เล่ม 1 ตอนที่ 233-2 เจอตัวจิ่งอวิ๋น ครอบครัวพร้อมหน้า (ต้น)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 233-2 เจอตัวจิ่งอวิ๋น ครอบครัวพร้อมหน้า (ต้น)

ตอนกลับไปถึงปราสาทไซน่า จีหมิงซิวกำลังหารือเรื่องบางอย่างกับจีอู๋ซวงอยู่ พอเห็นนางเข้ามา จีอู๋ซวงก็มองนางด้วยสายตาประหลาดทีหนึ่ง ก่อนจะถอยออกไปอย่างรู้งาน

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “พวกท่านกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ สายตาที่เขามองข้าดูประหลาดนัก”

จีหมิงซิวเก็บแผ่นกระดาษในมือลงไปโดยไม่ให้ใครเห็น เอ่ยยั่วแหย่ว่า “อาจเพราะช่วงนี้เจ้ามักยั่วยวนข้า เขาเลยทนดูไม่ได้แล้วกระมัง”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว “เขาไม่ได้คิดจะแยกท่านออกจากฮูหยินน้อยอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรอกหรือ ข้าทอดสะพานให้ท่าน เขาควรดีใจถึงจะถูก”

จีหมิงซิวหัวเราะเบาๆ เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่น “เจ้าถืออะไรอยู่น่ะ”

เฉียวเวยคลี่ภาพเหมือนนั้นออกกางบนโต๊ะ “มีขโมยบุกเข้าไปที่ปราสาทเฮ่อหลัน กำไลของเจ้าคนตัวปลอมนั่นถูกขโมยไป ตอนนี้ท่านตาข้า… แค่ก ท่านตาของฮูหยินน้อยกำลังประกาศจับให้ค่าหัวคนผู้นี้อยู่ คนที่ให้ข้อมูลได้รางวัลห้าร้อยเหรียญทอง คนที่จับเขาได้มีรางวัลถึงสองพันเหรียญทองเชียวนะ พวกเราไม่ได้กำลังขาดเงินกันอยู่หรือ ถึงอย่างไรก็อยู่ว่างๆ อยู่แล้ว สู้ไปควานหาตัวเขา หาเงินใช้สักหน่อยจะเป็นไร?”

ใต้เท้าเจ้าสำนัก: ข้าช่วยเลี้ยงดูบุตรเจ้าถึงขนาดนี้ เจ้ายังคิดจะขายข้าอีก!

จีหมิงซิวอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เงินของท่านตาเจ้าก็ยังอยากได้?”

เฉียวเวยตอบว่า “ไม่เอาก็เสียดายแย่สิ! อีกอย่างบุรุษผู้นี้ข้ารู้จัก เขาคือคนที่คราก่อนรวมหัวกับสวินชิงเหลาทำเรื่องเลวร้ายนั่น บัญชีคราก่อนข้ายังไม่ได้คิดกับเขาเลย ครานี้จะได้รวบยอดทีเดียวไปเลย!”

สายตาของจีหมิงซิวมองไปยังภาพเหมือนนั้น “คนผู้นั้น? เขาเป็นคนชนเผ่าลึกลับ? แต่ดูจากท่าทางแล้ว ไม่เหมือนว่าเป็นพวกเดียวกับตัวปลอมพวกนั้น เหตุใดเขาถึงไปถึงตระกูลจีได้”

เฉียวเวยกินผลไม้ไปลูกหนึ่ง “เรื่องนี้คงต้องถามท่านแล้ว ตระกูลจีไปมีเรื่องกับคนชนเผ่าลึกลับตั้งมากมายขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไร”

จีหมิงซิวงงงวยหนักยิ่งกว่าเฉียวเวยเสียอีก ตระกูลจีกับชนเผ่าลึกลับไม่เคยไปมาหาสู่กันมาก่อน หากจะพูดเรื่องทำให้ไม่พอใจ คงมีแค่เรื่องแต่งงานกับจั๋วหม่าน้อยของชนเผ่าลึกลับ จนต้องเข้าไปอยู่ในการต่อสู้ของชนเผ่าลึกลับเท่านั้น “ข้าถามไซน่าอิงมาแล้ว ไซน่าอิงบอกว่านอกจากเขา ตระกูลไซน่าไม่ได้ส่งใครไปยังจงหยวนอีก ดังนั้นคนผู้นี้จึงไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลไซน่า เวลานี้จั๋วหม่าน้อยตัวปลอมก็กำลังตามจับตัวเขา เขากับนางไม่ใช่พวกเดียวกันเช่นกัน เช่นนั้นแล้วเขาเป็นใครกันแน่”

เฉียวเวยยักไหล่ “ใครจะไปรู้เล่า”

จีหมิงซิวนิ่งไป “เจ้าไม่ได้บอกว่าเขาไม่มีวรยุทธ์หรอกหรือ”

เฉียวเวยนึกย้อนไป “อื้อ… เขาไม่มีวิชาตัวเบาและไม่มีกำลังภายใน ส่วนกระบวนท่า นับว่าพอมีบ้าง”

จีหมิงซิว “คนที่ไม่มีกำลังภายในไม่มีวิชาตัวเบา ไม่มีทางปีนขึ้นปราสาทเฮ่อหลันที่สูงเป็นร้อยฉื่อได้แน่”

เฉียวเวยนิ่งคิด “บางทีอาจจะเดินเข้าไปทางประตู?”

จีหมิงซิวส่ายหน้า “องครักษ์ที่ปราสาทเฮ่อหลันแน่นหนายิ่งกว่าวังหลวงของต้าเหลียงเสียอีก ถ้าเขาคิดจะเดินเข้าไป ก่อนอื่นต้องมีฐานะที่สามารถเดินเข้าไปได้ หากไล่หาตามฐานะแล้ว การตามหาเขาเป็นเรื่องแสนง่ายดาย ไม่จำเป็นต้องทุ่มเงินมากเพียงนี้”

เฉียวเวยคล้ายกระจ่างแจ้งแก่ใจโดยพลัน “ดังนั้นท่านเลยกำลังสงสัยว่าเขาไม่ได้ขโมยของเจ้าตัวปลอมนั่นแต่แรก แต่ที่เจ้าตัวปลอมนั่นคิดจะจับตัวเขา เป็นเพราะมีเหตุผลอื่น?”

จีหมิงซิวพยักหน้า “เป็นเหตุผลที่ไม่สะดวกจะเปิดเผยต่อสาธารณชน พวกเราไม่ได้ตามหาพิรุธของพวกเขามาโดยตลอดหรือ เรื่องนี้บางทีอาจจะใช้ได้ก็ได้”

เฉียวเวยลูบคาง “ฟังดูมีเหตุผลนะ ทุกวันนี้เจ้าตัวปลอมยุ่งอยู่แต่กับการปั่นหัวท่านตาของฮูหยินน้อย ความคับแค้นใจใดๆ ก่อนหน้านี้ควรจะวางไว้ก่อนถึงจะถูก ที่นางรีบร้อนจะตามหาบุรุษผู้นี้ถึงเพียงนี้ ต้องเป็นเพราะบุรุษผู้นี้สร้างความหวาดหวั่นอะไรให้นางเป็นแน่ หากนางไม่หาตัวเขาให้พบ คงกินไม่ได้นอนไม่หลับ!”

โรงสุราในเมือง หลังจากพิธีล้างบาปดั่ง “พายุโหม” จบลง สภาพภายในกลายเป็นเละเทะยับเยิน

เฟิงซานเหนียงคุกเข่าอยู่กับพื้น ถูกองครักษ์คนหนึ่งใช้มือจ่ออยู่ที่คอ เนื้อตัวสั่นเทิ้ม “ที่ข้ารู้… ข้าบอกไปหมดแล้ว… พวกเจ้าไว้ชีวิตข้าเถิด…”

ฮาจั่วพูดเสียงเย็นว่า “คนผู้นั้นไปไหนแล้ว”

เฟิงซานเหนียงตอบด้วยความหวาดกลัวว่า “ข้าไม่รู้… ข้าไม่รู้จริงๆ… เขาย้ายออกไปตั้งแต่เมื่อแปดปีก่อนแล้ว… หลังจากนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีก ช่วงนี้ข้าเพิ่งได้พบเขาครั้งหนึ่ง ก็คือครั้งที่เขาเอาเด็กมาขาย…”

ฮาจั่วถามเสียงขรึม “เขายังมีญาติพี่น้องหรือมิตรสหายอีกหรือไม่”

เฟิงซานเหนียง “เมื่อยังเล็กเขาเคยมีพ่อ แต่พ่อของเขาไปจากชนเผ่าลึกลับไม่ได้กลับมาหลายปีแล้ว คิดว่าคงตายอยู่ข้างนอกไปแล้ว!”

ฮาจั่วสายตาเย็นยะเยือก “พ่อของเขา? เมื่อวานเจ้าไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้!”

เฟิงซานเหนียงเสียงสั่น “นั่นเพราะ… เขาไม่ได้เป็นพ่อแท้ๆ… ข้าเลยคิดว่าไม่สำคัญ…”

ฮาจั่วตบโต๊ะดังปัง “เจ้ายังรู้อะไรอีก บอกความจริงข้ามาให้หมด!”

เฟิงซานเหนียงตอบด้วยความหวาดผวา “พ่อเขาได้ชื่อว่าเป็นไอขี้เหล้าของที่นี่ วันๆ เอาแต่กินเหล้า ไม่ทำการทำงาน ใช้ชีวิตอย่างอัตคัดอดอยาก มีอยู่วันหนึ่งพ่อเขาไปออกทะเล กลับมาก็มีเด็กอายุสี่ห้าขวบคนหนึ่งกลับมาด้วย แต่พ่อเขาไม่ดีกับเขาเลย พอกินเหล้าเมาก็ทุบตีเขา ข้าเคยให้ยาทาแผลเขาอยู่หลายครั้ง ตอนหลังไม่รู้เขารู้ได้อย่างไรว่าข้าค้าเด็ก ก็เลย… เลยมาหาข้าเพื่อเอาตัวเองมาขาย”

เอา เอาตัวเองมาขาย?

มุมปากฮาจั่วกระตุก “ขายให้ใคร”

เฟิงซานเหนียงเล่าว่า “ขายให้กับสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีภรรยาคู่นั้นไม่มีลูก แรกเริ่มก็ดีกับเขามาก แต่ผ่านไปไม่ถึงสองปีก็คลอดลูกเป็นของตัวเอง เขาบีบคอเด็กคนนั้น…จนเกือบตาย สามีภรรยาเลยไล่เขาไป… ตอนหลังเขามาเป็นคนเร่ร่อนอยู่ในเมือง มีชีวิตอย่างนั้นอยู่หลายปีก่อนจะไปอยู่ที่อื่น เขาหายไปเลยเจ็ดแปดปี ข้าไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน ไปทำอะไร… ข้ารู้เพียงเท่านี้ ท่านไว้ชีวิตข้าเถอะ ใต้เท้า!”

ฮาจั่วจิกผมนางขึ้นมา ใช้มีดโค้งจ่อเข้าที่คอ “รู้เท่านี้… จริงๆ?”

ตกดึก อาต๋าเอ่อร์ไปสืบข่าวกลับมาแล้วจึงไปยังป่าด้านหลังกระท่อมพร้อมกับใต้เท้าเจ้าสำนัก

“สืบได้ความหมดแล้ว?” ใต้เท้าเจ้าสำนักถาม

อาต๋าเอ่อร์ “มีสามข่าว ข่าวที่หนึ่ง ทั้งเกาะกำลังประกาศตามจับตัวท่าน ค่าหัวท่านมีมูลค่าสองพันเหรียญทอง”

“แค่สองพันเหรียญทอง?” สายตาของใต้เท้าเจ้าสำนักพลันเย็นยะเยือก “ข้าจำได้ว่าเคยมีนักฆ่าในเกาะลับ ค่าหัวเขาตั้งห้าพันเหรียญทอง”

อาต๋าเอ่อร์: คนเขาตัดหัวคนไปตั้งสิบแปดคน

“ข่าวที่สองเล่า?” ใต้เท้าเจ้าสำนักถามต่อ เห็นได้ว่าไม่รู้สึกอะไรกับการที่ตนถูกประกาศจับนัก

อาต๋าเอ๋อร์ “ข่าวที่สองก็คือมีคนจากต่างชนเผ่ากลุ่มหนึ่งเข้าพักที่บ้านตระกูลไซน่า หนึ่งในนั้นเป็นสตรี อ้างตนว่าเป็นจั๋วหม่าน้อยตัวจริง ไซน่าฮูหยินยังพานางเข้าไปที่ปราสาทเฮ่อหลันมาแล้ว แต่ถูกผู้อาวุโสทั้งหลายขวางเอาไว้”

ใช่จริงๆ เสียด้วย ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมุมปากที่แดงฉ่ำขึ้น “ข่าวที่สาม?”

อาต๋าเอ่อร์ “เฟิงซานเหนียงทนไม่ไหว บอกเล่ารายละเอียดของท่านไปหมด รังเก่าของพวกเราเลยถูกทะลายแล้ว”

นัยน์ตาเจ้าเล่ห์ของใต้เท้าเจ้าสำนักมีแววเย็นยะเยือก “พวกพี่น้องเป็นอย่างไรบ้าง”

อาต๋าเอ่อร์ “หนีออกมากันหมด ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ”

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “แล้วตาแก่พวกนั้นเล่า”

อาต๋าเอ่อร์ตอบอย่างสงบนิ่ง “คนที่หนีเร็วที่สุดก็คือพวกเขา”

ใต้เท้าเจ้าสำนักยื่นมือไปเด็ดใบไม้มาใบหนึ่ง ยกมุมปากที่แดงฉ่ำเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย “ทะลายรังเก่าของข้า บัญชีแค้นนี้ข้าจำไว้แล้ว! เจ้าไปเขียนจดหมายถึงปราสาทไซน่า…”

อาต๋าเอ่อร์ตัดบทอีกฝ่าย “เจ้าสำนัก ข้าเขียนหนังสือไม่เป็น”

ใต้เท้าเจ้าสำนักสายตาเย็นยะเยือก “แล้วข้าเขียนเป็น?”

อาต๋าเอ่อร์นิ่งเงียบ

นี่ช่างเป็นหัวข้อสนทนาที่น่าเจ็บปวดเหลือเกิน

ใต้เท้าเจ้าสำนักปัดมือ “ไปเอาพู่กันมา!”

วันต่อมาไซน่าฮูหยินกำลังเย็บหนังสัตว์อยู่ในห้อง องครักษ์ถือจดหมายเข้ามาฉบับหนึ่ง ไซน่าฮูหยินเปิดอ่านก็ถึงกับงงงวยไปหมด

นี่ นี่วาดรูปอะไรกันนี่

ตัวประหลาดตัวเล็กรูปร่างบิดเบี้ยวสองตัว ในมือตัวประหลาดนั้นอุ้มตัวที่ประหลาดยิ่งกว่าอยู่คนละตัว ข้างกันนั้นมีตัวประหลาดตัวใหญ่ที่บิดเบี้ยวหนักยิ่งกว่ายืนอยู่ ในมือตัวประหลาดตัวใหญ่มี… แตงกวา บนแตงกวามีหยดน้ำสีดำสนิท กำลังยื่นไปให้ตัวประหลาดตัวเล็ก คล้ายว่ากำลังบังคับให้ตัวประหลาดตัวเล็กกินลงไป ข้างๆ ยังวาดรูปเหรียญทองเอาไว้ บนเหรียญทองเขียนว่า “หนึ่งด้าน” ข้างใต้คำว่า “หนึ่งด้าน” มีคำที่เขียนไม่ครบ แต่พออ่านได้ว่า “รปงาม”

“รปงาม?” ไซน่าฮูหยินขมวดคิ้ว

สาวใช้ออกความเห็น “อาจเป็นคำว่า…รูปงาม?”

ต่อให้เป็นคำว่ารูปงามข้าก็ดูไม่เข้าใจอยู่ดี!

ไซน่าฮูหยินคิดอะไรไม่ออกสักนิด สาวใช้พยายามดูอยู่พักหนึ่งก็บอกว่า “เหมือนเป็นรูปที่เด็กวาดเลยนะเจ้าคะ”

ไซน่าฮูหยิน “เรื่องนี้ข้ารู้” ผู้ใหญ่จะวาดออกมาอัปลักษณ์เช่นนี้ได้หรือ หลานชายของนางที่อายุหกขวบยังวาดได้ดีกว่าเลย!

สาวใช้พยายามเค้นสมองสุดกำลัง “จะใช่ว่า… เด็กสองคนนี้ไม่ยอมกินข้าว พ่อพวกเขาเลยบอกว่าแตงกวาสดมาก เพิ่งล้างมา ยังมีหยดน้ำอยู่เลย รีบกินเข้า ถ้ากินเสร็จ… พวกเจ้าก็จะหน้าตาดีแล้วหรือไม่”

“ใครจะส่งของประหลาดๆ เช่นนี้มา” ไซน่าฮูหยินวางกระดาษลงกับโต๊ะด้วยความรังเกียจ

องครักษ์บอกว่า “เขาจะส่งให้แขกจากต่างชนเผ่าขอรับ”

แขกจากต่างชนเผ่า? ในใจไซน่าฮูหยินงงงัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เก็บจดหมายของผู้อื่นไว้ “รีบไปส่งเถอะ นางอยู่ที่เรือนหลัง”

“ขอรับ” องครักษ์เอาจดหมายไปส่งให้เฉียวเวย

บนทางเดินเล็กลึกลับภายในป่า อาต๋าเอ่อร์ถามเจ้าสำนักว่า “เจ้าสำนัก พวกเขาจะพามาจริงๆ หรือ”

ใต้เท้าเจ้าสำนักตอบอย่างมั่นใจว่า “แน่นอน”

เขาวาดไปชัดเจนมาก – จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูถูกข้าลักพาตัวมา บนมีดข้ามีเลือดอยู่เต็มไปหมด เวลานี้มีดเล่มนั้นจ่ออยู่ที่คอของพวกเขา ให้เอาเงินหนึ่งหมื่นเหรียญทองมาหาข้า หาไม่แล้ว…

ตอนหลังเขาวาดต่อไม่ถูก แต่ความหมายนี้คิดว่าทุกคนน่าจะเข้าใจ ถึงอย่างไรพวกโจรลักพาตัวก็พูดกันเช่นนี้ทั้งสิ้น

“ท่านได้บอกที่อยู่ไว้หรือไม่” อาต๋าเอ่อร์ถาม

ใต้เท้าเจ้าสำนัก “…”

เขาลืม

จีหมิงซิวออกจากปราสาทไซน่า นี่เป็นครั้งแรกหลังจากเข้าพักที่ปราสาทไซน่าที่เขาได้ออกไปไหนมาไหนอย่างเปิดเผย คนที่นี่รู้ร่องรอย “การเดินทาง” ของเขาอย่างละเอียด หากมีคนรู้ถึงฐานะของเขาแล้วข่าวแพร่ไปถึงต้าเหลียง เขาคงหลีกหนีความผิดเรื่องหลอกลวงเบื้องสูงไปไม่พ้น ดังนั้นหากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ เขาจะไม่ออกไปไหนตามใจชอบ

แต่วันนี้คราวจำเป็นได้มาถึงแล้ว

เขาให้นกพิราบไปส่งจดหมายหาพรรคโลหิตพิฆาต ให้พวกเขาไปบ้านตระกูลจีเพื่อรับบุตรทั้งสองมา แต่ศิษย์พรรคโลหิตพิฆาตส่งจดหมายกลับมาบอกว่ามีคนรับบุตรทั้งสองไปแล้ว บุตรของเขาไปกับเฉียวเจิง ก่อนไปเฉียวเจิงทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้ตระกูลจี บอกว่าพวกเขาจะไปที่ไหน ให้คนตระกูลจีไม่ต้องเป็นห่วง

เพียงแต่จีหมิงซิวไม่ได้ส่งใครคนอื่นไปรับตัวจิ่งอวิ๋นกับวั่งซู

เรื่องใหญ่ขนาดนี้เขาไม่กล้าบอกแก่เฉียวเวย กลัวว่านางจะทำใจรับเรื่องที่บุตรทั้งสองหายตัวไปไม่ได้

ดูจากวันเวลาแล้ว หากคณะของจิ่งอวิ๋นไม่ติดขัดอะไรระหว่างเดินทาง เวลานี้ก็ควรถึงชนเผ่าลึกลับแล้ว

เขาปล่อยนกจุยเฟิงออกไป นกจุยเฟิงคุ้นกับกลิ่นของจิ่งอวิ๋นเป็นอย่างดี ครั้งก่อนที่จิ่งอวิ๋นตกน้ำ ก็เป็นนกจุยเฟิงที่ตามหาร่องรอยของจิ่งอวิ๋นเจอ ขอเพียงพวกเขามาถึงชนเผ่าลึกลับแล้ว นกจุยเฟิงต้องตามหาจิ่งอวิ๋นเจอแน่

“นายน้อย นกจุยเฟิงกลับมาแล้ว!” จีอู๋ซวงชี้นกสีสดที่บินร่อนอยู่บนฟ้าพลางพูดขึ้นด้วยความตื่นเต้น

จีหมิงซิวยื่นมือออกไป นกจุยเฟิงกระพือปีกแล้วร่อนลงมาที่มือเขา ก่อนจะกระพือปีกอีกครั้งแล้วทะยานขึ้นฟ้าไป

สายตาจีหมิงซิวพลันดุดัน มือจับเชือกแน่น “ตามมันไป!”

ในเมืองถ่าน่า ฮาจั่วนั่งอยู่บนหลังม้า อารมณ์ไม่สู้จะปรอดโปร่งนัก เมื่อวานเขาทะลายรังโจรเก่าของคนผู้นั้นไป น่าเสียดายที่จับใครไม่ได้สักคน คว้าอะไรติดมือมาไม่ได้จนนิดเดียว เสียแรงเปล่าจริงๆ!

องครักษ์คนหนึ่งควบม้าเข้ามาเอ่ยกับฮาจั่วว่า “ใต้เท้า หมาล่าเนื้อของพวกเราตามหาร่องรอยของชายผู้นั้นกับเด็กสองคนพบแล้วขอรับ!”

ฮาจั่วตาพลันเป็นประกาย “จริงหรือ”

องครักษ์ตอบอย่างมั่นใจ “จริงขอรับ พวกมันเจ้าเล่ห์มาก พวกเราปล่อยหมาล่าเนื้อที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีที่สุดออกไปสิบตัว มีเพียงตัวเดียวที่ตามหาร่องรอยของพวกมันพบ”

ฮาจั่วหัวเราะฮ่าๆ เสียงสั่น แค่ตัวเดียวก็พอแล้ว “พวกมันอยู่ที่ไหน”

องครักษ์ตอบว่า “ในป่าแห่งหนึ่งบนเกาะใต้ ด้านนอกป่ามีปราการพรางตา พวกเราถึงได้เดินคลาดไปหลายครั้ง แต่เวลานี้ปราการพรางตานั้นถูกพวกเราขจัดออกไปแล้ว”

“ทำได้ดี!” ฮาจั่วตบบ่าองครักษ์ผู้นั้นแล้วหันไปพูดกับลูกน้องทุกคนว่า “หากจับตัวพวกมันมาได้ พวกเจ้าจะเป็นลูกน้องที่มีคุณงามความดีของข้า นอกจากเงินรางวัลแล้ว ข้าฮาจั่วยังจะมีรางวัลใหญ่ให้อีก เหล่าพี่น้อง มุ่งหน้าไปเกาะใต้!”