ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 19 ไฟสงครามลุกโชนทุกหนแห่ง (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

บุรุษผู้สวมชุดเกราะเอ่ยเรียบๆ “ฝูอวี้หลุนมีความสามารถแต่ไร้คุณธรรม อ่อนแอละโมบทรัพย์ ทั้งยังอาศัยอำนาจของอัครมหาเสนาบดีซั่งทำตัวเหิมเกริม แต่เรื่องเช่นนี้ หากมิมีผู้ใดยุยงขู่บังคับ เขาคงมิกล้ากระทำ ทว่าพอขึ้นเรือโจรแล้วยิ่งมิมีหนทางให้หันหลังกลับ ต้ายงคงจะสิ้นเปลืองความคิดมิน้อยวางแผนการครั้งนี้ ดำเนินการมาสามปีเพียงเพื่อเปิดเผยทุกสิ่งในวันนี้ แล้วถามหาความรับผิดชอบ”

บุรุษรูปงามถอนหายใจเอ่ยว่า “ผู้ใดบอกว่ามิใช่เล่า แต่ฝูอวี้หลุนดันอยู่ภายใต้การคุ้มครองของอัครมหาเสนาบดีซั่ง เครื่องบรรณาการที่เขายักยอกไป ครึ่งหนึ่งก็มอบให้อัครมหาเสนาบดีซั่ง แล้วมีหนึ่งส่วนมอบให้เจ้าตำหนักจี้อีก หากมิถูกเจ้าตำหนักจี้กับเจ้าตำหนักเยี่ยนขัดขวาง ไฉนเลยข้าจะเพิ่งทราบเรื่องนี้เอาตอนนี้ ทั้งยังมิได้เตรียมพร้อมสักนิดเช่นนี้

สตรีเป็นผู้ล่มแคว้น คนโบราณกล่าวไว้จริงมิลวงหลอก เพื่อผลประโยชน์เล็กน้อยเท่าหัวแมลงวันกลับมองมิเห็นสถานการณ์ภาพรวม เกรงว่าเดิมทีพวกนางคงได้ใจคิดว่าทำลายผลประโยชน์ของต้ายงได้เสียด้วยซ้ำ มิลองคิดดูเสียบ้างว่าเรื่องเช่นนี้ต้ายงจะแสร้งทำเป็นมองมิเห็นได้หรือ

ตอนนี้ข้าเพิ่งทราบว่าการถูกความแค้นกับความปรารถนาบดบังดวงตาเป็นเรื่องโง่เขลาเพียงใด หากสมัยนั้นข้าเข้าใจเรื่องเหล่านี้ บางทีอาจมิเป็นดังเช่นทุกวันนี้ มีครอบครัวยากจะหันไปพึ่ง มีแว่นแคว้นยากจะหวนกลับคืน เดียวดายลำพัง มีเพียงเงาอยู่เคียงข้าง”

บุรุษสวมเกราะขมวดคิ้วกล่าวขึ้นว่า “ข้าไปเจี้ยนเย่พบอัครมหาเสนาบดีซั่งมาแล้ว เจ้าแคว้นมิออกว่าราชการมาหลายวัน ข้าขอให้อัครมหาเสนาบดีซั่งประหารฝูอวี้หลุนขอขมาต่อต้ายง แต่อัครมหาเสนาบดีซั่งกลับมิยอมตกลง เพียงลดตำแหน่งขุนนางของฝูอวี้หลุนเท่านั้น เวลาเช่นนี้ยังจะปกป้องครอบครัวตนเองอีก เฮ้อ”

บุรุษรูปงามสีหน้าเย้ยหยันแต่มิพูดคำใด ผ่านไปเนิ่นนานจึงกล่าวขึ้นว่า “สังหารหรือไม่สังหารก็สายไปแล้ว หนนี้เป็นโอกาสดีอันหาได้ยาก ต้ายงมิมีทางพลาด อัครมหาเสนาบดีซั่งส่งทูตนำสาสน์ขอขมาไปแล้ว แต่ข้าคิดว่าคงมิมีประโยชน์อย่างใด มิแน่ว่ายามนี้ต้ายงอาจจะกำลังประกาศทำสงครามยกกองทัพมาแล้ว”

บุรุษผู้สวมเกราะกำลังจะเอ่ยคำพูด ทันใดนั้นด้านนอกกระโจมก็มีเสียงเอะอะดังขึ้น เขาขมวดคิ้ว ได้ยินเสียงคนมากมายรีบร้อนเข้ามาใกล้พลางตะโกนเสียงดัง “แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพใหญ่ ผู้ส่งสารจากด่านจยาเหมิงขอเข้าพบขอรับ”

บุรุษผู้สวมเกราะได้ยินก็ถอนหายใจ เปิดประตูกระโจมเดินออกไปด้านนอก ทหารคนสนิทด้านนอกต่างค้อมกายคำนับเรียกขาน “แม่ทัพใหญ่!”

บุรุษผู้สวมชุดเกราะเหลือบมองบุตรชายคนโปรดที่หดหัวย่นคอหลบอยู่หลังนายทหารคนสนิท แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ลู่อวิ๋นมิรักษากฎกองทัพ ลอบสอดแนมกระโจมแม่ทัพ ลากออกไปโบยให้หนักห้าไม้”

เด็กหนุ่มผู้นั้นก็คือลู่อวิ๋นนั่นเอง พอได้ยินคำนี้เขาก็ตกใจคุกเข่าจดพื้น ตอบว่า “ผู้น้อยสำนึกผิดแล้ว”

ทหารคนสนิทคนอื่นหวาดหวั่นเป็นจักจั่นเหมันต์ มิกล้าขอความเมตตาแทนลู่อวิ๋น พวกเขาก็มีความผิดโทษฐานมิป้องกันให้เข้มงวด หากแม่ทัพใหญ่ลงโทษพวกเขาด้วย ยังมิต้องพูดถึงว่าคงขายขี้หน้าคนอื่น แต่การคุ้มกันแม่ทัพใหญ่จะให้ผู้อื่นมาทำแทนหรือ

ลู่ช่านมิสนใจพวกเขา เดินเข้าไปหาที่ปรึกษาหยางซิ่วที่รีบเร่งเดินเข้ามากับผู้ส่งสารที่เปื้อนฝุ่นดินมอมแมมคนหนึ่ง ผู้ส่งสารก้าวเข้าไปคารวะรายงานว่า “ผู้น้อยรับคำสั่งจากแม่ทัพอวี๋เดินทางมารายงานสถานการณ์ เดือนเก้า วันที่ยี่สิบสาม ฉินหย่ง ผู้บัญชาการทหารแห่งฮั่นจงยกไพร่พลจู่โจมด่านจยาเหมิงสายฟ้าแลบจึงส่งสารด่วนแจ้งกรมกลาโหม ทว่าจวบจนวันนี้กรมกลาโหมก็ยังมิมีหนังสือตอบกลับมา แม่ทัพอวี๋จึงสั่งให้ข้าเดินทางมาขอคำชี้แนะจากแม่ทัพใหญ่”

ลู่ช่านสีหน้ามิเปลี่ยนสักนิด แต่ดวงตาฉายแววดุดันวูบหนึ่ง

ในตอนนี้เอง ทหารสอดแนมผู้หนึ่งก็ทะยานอาชาเข้ามาในค่าย โซซัดโซเซถลามาเบื้องหน้าลู่ช่าน แล้วรายงานว่า “แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพหรงมีสารมาถึง กองทัพใหญ่ของจ่างซุนจี้บุกเป็นทัพหน้ามาถึงหนานหยางแล้ว กองทัพสวีโจวก็บุกลงใต้แล้วเช่นกัน ขอแม่ทัพใหญ่เร่งตัดสินใจ”

แม่ทัพทั้งหลายในค่ายต่างรีบเดินเข้ามา เมื่อได้ยินทหารสอดแนมพูดก็พากันก้าวเข้าไปเอ่ยว่า “แม่ทัพใหญ่ ราชสำนักยังทะเลาะกันมิเลิกว่าจะลงโทษอย่างไร เจรจาสงบศึกอย่างไร แต่ยามนี้กองทัพต้ายงบุกลงใต้มาแล้ว แม่ทัพใหญ่ยังจะรอพระประสงค์ของเจ้าแคว้นอีกหรือ”

ลู่ช่านกวาดสายตามองรอบด้าน ดวงตาที่เดิมทีผ่านโลกมาโชกโชนและแฝงแววเหนื่อยล้าคู่นั้นของเขาราวกับระเบิดอำนาจอันข่มขวัญผู้คนออกมาในชั่วพริบตา แม่ทัพที่สบสายตาของเขาล้วนค้อมกายคำนับอย่างห้ามตนเองมิได้

ลู่ช่านกล่าวเสียงกังวาน “ต้ายงหมายมาดแผ่นดินเจียงหนานมานาน นับตั้งแต่รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่ยี่สิบสอง หลี่จื้อบุกยึดเจี้ยนเย่ ชิงตัวอดีตเจ้าแคว้นกับหมู่มวลขุนนาง ปล้นผู้คนและทรัพย์สมบัติ โลหิตนองเป็นสายน้ำ ประชาชนตกอยู่ในความทุกข์เข็ญ สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา กองทัพต้ายงจับจ้องเจียงหนานอยู่ทุกเพลา ทำให้ทหารและประชาชนเจียงหนานของพวกเรามิมีวันใดนอนหลับได้อย่างสบายใจ

วันนี้ผู้แซ่ลู่ตัดสินใจจะสู้ แม่ทัพทั้งหลายยินดีติดตามข้าร่วมแรงสู้จนตัวตายเพื่อปกป้องแผ่นดินและปวงประชาหรือไม่!”

แม่ทัพทั้งหลายได้ยินพลันชูแขนตะโกนก้อง “คนต้ายงโหดร้ายทารุณ แค้นเก่าสิบปี ชั่วชีวิตยากลืม ยินดีติดตามแม่ทัพใหญ่สู้จนตัวตาย!”

ลู่ช่านหัวเราะลั่น “ถ้าเช่นนั้นก็ตีกลองเรียกประชุม หยางซิ่ว ถ่ายทอดคำสั่งให้กองทัพทั้งหลายแทนข้า นับจากเวลานี้เป็นต้นไป สถานการณ์ในกองทัพแต่ละแห่งให้ส่งมาที่ข้าก่อน แล้วก็ส่งหนังสือถึงเจ้าแคว้นแทนข้า ขอพระบรมราชโองการสู้ศึก” กล่าวจบลู่ช่านก็สะบัดแขนเสื้อ เดินไปยังกระโจมใหญ่ใจกลางกองทัพ แม่ทัพทั้งหลายสีหน้าเต็มไปด้วยความเปรมปรีดิ์ รีบติดตามไปด้านหลัง

บุรุษรูปงามผู้นั้นเดินออกมาจากกระโจมที่พักของลู่ช่าน จากนั้นเผยรอยยิ้มเย็นเยียบ ในใจคิดว่า ลู่ช่านหนอลู่ช่าน มิทาบว่าเจ้าแท้จริงฉลาดหรือโง่กันแน่ ยามปกติโอนอ่อนประนีประนอม แต่ยามศึกกลับตัดสินใจเด็ดเดี่ยวตามลำพัง มิสนใจไยดีคำบัญชาส่งเดชของซั่งเหวยจวิน

เพียงแต่ศึกใหญ่หนนี้มิธรรมดา รอหลังจากกองทัพต้ายงถอยทัพ เกรงว่าเจ้าอยากจะปรองดองกับซั่งเหวยจวินก็คงมิมีทางเป็นไปได้แล้ว แต่มิรู้ว่าหัวใจจงรักภักดีของเจ้าจะคงอยู่ได้อีกนานเท่าใด

หลังจากรับโทษโบยตามกฎกองทัพแล้วลู่อวิ๋นก็รีบมาที่กระโจมใหญ่ การประชุมทหารเริ่มต้นขึ้นแล้ว เขาเองก็เป็นทหารคนสนิทของลู่ช่านเหมือนกัน อีกทั้งยังเป็นบุตรชายสายตรงคนโตของตระกูลลู่ ย่อมเข้ามาฟังได้ เขาลอบเข้ามาที่มุมหนึ่งของกระโจมหลังใหญ่อย่างเงียบเชียบ จากนั้นตั้งอกตั้งใจฟัง เวลานี้ที่ปรึกษาหยางซิ่วกำลังอธิบายสถานการณ์อย่างฮึกเหิม

“แม่ทัพใหญ่ หนนี้ทัพต้ายงแบ่งโจมตีเป็นสามทาง ฝั่งฮั่นจงฉินหย่งบุกตีด่านจยาเหมิงสายฟ้าแลบ ฉินหย่งผู้นี้เป็นถึงคนสนิทของจักรพรรดิต้ายง ยามนี้เป็นบุคคลสำคัญของกองทัพต้ายงฝั่งของตระกูลฉินกับตระกูลเฉิง เคยมีความดีความชอบช่วยชีวิตจักรพรรดิ นิสัยเป็นคนสุขุมหนักแน่น จงรักภักดีต่อราชวงศ์ต้ายงยิ่งนัก

สี่ปีก่อนจักรพรรดิต้ายงแต่งตั้งเขาเป็นผู้บัญชาการทหารแห่งฮั่นจง ตั้งกองบัญชาการชั่วคราวอยู่ที่หนานเจิ้งเพื่อยึดด่านจยาเหมิงคืน จากนั้นบุกตีซีสู่ เดินทัพเลียบน้ำลงใต้ ยึดซีหลิง จิงเหมินเป็นต้น แต่เส้นทางเดินทัพฝั่งนี้มีด่านภูเขาขัดขวาง แม้กองทัพต้ายงจะทรงพลังก็มิมีทางบุกสำเร็จในชั่วพริบตา แม่ทัพอวี๋จักต้องป้องกันไว้ได้แน่ การบุกโจมตีทางนี้ พวกเรามิจำเป็นต้องกังวล

การบุกทางที่สองคือจ่างซุนจี้ คนผู้นี้เป็นแม่ทัพคนโปรดตั้งแต่ก่อนจักรพรรดิต้ายงขึ้นครองราชย์ เขาชำนาญการรบ ตอนศึกเป่ยฮั่น ผู้ที่นำกำลังพลดักซุ่มโอบล้อมหลงถิงเฟยก็คือคนผู้นี้ แม้หลงถิงเฟยใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ แล้วยังมีกองทัพไต้โจวเป็นทัพหน้าบุกทะลวงจนตีฝ่าหนีรอดออกมาสำเร็จ แต่กองทัพชิ่นโจวที่ฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดของเป่ยฮั่นเกินกว่าครึ่งก็ย่อยยับใต้เงื้อมมือของเขา

ในเมื่อคนผู้นี้มาถึงหนานหยางแล้ว ถ้าเช่นนั้นหนนี้เขาย่อมบุกตีเซียงหยางเป็นหลัก แม่ทัพหรงปกป้องเซียงหยางมาตั้งแต่สมัยเต๋อชินอ๋อง ชัยภูมิและกำลังพลล้วนมีพร้อม ย่อมขัดขวางจ่างซุนจี้ไว้ได้แน่

ทัพทางที่สามคือเผยอวิ๋น ตอนที่กำลังของแคว้นต้ายงรุ่งเรืองที่สุด คนผู้นี้เคยประจันหน้ากับแม่ทัพใหญ่ที่ไหวหนาน เวลานั้นหากมิใช่เพราะเซียงหยาง เจียงหลิงล้วนอยู่ในมือข้า เกรงว่าคนผู้นี้คงคิดจะข้ามแม่น้ำมานานแล้ว

รัชศกถงไท่ปีที่ห้า หลังจากกองทัพต้ายงคว้าชัยชนะครั้งใหญ่ที่เจ๋อโจวแล้วเริ่มบุกเป่ยฮั่นกลับ ยามนั้นฝั่งตงชวนของต้ายงมิสงบ ศึกทางเหนือติดพัน คนผู้นี้จึงถอยไปยังไหวเป่ย คอยคุมสวีโจว นับจากนั้นเจ็ดปี ขณะที่ต้ายงบำรุงสรรพกำลัง คนผู้นี้ก็ถืออาวุธอยู่ในสวีโจวทุกวัน

จักรพรรดิต้ายงแต่งตั้งเขาเป็นผู้บัญชาการทหารแห่งไหวหนานด้วยพระองค์เอง ยามนี้ต้ายงยกกองทัพใหญ่บุกลงใต้ เผยอวิ๋นคุ้นเคยกับไหวหนานยิ่งนัก น่ากลัวว่าจะบุกทะลวงมาได้อย่างราบรื่น

หากแม่ทัพใหญ่คิดจะทำลายการบุกลงใต้ของกองทัพต้ายง ต้องเอาชนะกองทัพสวีโจวอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเดินทางไปช่วยเซียงหยาง ถึงยามนั้นกองทัพต้ายงต้องถอยสองทาง ศัตรูทางฝั่งฮั่นจงย่อมมิต้องสู้ก็ถอยกลับไปเอง” หลังกล่าวจบ หยางซิ่วกับลู่ช่านก็ส่งสายตาให้กัน หยางซิ่วนั่งลงตรงตำแหน่งแรกทางขวาของลู่ช่าน รอคอยแม่ทัพทั้งหลายเสนอความคิดเห็น

แม่ทัพทั้งหลายได้ฟังคำพูดของหยางซิ่วแล้วก็พยักหน้าหลายหน แม่ทัพเฒ่าอายุห้าสิบกว่าปีคนหนึ่งลุกขึ้นกล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่ ค่ายใหญ่เจียงเซี่ยกับค่ายใหญ่จิ่วเจียงยามนี้ล้วนอยู่ใต้การบัญชาการโดยตรงของแม่ทัพใหญ่ แม่ทัพอวี๋กับแม่ทัพหรงก็เชื่อฟังคำสั่งของแม่ทัพใหญ่อย่างมิมีสงสัย หากเผยอวิ๋นบุกมายังไหวหนาน พวกเราย่อมมิกลัว แต่หากเผยอวิ๋นลงใต้มาทางเปี้ยนสุ่ยกับซื่อสุ่ยบุกยึดไหวตงสมควรทำเช่นไร

กองทัพที่คุ้มกันไหวตงมีลั่วโหลวเจินคนสนิทของอัครมหาเสนาบดีซั่งเป็นผู้นำทัพ เขามิลงรอยกับแม่ทัพใหญ่มาตลอด อีกทั้งคนผู้นี้ไร้ความสามารถ มิมีทางเป็นคู่ต่อกรของเผยอวิ๋น หากเผยอวิ๋นบุกตีไหวตง รุกเข้าชิงไหวหยาง จากนั้นบุกต่อเข้าไปยึดเจี้ยนเย่ ผู้น้อยเกรงว่าหนานฉู่จะต้องพบความอัปยศเช่นวันวานอีกหน”

แม่ทัพเฒ่าผู้นี้คือแม่ทัพใต้สังกัดบิดาของลู่ช่านในอดีต ลู่ช่านเคารพเขาตลอดมา ตอนที่เขาลุกขึ้น ลู่ช่านก็ส่งสัญญาณให้เขานั่งลงแล้วค่อยๆ พูด หลังจากฟังจบ ลู่ช่านพลันขมวดคิ้ว แม่ทัพที่เหลือก็ล้วนกลัดกลุ้ม จนปัญญาเช่นเดียวกัน

ลั่วโหลวเจินผู้นี้เป็นแม่ทัพคนสนิทของซั่งเหวยจวิน ตั้งแต่ก่อนตระกูลลู่กุมอำนาจในกองทัพไว้มากมาย ซั่งเหวยจวินก็รู้สึกกระวนกระวายอยู่แล้ว ต่อมาลู่ช่านยังฉวยโอกาสที่ฝั่งตงชวนของต้ายงไม่มั่นคง หาญกล้าบุกยึดด่านจยาเหมิงโดยมิสนใจการขัดขวางของซั่งเหวยจวิน แม้หลังจากเรื่องนั้นซั่งเหวยจวินจะยินดีมากเช่นกัน แต่ในใจกลับยิ่งหวาดกลัว

ดังนั้นหลังจากเจิ้นหย่วนกงลู่ซิ่นล้มป่วยสิ้นใจ ซั่งเหวยจวินจึงคิดจะแย่งชิงอำนาจทหารฝั่งเจียงเซี่ย แต่หลังจากกระทำมิสำเร็จ ต่อมาจึงฉวยโอกาสที่กองทัพต้ายงหดแนวรับ วางคนสนิทของตนเองไว้ที่ไหวตง ลั่วโหลวเจินคือหนึ่งในแม่ทัพที่ซั่งเหวยจวินไว้ใจที่สุด ยามนี้เขาคือหลานเขยของซั่งเหวยจวินและเป็นแม่ทัพผู้พิทักษ์ตะวันออก ตำแหน่งเทียบเคียงหรงเยวียนแห่งเซียงหยาง อยู่เหนือกว่าอวี๋เหมี่ยนของด่านจยาเหมิงเสียอีก ความจริงลั่วโหลวเจินผู้นี้คุยโม้ประจบประแจงยังพอไหว แต่หากพูดถึงการเดินทัพทำศึกยังสู้แม่ทัพธรรมดาสักคนในค่ายใหญ่เจียงเซี่ยมิได้เสียด้วยซ้ำ หากเผยอวิ๋นบุกทางไหวตงคงเป็นเรื่องยุ่งยากแล้วจริงๆ

ลู่ช่านครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “เวลานี้กองทัพต้ายงบุกลงใต้อย่างแน่นอนแล้ว อัครมหาเสนาบดีซั่งมิว่าอย่างไรก็มิมีทางสร้างความลำบากให้ข้าในตอนนี้ ประเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายถึงแม่ทัพลั่ว สั่งการให้เขาทำบางสิ่ง หากเขาทำตามได้ ไหวตงก็คงยังปลอดภัย แต่หากเขามิยอมทำตามคำแนะนำ ข้าก็คงได้แต่เชิญพระราชโองการเดินทางไปไหวตงรับช่วงอำนาจคุมกองทัพจากเขาแล้ว”

แม่ทัพทั้งหลายมองหน้ากัน แม้นี่จะเป็นวิธีเดียวที่จะรับมือหากกองทัพสวีโจวบุกมาทางไหวตง แต่ซั่งเหวยจวินผู้กำอำนาจทหารน้อยนิดในมือไว้มั่นผู้นั้น จะยินยอมให้สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นหรือ