งนี้ไม่ได้เอ่ยตอบ
คำถามเช่นนี้ไม่ต้องการคำตอบ
หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มด้วยแล้ว
พนักงานสองคนในห้องมองดูรอยยิ้มนี้ของหนึ่งชายหนึ่งหญิง สบตามองกันทีหนึ่ง ล้วนมองเห็นแววตาพิกลยุ่งเหยิงในดวงตาของอีกฝ่าย
“ถ้าอย่างนั้นเจตนาของเจ้าก็คือต้องการตามหาคนที่ช่วยเจ้าได้จริงๆ มารักษาโรค?” หนิงอวิ๋นเจาเก็บรอยยิ้มเอ่ยขึ้น
กันความคิดวุ่นวายสับสนเหล่านั้นออกไป คิดอีกครั้งเรื่องนี้เขาก็กระจ่างแจ้งแล้ว
ดังนั้นประโยคโบราณที่ว่าเป็นห่วงจึงว้าวุ่นถูกต้องแล้ว
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ข้าเข้าใจเจตนาของเจ้า” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย “แต่ตามหาคนเช่นนี้ไม่ง่ายใช่หรือไม่?”
คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่ง
“แม้ไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ใช่ทำไม่ได้” นางว่า
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้นหากเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ก็บอกข้าสักคำ” เขาเอ่ย “อย่า…”
อย่าทำให้ข้ากังวลใจนัก
คำพูดนี้ออกมาทำให้คนคิดมากอยู่บ้าง
เขาเก็บไว้ทันเวลา
“อย่า…เกรงใจ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ข้าแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่คนขี้เกรงใจ” นางเอ่ย มองหนิงอวิ๋นเจายิ้มทีหนึ่ง “คุณชายหนิงน่าจะรู้ดีที่สุด”
ไม่ว่าเป็นที่ให้ตระกูลหนิงซื้อสัญญาหมั้นราคาห้าพันตำลึง หรือทำให้หลินจิ่นเอ๋อร์พ่ายแพ้ชื่อเสียงยับเยิน เรื่องที่นางทำแต่ไหนแต่ไรล้วนไม่มีเกรงใจ
พูดขึ้นมานี่ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขา ควรทำให้คนกระอักกระอ่วน แต่ทำไมมุมปากเขาอดไม่ได้แย้มยิ้มแล้ว?
นางบอกว่า เขาควรรู้ดีที่สุด
นางบอกว่า เขารู้จักนางที่สุด
เสี่ยวติงมองชายหนุ่มที่เดินออกมาจากในโถง ก้าวเท้าเบาหวิว มุมปากยกสูง ตาโตอ้าปากค้าง
นี่เพิ่งเข้าไปไม่นานเท่าใด นายน้อยที่เดิมทีหน้าบึ้งคิ้วขมวดก็เปลี่ยนร่างผลัดกระดูกเช่นนี้แล้ว
นี่หลอกง่ายเกินไปแล้วกระมัง?
อนาคตหากแต่งงานกัน สามีหงอแน่นอน
เสี่ยวติงส่ายศีรษะตามไป
…
“คุณชายสิบหนิงพูดเช่นนี้หรือ?”
ได้ยินรายงานของพนักงาน ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถาม
พนักงานพยักหน้า ในเวลาเดียวกันแววตาก็วิบวับอยู่บ้าง
“ท่านผู้ดูแล ดูท่าความสัมพันธ์ของคุณหนูจวินกับคุณชายหนิงนี่ไม่เลวทีเดียว” เขาอดไม่ได้เอ่ยเสียงเบา “”ไม่ใช่ว่าสองตระกูลเป็นคู่แค้นกันหรือ?
แต่หลายวันนี้ดูแล้ว คุณชายหนิงคนนี้ใส่ใจคุณหนูจวินยิ่งนักล่ะ สองคนยังทานอาหารด้วยกันหลายมื้อ ตอนค่ำยังไปร่ำสุรา นี่เหมือนกับสหายสนิทที่สุดชัดๆ
หากเป็นผู้ชายทั้งหมดก็พูดเช่นนี้ได้ หากเป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิงล่ะก็….
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วถลึงตาใส่พนักงานผู้ยักคิ้วหลิ่วตาทีหนึ่ง
“นี่มันตอนไหนแล้ว จ้องแต่เรื่องไม่สำคัญพวกนี้” เขาเอ่ย “เจ้าเป็นพวกแม่นางเรอะ”
พนักงานอับอายก้มหน้าถอยหลัง
“จะตามหาคนที่ช่วยเหลือนางได้จริงๆ ถึงยอมรักษา” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยกับตนเอง ลูบเคราขมวดคิ้ว “นั่นก็คือจะทีเดียวสร้างชื่อ พูดเช่นนี้ย่อมต้องตามหาโรคร้ายรักษายากที่คนอื่นรักษาไม่หาย นอกจากนี้คิดว่าคงไม่ใช่แค่โรค ยังต้องดูฐานะของคนป่วยด้วย แต่นางวนมั่วทั่วเมืองเช่นนี้จะหาพบรึ?”
คนป่วยที่มีฐานะย่อมเชิญหมอชื่อดังมาทั่วแล้ว นอกจากนี้ซ่อนอยู่ในบ้านหลังโตประตูบานใหญ่ นางหมอเร่คนหนึ่งเช่นนี้ใครจะเชิญ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวันนี้แบกคำครหาว่าละโมบเลือกคนป่วย ไร้เมตตาอีก
เรื่องนี้ดูแล้วไม่มีทางเป็นไปได้สักนิดเลย แต่ดูไปแล้วคุณหนูจวินก็ดันเหมือนมีแผนการในใจอีก
น่าสนใจ
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลุกขึ้นยืน
“ไม่ได้ ข้าต้องไปดูกับตาตนเอง” เขาว่า “ดูสิหญิงไม่ธรรมดาคนนี้จะวางแผนฉลาดล้ำอะไรอีก”
……………………………………….