บทที่ 974 รากฐานตระกูลหาน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 974 รากฐานตระกูลหาน

เวลาผ่านไปเร็วยิ่ง ครบกำหนดหนึ่งแสนปีอีกครั้ง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น สอดส่องโลกอนธการเป็นอันดับแรกตามความเคยชิน จากนั้นก็ตรวจดูจดหมาย

ทุกอย่างล้วนปกติดียิ่ง ไม่มีจุดไหนที่ควรค่าให้กังวลเลย

เขาเริ่มนึกถึงหนังสือยอดชะตาขึ้นมา

ตอนนี้หนังสือยอดชะตากลับมาใช้งานได้แล้ว นี่เป็นเรื่องที่ดี ความสามารถเทียบได้กับเจตจำนงฟ้าบุพกาลที่เปลี่ยนแปลงความทรงจำของสรรพสิ่งได้ ไม่สิ ถึงขั้นที่เหนือกว่าด้วยซ้ำ เพราะเปลี่ยนให้กลายเป็นความจริงได้!

หานเจวี๋ยเรียกดูคำบรรยายของหนังสือยอดชะตาอีกครั้ง

[หนังสือยอดชะตา: สุดยอดสมบัติ ยอดสมบัติที่แปรผันขึ้นมาจากโชคอันไร้ขีดจำกัด สามารถปรับเปลี่ยนอดีตและอนาคตของตนและผู้อื่นได้ เปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้โดยตรง ไม่ถูกผูกมัดจากกฎเกณฑ์และการสอดส่อง แต่ไม่สามารถกำจัดการมีอยู่ของมหามรรคและกฎระเบียบ ทุกครั้งหลังที่ใช้สมบัติชิ้นนี้ จะถูกหักอายุขัยเป็นการแปลกเปลี่ยน สมบัติชิ้นนี้จะหลับใหลไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมื่อใช้บ่อยครั้งเข้า ช่วงเวลาที่หลับใหลจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า คำเตือนพิเศษ สมบัติชิ้นนี้ไม่สามารถยกระดับได้ ไม่สามารถตีตราเป็นเจ้าของได้]

เขาใคร่ครวญอยู่สักพัก คิดว่ายังไม่ใช้ตอนนี้ดีกว่า

หากในอนาคตเกิดเรื่องขึ้นก็นำออกมาใช้งานได้

ตอนนี้เขายังไม่มีอันตรายใดๆ เจ้านวฟ้าบุพกาลก็ไม่เอาความเขาด้วย

เช่นนั้นก็เก็บไว้ชั่วคราวก่อน

หลังจากหานเจวี๋ยตัดสินใจแล้วก็มองไปยังบุตรสาวที่อยู่ข้างกาย

เขาเอ่ยเรียก “หลิงเอ๋อร์ อยากเรียนรู้พลังวิเศษหรือไม่”

หานหลิงได้ฟังก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ พยักหน้ารับทันที

หานเจวี๋ยเริ่มถ่ายทอดพลังวิเศษให้

คุณสมบัติของหานหลิงเลิศล้ำจริงๆ เรียนรู้พลังวิเศษรอบเดียวก็แทบจะใช้เป็นเลย หานหลิงเรียนรู้พลังวิเศษจากหานเจวี๋ยไปกว่าสิบอย่าง ในบรรดานั้นรวมถึงฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรด้วย

หานหลิงกล่าวอย่างสะท้อนใจ “อยากหาคนประลองด้วยสักคนจริงๆ”

หานเจวี๋ยมอบสิทธิ์ในการเข้าถึงแบบจำลองการทดสอบให้นางทันที หลังจากนั้นก็อธิบายวิธีใช้งานคร่าวๆ นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก

หลายสิบปีให้หลัง หานหลิงจมจ่อมอยู่ในแบบจำลองการทดสอบ ไม่อาจถอนตัวออกมาได้

หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายมายังอาณาเขตเต๋าหลัก สอดส่องมรรคาสวรรค์

เขาพบว่าหานอวี้แต่งงานแล้ว สืบทายาทขยายวงศ์ตระกูล สองแสนปีมานี้ได้พัฒนาตระกูลหานจนกลายเป็นตระกูลใหญ่ที่มีรากฐานแข็งแกร่งในมรรคาสวรรค์แล้ว

ไม่ใช่อริยะทั้งหมดที่ล้วนหลงเหลือทายาทรุ่นหลังไว้ในแดนเซียน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงการชุบเลี้ยงจนกลายเป็นตระกูลใหญ่เลย

มรรควิถีแห่งอริยะมักจะถ่ายทอดจากอาจารย์สู่ศิษย์มากกว่า

สำหรับอริยะแล้วสายเลือดมิใช่วิธีสืบทอดที่มั่นคงเลย อัตราการปรากฏผู้มีคุณสมบัติเลิศล้ำขึ้นในบรรดาชนรุ่นหลังไม่ใช่เรื่องง่าย เทียบกับการรับศิษย์จากทั่วทั้งแดนเซียนไม่ได้เลย

อีกอย่าง หากว่าอริยะถ่ายทอดมรรควิถีสืบต่อกันทางสายเลือดก็จะทำให้คนนอกเข้าถึงได้ยาก มรรควิถีจะหดแคบลงไปเรื่อยๆ

ตอนนี้ ตระกูลหานแห่งแดนเซียนสืบทอดกันมาหลายสิบรุ่นถึงขั้นที่มีตระกูลสาขาแพร่ออกไปมากมาย กระจายอยู่ทั่วโลกมนุษย์ธรรมดาหลายสิบโลก

หานเจวี๋ยรู้สึกพึงพอใจ

มีเพียงหานอวี้เท่านั้นที่ทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ ปฏิบัติภารกิจที่เขามอบหมายให้จนสำเร็จสมบูรณ์

สำหรับตระกูลหาน หานเจวี๋ยไม่มีทางเข้าไปยุ่ง เพียงใช้เป็นกลุ่มตัวเลือกพื้นฐานสำหรับสวรรค์ประทานโชคเท่านั้น

ถึงอย่างไรตระกูลหานก็เป็นตระกูลของอริยะ ในหมู่ทายาทรุ่นหลังจึงมีบุตรสวรรค์แห่งมรรคาสวรรค์ปรากฏตัวขึ้นไม่น้อยทั้งยังมีชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นตระกูลบุตรแห่งสวรรค์ของมรรคาสวรรค์ด้วย

ในขณะที่หานเจวี๋ยพิจารณาครุ่นคิดอยู่ คลื่นวนสีดำหลุมหนึ่งพลันปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหานเจวี๋ย

วิชาอัญเชิญเทพ!

หานเจวี๋ยทำนายดู พบว่าวิชาอัญเชิญเทพถูกร่ายขึ้นโดยจ้าวเซวียนหยวน

หานหลิงยังอยู่ในแบบจำลองการทดสอบ หานเจวี๋ยจึงกระโจนเข้าสู่คลื่นวนสีดำทันที

ในอารามเต๋าแยกเสี้ยวเจตจำนงทิ้งไว้สายหนึ่งแล้ว ถึงครั้งนี้ไปแล้วตายก็ไม่กลัว

เมื่อกระโจนเข้าสู่คลื่นวนสีดำ ฉากที่ปรากฏต่อสายตาของหานเจวี๋ยคือมารพยาบาทล้นฟ้า รูปร่างอิริยาบถแตกต่างกันไปสารพัด แออัดเนืองแน่น มากจนวัดปริมาณไม่ได้

ด้านล่างคลื่นวนสีดำคือพวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่

เวลานี้ เต้าจื้อจุนและเจียงอี้บาดเจ็บสาหัส ร่างกายไม่สมประกอบเลือดไหลนอง บริเวณปากแผลมีไฟสีเขียวแปลกประหลาดคอยเผาไหม้อยู่ สีหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความทรมาน

เหล่าตานยกสองแขนขึ้นสูง ใช้พลังเวทของตนสร้างเขตอาคม ทำให้ปรากฏเกราะป้องกันเลือนรางที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าขึ้นรอบๆ ตัวคนทั้งสี่

เมื่อจ้าวเซวียนหยวนเห็นหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นก็โล่งใจทันที

“อาจารย์ ช่วยพวกเราด้วยขอรับ!”

จ้าวเซวียนหยวนรีบตะโกนบอก

หานเจวี๋ยยืนหันหลังให้คลื่นวนสีดำไม่ได้เคลื่อนย้ายไปไหน เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวตนลึกลับฉวยประโยชน์จากคลื่นวนสีดำแทรกซึมเข้าสู่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม

ม่านตาเขาหดตัววูบ มารพยาบาทที่ลอยเต็มฟ้าไม่คงอยู่อีกต่อไป ทั้งหมดสลายหายไปทันที

มารพยาบาทเหล่านี้ล้วนมีตบะระดับเสรี จะขวางกั้นสี่อริยะมหามรรคได้อย่างไร

หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกใจ

เขายังไม่ทันได้ซักถามก็พลันเหลือบมองไปในทิศทางหนึ่ง

บนแผ่นดินด้านล่างดูคล้ายทะเลทรายรกร้างลุ่มดอนเชื่อมกันไปเป็นทอดๆ ทางด้านซ้ายมือของหานเจวี๋ยสุดขอบแผ่นดินมีเงาร่างหนึ่งกำลังเดินเข้ามาช้าๆ

นั่นคือชายคนหนึ่งที่สวมชุดเกราะแตกๆ ไว้ รูปร่างสูงชะลูด เรือนผมยาวปลิวสยาย ใบหน้ามืดทะมึนปานวิญญาณร้ายคิ้วสีแดงตั้งดิ่งตรง สองเนตรมืดมนเย็นชา หากมองเผินๆ ดูราวกับเขามีดวงตาสี่ข้าง

รูปร่างของคนผู้นี้แกร่งกำยำดั่งสัตว์อสูร มือขวากุมดาบยักษ์เล่มหนึ่งไว้ ใบดาบที่ลากผ่านพื้นดินก่อให้เกิดรอยแยกสายหนึ่งลึกที่มองไม่เห็นก้นขึ้น หากเทียบกันดูแล้วดาบยักษ์เล่มนี้มีขนาดใหญ่โตกว่าร่างของเขาเสียอีก บนตัวดาบมีเกล็ดสีดำแดงปกคลุมอยู่ทั่ว ใบดาบเป็นสีเงินราวกับแสงจันทร์อำไพ

หานเจวี๋ยหรี่ตาลง

กลิ่นอายแกร่งกล้าปานนี้ เทียบเท่ายอดมหามรรคแล้ว!

ไม่แปลกเลยที่พวกเต้าจื้อจุนทั้งสี่จะต้านไม่ไหว

แต่หากจะว่าไปแล้ว ที่นี่คือที่ใดกัน

จิตศักดิ์สิทธิ์ของหานเจวี๋ยกวาดผ่านไปทั่วฟ้าดิน พบว่าฟ้าดินแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลอย่างยิ่ง เสมือนฟ้าบุพกาล ทว่าในฟ้าบุพกาลหามีดินแดนที่กว้างใหญ่ขนาดนี้อยู่ไม่

ช้าก่อน!

ก้นบึ้งฟ้าบุพกาล!

ก่อนหน้านี้ตอนที่หานเจวี๋ยต่อสู้กับดวงจิตบรรพกาลเคยร่วงหล่นลงสู่ก้นบึ้งฟ้าบุพกาล ก้นบึ้งฟ้าบุพกาลเองก็มีผืนแผ่นดินเช่นนี้เหมือนกัน

ไม่ถูกสิ!

ไม่ใช่ก้นบึ้งฟ้าบุพกาล!

ที่นี่ไม่มีปราณฟ้าบุพกาลเลยแม้แต่น้อย!

“อาจารย์ ระวังด้วยขอรับ สรรพสิ่งที่นี่กลืนกินพลังเวทได้!”

จ้าวเซวียวนหยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงร้อนรน เขาชี้ไปทางเงาร่างน่าหวาดกลัวที่ลากดาบเดินเข้ามาคนนั้น เอ่ยว่า “เต้าจื้อจุนและเจียงอี้บาดเจ็บเพราะคนผู้นั้น เพียงดาบเดียวทั้งสองก็เกือบสิ้นชีพแล้วขอรับ!”

เจียงอี้ไออย่างหนัก เอ่ยว่า “ไว้หน้ากันบ้าง…”

เหล่าตานเงยหน้ามองหานเจวี๋ย แววตาซับซ้อน

อริยะสวรรค์เกรียงไกร….

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ที่นี่คือสถานที่ใด”

จ้าวเซวียหยวนตอบว่า “ไม่ทราบขอรับ น่าจะมิใช่ฟ้าบุพกาล พวกเรามุดเข้ามาจากปากทางแห่งหนึ่งในก้นบึ้งฟ้าบุพกาล พวกเราได้ครอบครองอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคจากที่นี่ อยู่ที่นี่มานานขนาดนี้เดิมทีคิดว่าจะไร้พ่ายในระดับอริยะมหามรรคแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะพบคนผู้นี้เข้า”

อำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคเกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์สูงสุด สามารถครอบครองอำนาจศักดิ์สิทธิ์ชะตามหามรรคได้จากนอกฟ้าบุพกาลอย่างนั้นหรือ…

ครืน!

จู่ๆ ชายเกราะแตกที่อยู่ห่างออกไปก็กระโดดขึ้นไป ทำให้พื้นดินในรัศมีร้อยลี้ได้รับแรงสะเทือนจนพังทลาย ฝุ่นดินปลิวว่อน เขายกดาบยักษ์ที่อุดมด้วยเกล็ดโจมตีเข้าใส่หานเจวี๋ย

พลังน่าเกรงขามเช่นนี้มากพอจะทำให้สิ่งมีชีวิตสามัญตกใจตายได้ แต่เมื่อปรากฏต่อหน้าหานเจวี๋ยกลับไม่มีค่าพอให้เหลือบแลเลย

หานเจวี๋ยขมวดคิ้ว

ชายเกราะแตกฟันทำลายเกราะป้องกันจากพลังเวทของเหล่าตาน ส่งผลกระทบจนเหล่าตานทรุดลงไปนั่งกองกับพื้น เมื่อเห็นว่าดาบยักษ์ของเขากำลังจะฟันถูกร่างหานเจวี๋ย หานเจวี๋ยยกมือขึ้นแล้วซัดออกไป!

ฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกร!

สายลมกระโชกน่าหวาดหวั่นปะทุขึ้น ชายเกราะแตกสลายเป็นเถ้าธุลีปลิดปลิวไปทันที ดาบยักษ์มีเกล็ดเล่มนั้นหมุนคว้างลอยออกไปทางขอบฟ้า

เท่านี้หรือ

ยังสู้อริยะไม่ได้เลย!

กลิ่นอายทัดเทียมยอดมหามรรค แต่ความเร็วกลับสู้อริยะไม่ได้

ขณะที่หานเจวี๋ยกำลังฉงนอยู่นั้นเอง จู่ๆ ดาบยักษ์มีเกล็ดเล่มนั้นก็หยุดนิ่ง เปล่งแสงเยียบเย็นพุ่งเข้ามาโจมตีหานเจวี๋ยอีกครั้ง

เร็วยิ่ง!

คิ้วหานเจวี๋ยขมวดแน่นกว่าเดิม เขาไม่ได้หลบเลี่ยงเพราะมีคลื่นวนสีดำอยู่ด้านหลัง หากว่าดาบเล่มนี้พุ่งเข้าไปหานหลิงจะตกอยู่ในอันตรายแน่นอน

ตูม!

ดาบยักษ์มีเกล็ดถูกเสื้อคลุมเลิศธุลีแดงบนร่างหานเจวี๋ยสกัดไว้ พลังสองสายปะทะกันสร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่วนภาเกิดระลอกสั่นไหวรุนแรง พายุพัดโหมจนทำให้ผืนแผ่นดินไร้ขอบเขตสั่นสะเทือน

สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาหานเจวี๋ยคือเกล็ดที่อยู่บนดาบยักษ์โผล่ออกมา รวมตัวกันเป็นชายเกราะแตกคนก่อนหน้านี้

………………………………………………………………