ภาค-6-จบบริบูรณ์ ตอนที่ 22 ไฟสงครามฝั่งหยางโจว (1)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

แม่ทัพลั่วแห่งไหวตงส่งหัวหน้ากองพันซุนติ้งนำทหารห้าพันนายเสริมกำลังด่านซื่อโข่ว เมื่อกองทัพของซุนติ้งมาถึง ด่านซื่อโข่วก็ตกอยู่ในมือข้าศึกแล้ว ยามนั้นกำลังหลักของกองทัพต้ายงยังมิทันมาถึง ซุนติ้งนำทหารบุกจู่โจม ทว่ายังมิทันสำเร็จ กองทัพต้ายงก็มาถึงเสียก่อน ด่านซื่อโข่วจึงถูกกองทัพต้ายงยึดไว้ ซุนติ้งตกอยู่ในวงล้อม พลทหารล้วนขอยอมจำนน ซุนติ้งมิอาจห้ามปราม กองทัพต้ายงจึงจับเขาเป็นเชลย

…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม

ณ ค่ายใหญ่ฉู่โจว ลั่วโหลวเจินนั่งคิ้วขมวดมิคลายอยู่ในกระโจมหลังใหญ่ เสียเวลาไปตลอดทั้งเช้ากว่าจะเตรียมค่ายใหญ่ฉู่โจวให้พร้อมสำหรับการรบได้พอสมควร สิ่งนี้ทำให้เขายิ่งกลัดกลุ้ม สภาพเช่นนี้จะตั้งรับข้าศึกได้เช่นไร หากมีเวลาสักสามวันห้าวัน ตนคงจะเตรียมการได้ดีกว่านี้ แต่มิทราบว่ากองทัพต้ายงจะเดินทางมาถึงเมื่อใด ขอให้อัครมหาเสนาบดีซั่งกับแม่ทัพใหญ่ลู่ต่างกังวลกันไปเองย่อมดีที่สุด

แต่เมื่อลองครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว ไหวตงแต่เดิมก็เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ กองทัพต้ายงบุกไหวหนาน มิยึดเมืองโซ่วชุนทางฝั่งไหวซี ก็ต้องตีเอาเมืองหยางโจวทางฝั่งไหวตง คิดจะยึดหยางโจว ฉู่โจว ซื่อโจวกับก่วงหลิงก็คือเมืองที่กองทัพต้ายงต้องยึดมาครองให้จงได้ หากกองทัพต้ายงตั้งใจจะยึดไหวตง ตนเองย่อมเป็นคนแรกที่เผชิญหน้ากับพวกเขา

ลั่วโหลวเจินมองที่ปรึกษาหวงแล้วถามอย่างรำคาญ “เป็นอย่างไรบ้าง ผู้ส่งสารที่ส่งไปซื่อโจวกับก่วงหลิงกลับมาแล้วหรือยัง”

ที่ปรึกษาหวงสีหน้าวิตกตอบว่า “ยังมิกลับมาเลยขอรับ แต่ทั้งสองที่อยู่ค่อนข้างไกล เดินทางไปกลับ คาดว่าตกกลางคืนจึงจะกลับมาถึง”

ลั่วโหลวเจินว่าอย่างมีโทสะ “ล้วนแต่เป็นพวกไร้ประโยชน์ ผู้ส่งสารของแม่ทัพใหญ่ลู่เดินทางจากเจียงเซี่ยมาถึงฉู่โจวได้ในเวลาไม่กี่วัน ซื่อโจวกับก่วงหลิงห่างเพียงเอื้อมมือกลับต้องใช้เวลานานถึงเพียงนั้น แล้วซุนติ้งเจ้าไพร่คนนั้น ข้าให้เขาไปรับหน้าที่ป้องกันด่านซื่อโข่ว เหตุไฉนเนิ่นนานป่านนี้แล้วยังมิส่งผู้ส่งสารกลับมารายงานสถานการณ์อีก”

ที่ปรึกษาหวงเห็นเขามีโทสะ จึงรีบเอ่ยว่า “บางทีอาจกำลังยุ่งกับการจัดการงาน คิดว่าตกบ่ายคงมีข่าว”

ลั่วโหลวเจินสงบใจลงเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้รองแม่ทัพโจวกับแม่ทัพทั้งหลายอย่าได้เกียจคร้าน หากฉู่โจวพลาดพลั้งเสียเมือง ชีวิตข้ารักษาไว้ไม่ได้ พวกเขาก็อย่าคิดจะอยู่ดี”

ที่ปรึกษาหวงตัวสั่นสะท้านเอ่ยขึ้นว่า “ท่านแม่ทัพ แจ้งเจ้าเมืองฉู่โจวสักหน่อยดีหรือไม่ ทางนั้นยังมีกองทหารรักษาเมืองอีกห้าพันนาย แม้กำลังรบจะมิกล้าแข็ง แต่เตรียมป้องกันไว้ก็เป็นเรื่องดี”

ลั่วโหลวเจินขมวดคิ้ว เขาไม่ถูกกับเจ้าเมืองฉู่โจว ติดอยู่ที่เจ้าเมืองผู้นั้นเป็นลูกของตระกูลขุนนางในหนานฉู่ ตนเองยังมีรากฐานน้อย ดังนั้นจึงมิอยากล่วงเกิน แต่เวลานี้เขาก็เข้าใจหลักการที่ว่าริมฝีปากแหว่งฟันเหน็บหนาวดี ตนเองตั้งค่ายอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฉู่โจว หากกองทัพต้ายงบุกมาแล้วตนเองรักษาค่ายใหญ่ไว้มิได้ ย่อมมีแต่จะต้องถอยเข้าไปป้องกันเมืองฉู่โจว หากมิฉวยโอกาสตอนนี้บอกกล่าวให้ดีก่อน เกรงว่าแม้แต่ทางถอยก็คงไม่เหลือ

เขาใคร่ครวญครู่หนึ่งก็ยิ้มหยันกล่าวว่า “ส่งคนไปแจ้งกู้หยวนยงสักคำ บอกว่าให้เขาปิดเมืองวันนี้ เตรียมรับกองทัพข้าศึก”

ที่ปรึกษาหวงรีบตอบรับ ลั่วโหลวเจินกับกู้หยวนยงมิถูกกัน สาเหตุประการสำคัญก็เป็นเพราะพลทหารของค่ายใหญ่ฉู่โจวไปทำตัวเกะกะระรานในเมืองฉู่โจว ลั่วโหลวเจินก็มิควบคุมคนให้ดี แต่เพราะลั่วโหลวเจินมีเบื้องหลังใหญ่เกินไป กู้หยวนยงจึงจนปัญญาได้แต่คิดหาวิธีเอาใจเขา แม้จะลั่วโหลวเจินจะมิค่อยรับไมตรีนัก แต่พวกที่ปรึกษาหวงได้รับอานิสงส์มามิน้อยจึงมีความรู้สึกดีกับกู้หยวนยงอยู่บ้าง ดังนั้นที่ปรึกษาหวงจึงพยายามหาวิธีแจ้งข่าวให้ฉู่โจวทราบอย่างทันท่วงที

ที่ปรึกษาหวงเพิ่งออกไป องครักษ์คนสนิทก็เข้ามารายงานว่า “รายงานท่านแม่ทัพ องครักษ์คนสนิทของหัวหน้ากองพันซุนกลับมาแล้ว”

ลั่วโหลวเจินยินดียิ่งนักสั่งว่า “รีบให้เขาเข้ามา”

ไม่นานพลทหารสองนายก็เดินเข้ามา คนที่อยู่ด้านหน้า ลั่วโหลวเจินรู้จัก เขาก็คือซุนฟางคนตระกูลเดียวกับซุนติ้ง ตอนนี้เป็นหัวหน้าทหารคนสนิทของซุนติ้ง คนผู้นั้นด้านหลังกลับมีท่าทางขลาดกลัวอยู่เล็กน้อย หลังจากเข้ามาในกระโจมก็มิเงยหน้าขึ้นมาเลย เห็นชัดว่าในใจคงหวาดกลัวอยู่ ลั่วโหลวเจินคิดเพียงว่าคนผู้นั้นคงจะเป็นทหารคนสนิทของซุนติ้งเช่นเดียวกันจึงมิได้สนใจ ถามซุนฟางผู้นั้นว่า “หัวหน้ากองพันซุนไปถึงด่านซื่อโข่วแล้วกระมัง สถานการณ์เป็นเช่นไร กองทัพต้ายงมีความเคลื่อนไหวหรือไม่”

ซุนฟางสีหน้าประหม่าล็กน้อย ตอบว่า “รายงานท่านแม่ทัพ ใต้เท้าหัวหน้ากองพันให้ข้ากลับมารายงาน ตอนนี้กองทัพต้ายงยังมิมีความเคลื่อนไหว แต่ใต้เท้าหัวหน้ากองพันส่งทหารสอดแนมล่องน้ำขึ้นไปสืบสถานการณ์ของข้าศึกแล้ว หากมีข่าวคราวใดจักแจ้งค่ายใหญ่อย่างรวดเร็วแน่นอน”

ลั่วโหลวเจินโล่งใจ มองคนผู้นั้นข้างกายซุนฟางแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คนผู้นี้คือผู้ใด เหตุไฉนจึงพาเขาเข้ามาในกระโจมด้วย”

ซุนฟางตอบอย่างหวาดหวั่นเล็กน้อย “เขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งอันดับสองในกองพันของพวกเรา ใต้เท้าหัวหน้ากองพันกังวลว่าทหารสอดแนมของกองทัพต้ายงจะแฝงตัวเข้ามายังแถบไหวซื่อแล้ว ดังนั้นจึงให้เขาเดินทางมากับผู้น้อยด้วย”

ลั่วโหลวเจินยิ้มตอบว่า “ก็สมควรทำเช่นนั้น หัวหน้ากองพันซุนเป็นคนละเอียดจริงๆ เจ้ามีนามว่าอะไร ในเมื่อซุนติ้งบอกว่าวรยุทธ์ของเจ้ามิเลว คิดว่าคงจักต้องเป็นทหารกล้าหนึ่งในพันลี้เป็นแน่ เหตุไฉนจึงขลาดกลัวเหมือนหญิงสาว เรียกคนมา ตกรางวัลให้เขาเป็นเหล้าหนึ่งจอก มิต้องประหม่าเช่นนั้น แม่ทัพผู้นี้มิใช่ราชามารชอบเข่นฆ่าผู้คนเสียหน่อย”

พลทหารนายนั้นได้ยินก็คล้ายจะโล่งใจขึ้น ร่างกายจึงผ่อนคลายลงมากแล้วเงยหน้าขึ้นมา สองมือรับจอกสุรา จากนั้นก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ประทานสุรา” กล่าวจบก็ดื่มหมดจอก

ลั่วโหลวเจินพินิจมอง พบว่าพลทหารคคนนี้ดูเหมือนอายุราวยี่สิบแปดถึงยี่สิบเก้าปี ใบหน้าคมสัน หล่อเหลาองอาจ สีหน้านิ่งสงบและเฉยชา ร่างกายเหยียดตรงดุจต้นไป๋หยาง ชั่วขณะที่ดวงตาสองข้างกะพริบตามีแววตาเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง

ลั่วโหลวเจินหัวใจสะท้าน ลักษณะท่าทางเช่นนี้ ต่อให้เทียบแม่ทัพใหญ่ลู่ช่านก็สูสี หากเขาเคยพบคนผู้นี้ เหตุไฉนจึงจดจำมิได้แม้แต่น้อย เขาลุกขึ้น ตะโกนเสียงดัง “เจ้ามิใช่พลทหารในค่ายใหญ่ฉู่โจวเป็นแน่ เจ้าคือผู้ใด” หลังจากเสียงตะโกนของเขา ทหารคนสนิทนอกกระโจมก็แห่เข้ามาปกป้องลั่วโหลวเจินไว้ตรงกลาง

ลั่วโหลวเจินกำลังจะให้คนจับตัวซุนฟางกับพลทหารผู้นั้นไว้ ในตอนนี้เองนอกกระโจมพลันมีเสียงเอะอะ เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ ทหารสอดแนมร่างกายอาบโลหิตผู้หนึ่งโซซัดโซเซพุ่งเข้ามาแล้วถลาล้มลงกับพื้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง “ท่านแม่ทัพ แย่แล้ว กองทัพต้ายงยึดด่านซื่อโข่วได้แล้ว ทัพหน้ากำลังมุ่งหน้ามายังค่ายใหญ่แล้ว”

ลั่วโหลวเจินเงยหน้าขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เขามองซุนฟางกับพลทหารผู้นั้นอย่างเหี้ยมเกรียม แล้วว่าด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “เจ้าสองคนต้องเป็นสายลับของกองทัพต้ายงแน่ ใครก็ได้ ลากพวกเขาออกไปสังหารเสีย”

ซุนฟางหวาดกลัวจนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง แต่พลทหารผู้นั้นกลับมิเปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย เขายิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “แม่ทัพลั่ว ข้าผู้บัญชาการทหารไหวหนานเผยอวิ๋น ตั้งใจมาทักทายท่านแม่ทัพ”

ทุกคนในกระโจมต่างรู้สึกว่าในหูเกิดเสียงดังอื้ออึง นี่จะเป็นไปได้เช่นไร แม่ทัพใหญ่ของกองทัพต้ายง เผยอวิ๋นผู้คุมค่ายใหญ่สวีโจวที่มีกำลังพลหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเหตุใดจึงมาปรากฏตัวที่นี่ แม้แต่ซุนฟางที่พาเผยอวิ๋นมาด้วยกันก็ฟันกระทบกันดังกึกๆ หลังจากเขายอมจำนนและถูกจับเป็นเชลยก็ได้รับคำสั่งให้พาคนผู้นี้ปะปนเข้ามาในค่ายใหญ่ฉู่โจว

เขาคิดมาตลอดว่าคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือของค่ายไป๋อี ไฉนเลยจะทราบว่าเขาคือเผยอวิ๋น ถึงอย่างไรเผยอวิ๋นก็อายุสามสิบห้าถึงสามสิบหกปีแล้ว ไหนเลยจะคิดว่าเขาจะแลดูอ่อนเยาว์เช่นนี้ ก็มิแปลกที่มิมีผู้ใดนึกตัวตนของพลทหารผู้นี้ออก

เวลานี้ในสมองของทุกคนพลันมีประวัติของเผยอวิ๋นลอยขึ้นมา ศิษย์ชั้นสูงของเส้าหลิน วรยุทธ์ลึกล้ำ เคยได้ยินมาว่าสำนักทางพุทธมีเคล็ดวิชาที่เป็นประโยชน์ต่อการบำรุงร่างกาย วันนี้ดูท่าคงจะเป็นจริงดังนั้น

ในขณะที่ทุกคนกำลังจิตใจสั่นคลอน เผยอวิ๋นก็ขยับร่าง พุ่งเข้าใส่ลั่วโหลวเจิน ลั่วโหลวเจินเกิดความคิดร้ายขึ้นในใจเช่นกัน หากจับเป็นคนผู้นี้ได้ ถ้าเช่นนั้นไม่แน่ว่ากองทัพต้ยงอาจวุ่นวายอย่างหนัก ถึงยามนั้นรักษาไหวตงให้อยู่รอดปลอดภัยได้ ความดีความชอบของตนเองย่อมมิน้อย เขาตวาดเสียงดุดัน “ห้ามยิงศร จับคนผู้นี้เอาไว้”

เขาห้ามผู้ใต้บัญชามิให้ยิงศร ด้วยกังวลว่าหากสังหารเผยอวิ๋นจะจุดเพลิงโทสะให้กองทัพต้ายง หากตนก่อหายนะให้เมืองต่างๆ ในไหวตง ความผิดของตนคงมิเบา อาจถึงขั้นพากองทหารใต้บัญชาโดยตรงของตนไปลงสุสาน

เสียงพูดของเขายังมิทันจางหาย ภายในกระโจมก็มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น องครักษ์คนสนิทสิบกว่าคนที่โถมเข้ามาล้มกลิ้งเกลื่อนพื้น สองมือของเผยอวิ๋นทอแสงสีทองเรืองๆ เขาฝึกวิชาร่างวชิระทองคำสำเร็จแล้ว หนึ่งฝ่ามือฟาดลงไปมีแต่ตายมิมีรอด พริบตาเดียวเขาก็ทะลวงฝ่าองครักษ์คนสนิทที่ขัดขวางจนมาถึงเบื้องหน้าลั่วโหลวเจิน

ลั่วโหลวเจินชักกระบี่ออกมาแทงใส่ หนึ่งกระบี่นี้เสียงลมดังอึงอล หากเป็นคนธรรมดาต้องหลบก่อนเป็นแน่ ทว่าเผยอวิ๋นกลับสะบัดฝ่ามือเข้ารับ กระบี่กับฝ่ามือปะทะกันเกิดเสียงราวกับโลหะ ลั่วโหลวเจินถูกพลังฝ่ามือของเขากระแทกถอยหลังไปหนึ่งก้าว

เวลานี้เองเผยอวิ๋นก็โจมตีออกมาอีกหนึ่งฝ่ามือ หนึ่งฝ่ามือนี้ทรงพลังดั่งเขาไท่ซานกดทับ ลั่วโหลวเจินถูกบีบให้ถอยหลังอีกหนึ่งก้าว สายลมที่มาพร้อมกับฝ่ามือรุนแรงนัก สายลมแรงพัดดังหวีดหวิวในกระโจมหลังใหญ่ เผยอวิ๋นบีบเข้ามาหาลั่วโหลวเจินทีละก้าวอย่างสุขุมและเชื่องช้า

วิชาฝ่ามือธรรมดาของเส้าหลิน เมื่อเขาเป็นผู้ใช้กลับทรงพลังกวาดราบแปดทิศ องครักษ์คนสนิทเหล่านั้นแม้แต่จะเข้ามาแทรกก็ไม่มีจังหวะ ยิ่งมิต้องพูดถึงการล้อมโจมตีเผยอวิ๋น เดิมทีวิชากระบี่ของลั่วโหลวเจินค่อนข้างโดดเด่น แต่เขามัวเมาอยู่กับสุรานารีจึงส่งผลต่อพลังภายในอย่างมาก พอเห็นเผยอวิ๋นบีบเข้ามาใกล้ทีละก้าวแต่เขากลับโจมตีสวนกลับมิได้สักกระบี่ ความคิดแรกจึงอยากตะโกนสั่งให้องครักษ์คนสนิทยิงธนู แต่ก็กังวลว่าจะโดนตนเองไปด้วยจึงมิได้เอ่ยปากสั่ง เวลานี้แม้ว่าค่ายใหญ่ฉู่โจวจะมีกองทัพสามหมื่นนาย แต่ลั่วโหลวเจินกลับรู้สึกว่าตนเองอยู่เพียงลำพัง

‘ปั้ก’ แผ่นหลังของลั่วโหลวเจินกระแทกกับผนังกระโจมที่อยู่ด้านหลัง เวลานี้ทหารทั้งค่ายวิ่งมาถึงประตูกระโจมของกระโจมหลังใหญ่แล้ว ที่ปรึกษาหวงตวาด “ยิงเขาให้ตาย แต่อย่าทำร้ายถูกท่านแม่ทัพ”

ลั่วโหลวเจินยินดียิ่งนัก บนใบหน้าเผยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมออกมา ขอเพียงตนเองต้านไว้อีกสองสามกระบวนท่าย่อมพลิกแพ้เป็นชนะได้ เขามิเชื่อหรอกว่าร่างกายที่กอปรด้วยเลือดเนื้อจะต้านทานลูกศรที่รุมยิงได้ ตนเองเพียงต้องอาศัยจังหวะที่เผยอวิ๋นกันลูกศร กรีดกระโจมหนีออกไปก็ได้แล้ว เรื่องหลังจากนั้นที่ปรึกษาหวงย่อมจัดการรับมือต่อ

ในตอนนี้เอง ลั่วโหลวเจินก็เห็นสีหน้าเหยียดหยามจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเรียบเฉยของเผยอวิ๋น ลั่วโหลวเจินฉุกคิดบางสิ่งในชั่วพริบตา เขาเหวี่ยงกระบี่ฟันเผยอวิ๋นอย่างแรง หนึ่งกระบี่นี้ใส่พละกำลังทั้งหมดของเขาลงไป ปราณกระบี่พุ่งเป็นสายคล้ายผืนผ้าหมายจะกำจัดศัตรูให้สิ้นซาก ดวงตาของเผยอวิ๋นฉายแววชื่นชมเล็กน้อย ชักดาบออกจากฝักเข้ารับการโจมตี

ดาบกับกระบี่ปะทะกัน กระบี่ครวญดาบร่ำร้อง ร่างกายของลั่วโหลวเจินกระแทกเข้ากับผนังกระโจมอีกหนอย่างเลี่ยงมิได้ ในตอนนี้เอง ดาบยาวเล่มหนึ่งก็แหวกผ้ากระโจมเข้ามา แทงทะลุร่างของลั่วโหลวเจินอย่างพอดิบพอดี โลหิตสาดกระเซ็น ลั่วโหลวเจินคำรามด้วยความเจ็บปวดเสียงดังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน จากนั้นเผยอวิ๋นก็ฟันลงมาหนึ่งดาบ ศีรษะของลั่วโหลวเจินลอยกระเด็น

เสียงของที่ปรึกษาหวงเจือเสียงร่ำไห้ เขาตะโกนลั่น “ยิงธนูเดี๋ยวนี้”