บทที่ 918 คุณพ่อที่สติแตก

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ผู้ชายคนนี้ ทำร้ายอารัณเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง

วารุณีที่เป็นคนใส่ใจเด็กขนาดนั้น จะเอาเด็กไปส่งให้พงศกรเองได้ยังไงกัน?

ยิ่งไปกว่านั้น สุขใจก็ยังเป็นเด็กเล็กขนาดนี้

ถ้าเกิดคนนี้ทำอะไรสุขใจขึ้นมา สุขใจก็ไม่มีทางขัดขืนเขาได้

ในตอนนี้วารุณีไม่อยู่ที่นี่ พี่นันทาเองไม่อยู่เหมือนกัน เป็นไปได้มากว่าพงศกรอาจจะแอบลักพาตัวเด็กออกมาอย่างลับๆ

แต่ก็ไม่รู้ ว่าพงศกรรู้ได้ยังไงว่าสุขใจอยู่ที่ไหน ถึงได้เตรียมการลักพาตัวสุขใจออกมาได้

“ มันจะเป็นไปไม่ได้ได้ยังไง? ” พงศกรตบหลังสุขใจเบาๆ กล่อมสุขใจให้หลับไปพลาง มองนัทธีไปพลาง ใบหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ไม่เชื่อเหรอ ก็ลองถามภรรยานายดูสิ”

“ฉันถามเธอแน่ แต่ตอนนี้ ส่งเด็กมาให้ฉันก่อน” นัทธีเอื้อมมือออกไปเพื่อจะอุ้มสุขใจกลับมา ด้วยสีหน้าเย็นชา

แต่พงศกรกลับไม่ฟังคำของเขา แล้วปล่อยมือออกข้างหนึ่ง เปลี่ยนมาทำท่าทางให้เงียบอยู่ที่บริเวณปาก “รอก่อนสิ รอให้ฉันกล่อมเขาหลับก่อน จากนั้นฉันจะให้นายแน่ แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กนี่อารมณ์ดีเกินไป ไม่ยอมนอนสักที”

เขาก้มหน้าลงมองสุขใจ สุขใจยังคงจ้องมองไปที่พงศกรด้วยดวงตากลมโตของเขา

มองไปพลาง คลี่บางยิ้มน้อยๆ ไปพลาง

แค่ยิ้ม น้ำลายก็ไหลออกมาจากปาก

พงศกรเช็ดน้ำลายที่มุมปากของเขาด้วยความเอ็นดู บนใบหน้าไม่มีท่าทีรังเกียจใดๆ ดูแล้ว เหมือนพ่อคนหนึ่งที่กำลังเลี้ยงลูกจริงๆ

เมื่อนัทธีเห็นภาพนี้แล้ว ตอนแรกก็รู้สึกแปลกใจ หลังจากนั้นเริ่มรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา สีหน้ายิ่งดูย่ำแย่ไปใหญ่

เขานอนอย่างเชื่อฟังอยู่ในอ้อมแขนของพงศกร ไม่ร้องไห้ ไม่โวยวาย แต่ในทางกลับกันเด็กน้อยยังยิ้มให้พงศกรอีกด้วย ในใจทั้งโกรธ ทั้งทำอะไรไม่ถูก

เฮ้ เฮ้ เฮ้ เด็กน้อย คนที่อุ้มหนูอยู่ เป็นคนที่เคยทำร้ายพี่ชายหนูนะ แล้วก็เป็นผู้ชายชั่วๆ ที่ทำร้ายแม่หนูด้วย

หนูยังจะยิ้มให้เขาอีกเหรอ

เป็นเด็กที่ไม่มีจิตสำนึกจริงๆ

นัทธีรู้ดีว่าสุขใจชอบยิ้ม ทุกๆ วันตอนที่เขากลับมาอุ้มสุขใจ ตราบใดที่สุขใจตื่นอยู่ ก็จะยิ้มให้เขา แม้กระทั่งกับคนอื่นก็ยิ้มให้ เป็นเด็กน่ารักที่เลี้ยงง่ายมากๆ คนหนึ่ง

แต่เขาไม่อยากให้สุขใจยิ้มให้พงศกรเลยสักนิด

“ประธานนัทธี เป็นอะไรไป?ดูเหมือนนายกำลังหึงนะ” พงศกรมองไปที่หน้าของนัทธีที่กำลังดำคล้ำ แล้วมองไปที่สุขใจที่อยู่ในอ้อมแขน เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที ยิ่งหัวเราะอย่างมีรสมีชาติมากขึ้นกว่าเดิม

นัทธีไม่คิดว่าตัวเองจะแสดงอาการออกมาได้ชัดเจนขนาดนี้ ถอนลมหายใจเย็นๆ ออกมาทีหนึ่ง ก็ไม่อยากที่จะอดทนต่อไปอีกแล้ว จึงเอื้อมมือไปแย่งสุขใจมาจากอ้อมแขนของเขา

สุขใจที่ตอนแรกนอนอยู่ในอ้อมแขนของพงศกรสบายๆ บวกกันที่พงศกรใช้มือข้างหนึ่งกล่อมเด็ก เขาเริ่มรู้สึกง่วงนอนแล้ว ดวงตาเริ่มค่อยๆ ปรือลงจนจะหลับไปแล้ว

สุดท้ายโดยนัทธีอุ้มไปแบบนั้น สุขใจก็ตื่นขึ้นมาทันที หลังจากนั้นปากเล็กๆ ก็เบ้ออก แล้วร้องไห้เสียงดังออกมา เสียงดังนั้นดังแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เมื่อก่อนเวลาสุขใจร้องไห้ จะร้องแบบที่ดูแล้วบอกบางมาก เสียงร้องก็เบาราวกับเด็กผู้หญิง ร้องเพียงครู่เดียวก็เงียบไป

แต่ครั้งนี้ ในที่สุดสุขใจก็ร้องไห้ออกมาได้เหมือนเด็กผู้ชายแล้ว เสียงร้องไห้นั้นก้องกังวานอย่างมาก ทำเอานัทธีสะดุ้งตกใจไปทีหนึ่ง จากนั้นคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน บนใบหน้าแสดงความสับสน และท่าทีที่ไม่ได้เตรียมใจเอาไว้ออกมา

ตอนนี้ เขาคิดไม่ถึงว่าสุขใจจะร้องไห้ออกมากะทันหันแบบนี้ แล้วก็ไม่คิดว่าจะร้องออกมาดังขนาดนี้

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสุขใจร้องไห้หนักขนาดนี้ ตัวเขาเองก็ไม่เคยปลอบเด็กที่ร้องไห้หนักขนาดนี้มาก่อน พอต้องเผชิญหน้ากับสุขใจในตอนนี้ เขาก็เลยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร

พอพงศกรเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้แล้ว เขาลุกขึ้นแล้วยื่นมือออกไป “ส่งเด็กมาให้ฉัน”

นัทธีกอดสุขใจไว้แน่น มองพงศกรอย่างหวาดระแวงและไม่ยอมส่งเด็กให้เขา

เขากลัวว่าผู้ชายคนนี้จะทำร้ายสุขใจ

พงศกรรู้ดีว่านัทธีกำลังคิดอะไรอยู่ แล้วก็รู้ด้วยว่า เพราะอะไรนัทธีถึงมีความคิดอย่างนั้น

ถึงยังไงเขาก็รู้ตัวดีว่าเมื่อก่อน ตัวเขาทำผิดจริงๆ เลยทำให้เวลาตัวเองอยู่ต่อหน้าพวกเขา ไม่มีความน่าเชื่อถือใดๆ เลย

ถ้าสุขใจถูกแย่งไปแล้ว ไม่ร้องไห้งอแง เขาย่อมยอมปล่อยไปแล้ว

แต่ตอนนี้สุขใจร้องไห้ ร้องเสียงดังมากด้วย เป็นเสียงร้องที่พอฟังแล้วทำให้รู้สึกปวดใจแบบนั้น เขาจะไม่สนใจก็ไม่ได้

ถึงยังไงสุขใจก็ชอบเขามาก

คิดแล้ว พงศกรก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองหน้านัทธี สีหน้าจริงจังและตั้งใจสุดๆ “นัทธี ทางที่ดีนายส่งเด็กมาให้ฉันดีกว่า สุขใจเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนด ไม่ควรให้ร้องไห้บ่อย ถ้าร้องมากไป มันจะทำร้ายอวัยวะภายในของเขาอย่างมาก ทำให้เขาไม่สบายได้”

ได้ยินเช่นนั้นแล้ว ท่าทีของนัทธีก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย สีหน้าของเขาตึงเครียดขึ้นมาทันที

เขาไม่ได้เลยสงสัยว่าพงศกรกำลังพูดโกหก

เมื่อเทียบกับสีหน้าของพงศกรดูจริงจังมากๆ

อย่างที่สองคือคำพูดของพงศกรที่เตือนสติเขามากขึ้น นั่นคือสุขใจคลอดก่อนกำหนด ร่างกายไม่แข็งแรง ถ้าร้องไห้มากไป จะไม่ดีกับร่างกายจริงๆ นั่นแหละ

ผู้ใหญ่ปกติคนหนึ่งถ้าร้องไห้มากๆ ก็ยังไม่เป็นผลดีต่อร่างกายเลย ไม่ต้องพูดถึงเด็กเล็กๆ แล้วยังเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนดอีกด้วย

ดังนั้นนัทธีเลยไม่สนใจพงศกร เขาก้มหน้าลงแล้วกล่อมเด็กน้อย ไม่อยากให้สุขใจร้องไห้อีก

แต่ครั้งนี้ไม่ว่าจะกล่อมอย่างไร สุขใจก็ไม่หยุดร้องสักที

ผ่านไปพักหนึ่ง คิ้วของนัทธีก็ขมวดแน่นขึ้นกว่าเดิม สีหน้าของเขาก็ดูเครียดมากขึ้น

เพราะเขารู้แล้วว่า ตัวเองปลอบสุขใจไม่ได้

พงศกรเห็นดังนั้นแล้วถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “นัทธี ถ้านายเชื่อใจฉัน นายก็ส่งสุขใจมาให้ฉัน ฉันมีวิธีทำให้สุขใจหยุดร้องได้ สุขใจถูกพวกนายทะนุถนอมมาตลอด นิสัยต้องถูกเลี้ยงมาให้เอาแต่ใจแน่ๆ เมื่อกี้จู่ๆ นายก็แย่งสุขใจไป สุขใจเลยตกใจ ถึงได้ร้องไห้ไม่หยุด เพราะฉะนั้นนายปลอมเขาไม่ได้หรอก ถึงเขาจะยังเล็ก แต่เขาก็รู้ ว่าใครทำให้เขาตกใจ”

ได้ยินแบบนั้น นัทธีถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่ง

คาดไม่ถึงว่า เหตุผลที่สุขใจร้องไห้ไม่หยุดนั้นเป็นเพราะตัวเขาเอง

อย่างนั้นแล้วตัวเขา ก็ไม่อาจอุ้มสุขใจได้อีกแล้วจริงๆ

แต่ที่นี่มีแค่เขากับพงศกร เท่านั้น วารุณีกับพี่นันทาก็ไม่รู้ไปอยู่ไหนกันหมด เรียกให้พวกเขามา ก็ยังไม่รู้ว่าจะมาถึงตอนไหน

เขาไม่สามารถปล่อยให้สุขใจร้องไห้ต่อไป จนกว่าพวกเขาจะมาได้

ดังนั้น ต้องส่งสุขใจให้กับพงศกรอย่างเดียวแล้วจริงๆ เหรอ?

พอเห็นนัทธียังลังเล พงศกรก็ขมวดคิ้ว “นัทธี นายอยากให้เกิดเรื่องกับลูกชายนายงั้นเหรอ? ”

ประโยคนี้ ทำเอาเขาตกใจ แล้วดึงสติกลับมาได้ทันที

เขามองไปที่ พงศกร แล้วกลับมามองสุขใจในอ้อมแขน สุดท้ายก็ตัดสินใจ ใช้สองมือส่งสุขใจให้เขา เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบๆ ว่า “ทางที่ดีนายอย่าทำอะไรสุขใจเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฉันจะฉีกนายศพเป็นชิ้นๆ แน่”

ตอนที่พูดอย่างนั้นออกไป มีความเย็นยะเยือกแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา ทำให้คนกลัวจนตัวสั่น

แต่พงศกรกลับไม่ได้รู้สึกอะไรสักนิด เขาตบหลังกล่อมสุขใจเบาๆ หลังจากนั้นก็ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ว่า “นายวางใจได้ ฉันไม่ทำอะไรสุขใจหรอก ก็แค่ช่วยเก็บกวาดเรื่องยุ่งๆ แทนพ่อที่ขาดความรับผิดชอบอย่างนายก็เท่านั้นเอง”

คำนั้นที่พูดออกมา จริงๆ คือจงใจเหน็บแนม

เพราะนัทธีไม่ใช่เป็นคนขาดความรับผิดชอบ ในทางกลับกัน เขาเป็นคนมีความรับผิดชอบสูงมาก

เขากลัวว่าสุขใจจะถูกพงศกรทำร้าย ดังนั้นเลยแย่งสุขใจไป ภายใต้ความร้อนรน

แต่เขาไม่คิดว่าจะทำให้สุขใจตกใจ แล้วทำให้สุขใจร้องไห้หนักแบบนี้

อีกอย่างตัวเขาเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์เลี้ยงเด็กเล็กขนาดนี้มาก่อน ถึงได้ทำตัวไม่ถูก ตอนที่สุขใจร้องไห้

นัทธีรู้ว่าพงศกร จงใจที่จะเหน็บแนมเขา ได้แต่เม้มปากบางๆ ไว้แน่น แล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร

เพราะเวลานี้เขาห่วงความปลอดภัยของเด็กมากกว่า ไม่ใช่ตัวเขาเอง

เขาจ้องเขม็งไปที่พงศกร จ้องเหมือนกับว่าเขาเป็นนักโทษ กลัวว่าพงศกรจะทำอะไรสุขใจ

โชคดีที่พงศกรไม่ได้ทำอะไรสุขใจ เพียงแค่กล่อมสุขใจอย่างปกติเท่านั้น

จะว่าไปก็แปลก พอสุขใจอยู่ในอ้อมแขนของพงศกร สุขใจก็สงบลงได้อย่างรวดเร็ว ไม่ร้องไห้แล้ว แต่เพราะเมื่อกี้ร้องไห้เสียงดัง และนานเกินไป หลังจากที่หยุดร้องไห้ไปสักพัก ตัวก็ยังสั่นอยู่เล็กน้อย ดวงตาที่มีน้ำตาคลออยู่น้อยๆ มองไปที่พงศกร แล้วคลี่ยิ้มออกมา