ตอนที่ 245-2 ตาหลานได้พบหน้า

เฉียวเวยหัวเราะประชดประชัน “ข้าใช่ตัวปลอมหรือไม่ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องที่ท่านจะมาตัดสินได้ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ตนเองทำไม่ได้ คนอื่นก็ต้องทำไม่ได้ไปด้วยอย่างนั้นหรือ จงหยวนมีสำนวนหนึ่งกล่าวว่า ทำตัวเป็นกบในกะลา ความหมายก็คือกบผู้โชคร้ายตัวนั้นเอาแต่อยู่ในกะลาไปชั่วชีวิต มันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านรูกะลา ก็คิดว่าท้องฟ้ากว้างใหญ่เท่ารูกะลานั้น ประมุขตระกูลปี้หลัว ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าตัวท่านก็คือกบในกะลาตัวนั้น”

ประมุขตระกูลปี้หลัวพลันหน้าบึ้ง “เจ้า… เจ้าถึงขั้นกล้ากล่าววาจาสามหาวเช่นนี้! อย่าลืมเสียว่าเจ้ายังไม่ใช่จั๋วหม่าน้อย! เจ้าไม่มีสิทธิ์กล่าวเช่นนี้กับข้า!”

เฉียวเวยไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้น “ท่านลองดูตัวท่านเองสิ ท่านมีอะไรควรค่าให้ข้าไม่กล่าววาจาสามหาวกับท่าน ความเคารพก็ต้องดูด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไร ผู้อื่นเคารพข้าหนึ่งฉื่อ ข้าเคารพเขาหนึ่งจั้ง ประมุขตระกูลปี้หลัวปฏิบัติต่อข้าเช่นไร ข้าย่อมปฏิบัติตอบประมุขตระกูลปี้หลัวเช่นนั้น นี่ก็คือการมีมารยาทตอบ”

ประมุขตระกูลปี้หลัวเอ่ยด้วยความรังเกียจ “เจ้าอย่ามาปากเก่ง! ไข่มุกของเจ้านั่นคือของปลอม!”

ผู้อาวุโสใหญ่พูดขึ้นว่า “ประมุขตระกูลปี้หลัว ไข่มุกเม็ดนี้เป็นของจริง”

ประมุขตระกูลปี้หลัวพลันขมวดคิ้ว “ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านเข้าใจผิดไปหรือไม่”

ผู้อาวุโสใหญ่ “ข้าเข้าใจผิด หรือว่าผู้อาวุโสอีกสี่ท่านก็จะเข้าใจผิดไปด้วย”

ประมุขตระกูลปี้หลัวกวาดตามองผู้อาวุโสทั้งสี่ที่เหลือ ผู้อาวุโสทุกคนพากันพยักหน้า ไข่มุกเม็ดนี้พวกเขาตรวจแล้วตรวจอีก คือไข่มุกจันทร์กระจ่างที่โหราจารย์รุ่นสุดท้ายทิ้งไว้จริงๆ

ประมุขตระกูลปี้หลัวชี้นางทุกคนด้วยความไม่ชอบใจ “พวกท่าน…พวกท่านเอาอะไรมาบอกว่ามันเป็นของจริง พวกท่านไม่ชอบหน้าจั๋วหม่าน้อยมานานแล้ว พวกเจ้าเลยคิดจะช่วยตระกูลไซน่าหลอกลวงเหอจั๋ว! พวกท่านถึงขั้นยอมที่จะคุ้มครองเจ้าตัวปลอมผู้นี้!”

ผู้อาวุโสใหญ่หน้าบึ้งลง “ประมุขตระกูลปี้หลัว โปรดระวังคำพูดด้วย!”

เฉียวเวยเลิกคิ้ว ยิ้มกริ่มขณะมองหน้าบูดบึ้งของประมุขตระกูลปี้หลัว “ระวังคำพูดด้วยนะ ประมุขตระกูลปี้หลัว”

ประมุขตระกูลปี้หลัวกัดฟัน กำหมัดแน่นด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้ามันคนพาลได้เป็นใหญ่!”

ผู้อาวุโสใหญ่มองทุกคนภายในห้องโถง รวมถึงชาวบ้านที่รอกันอยู่ข้างนอก เปล่งเสียงด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงานว่า “ในบันทึกที่โหราจารย์ทิ้งเอาไว้มีส่วนหนึ่งที่เขียนถึงไข่มุกจันทร์กระจ่าง ‘ลูกเท่าไข่ห่าน รูปลักษณ์กลมเกลี้ยง เนื้อผิวคล้ายหยก ให้สัมผัสเย็นเยียบ ส่องกับแสงเห็นเป็นเส้นเขียว’ ไข่มุกเม็ดนี้ไม่ว่าดูจากรูปลักษณ์หรือสัมผัส ล้วนเป็นอย่างที่ในบันทึกเขียนเอาไว้ และพอเอาส่องกับแสงก็เป็นว่าภายในเม็ดไข่มุกมีเส้นสีเขียวอยู่จริงๆ ดังนั้นพวกเราจึงมั่นใจได้ว่าไข่มุกเม็ดนี้ก็คือไข่มุกจันทร์กระจ่างที่โหราจารย์ทิ้งเอาไว้!”

ณ ที่นั้นพลันเกิดเสียงฮือฮาขึ้น

การที่รอดออกมาจากหุบเหวร้อยผีได้อย่างปลอดภัยครบสามสิบสองนับว่าน่าตกใจมากแล้ว แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ นางถึงขั้นสามารถนำของที่โหราจารย์ทิ้งไว้ซึ่งมีอยู่เพียงในคำเล่าลือกลับมาได้ด้วย หากไม่ใช่เพราะนางมีความสามารถที่น่าตกใจ ก็คงจะมีโชคอย่างน่าอัศจรรย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ในสายตาทุกคน นี้นับว่าเป็นเพราะนางได้รับการปกป้องจากองค์เทพทั้งสิ้น

สายตาที่ทุกคนใช้มองเฉียวเวยเปลี่ยนไป หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ชาวบ้านที่อยู่นอกประตูก็พากันคุกเข่าข้างเดียว องครักษ์ภายในห้องโถงก็พากันคุกเข่า มือขวาแต่ตัวไหล่ซ้าย ก้มศีรษะให้นางจากใจจริง

เหล่าผู้อาวุโสก็เดินลงบันไดมาทำความเคารพเต็มธรรมเนียมให้กับของที่โหราจารย์ทิ้งเอาไว้

หลังของประมุขตระกูลไซน่ายืดขึ้นเต็มที่ได้เสียที

เฉียวเวยก็รู้สึกภูมิใจในตนเองขึ้นมาเสียที ทั้งๆ ที่เป็นตัวจริง แต่กลับถูกเห็นว่าเป็นตัวปลอมมานานเพียงนี้ เล่นเอานางอึดอัดแทบแย่!

ประมุขตระกูลปี้หลัวยังไม่ยอมแพ้ “เจ้าไปหาพบจากที่ใด”

นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าจูเอ๋อร์ไปเอามาจากไหน เจ้าลิงน้อยนั้นห้อยโหนไปมาอยู่ในป่า ผีเท่านั้นแหละที่จะรู้ว่ามันไปที่ไหนมา เฉียวเวยเอ่ยด้วยสีหน้าคงเดิมว่า “เรื่องสำคัญเกี่ยวกับมรดกโหราจารย์เช่นนี้ ข้าจะเอ่ยกับเหอจั๋วผู้เดียวเท่านั้น”

ประมุขตระกูลปี้หลัวถึงกับสะอึก ทำเสียงหึเย็นๆ “เจ้าบอกไม่ได้! ผีสางเทวดารู้ว่าเจ้าไปเอาไข่มุกเม็ดนี้มาได้อย่างไร บางทีเจ้า… บางที่เจ้าอาจจะขโมยมา! หรือแย่งเอามา!”

เฉียวเวยไม่สนใจสักนิด “ต่อให้ข้าแย่งมาขโมยมาแล้วอย่างไร มีกฎว่าข้าห้ามขโมยห้ามแย่งมาด้วยหรือ”

“เจ้า…” ประมุขตระกูลปี้หลัวตัวสั่นเทิ้ม เขาทุ่มเทกำลังไปตั้งมากกว่าจะหาตัวจั๋วหม่าน้อยจากจงหยวนมาได้ แผนเขาใกล้จะสำเร็จเต็มที แต่กลับถูกนังเด็กนี้กระตุกหนวด แล้วจะให้เขากล้ำกลืนโทสะนี้ลงไปได้อย่างไร “ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านฟังดู ฟังดูว่านางพูดอะไร”

ผู้อาวุโสใหญ่กระแอมไอ “แค่กๆ ไม่มีกฎเรื่องนี้อยู่จริงๆ”

ประมุขตระกูลปี้หลัวกัดฟัน “นั่น…นั่นหากเกิดนางไปแย่งของคนอื่นมาจะทำเช่นไร”

เฉียวเวยเอ่ยกลั้วยิ้มบางๆ ว่า “คนอื่นที่ท่านว่าหมายถึงผู้ใดหรือ เจ้าตัวปลอมผู้นั้นที่ตกใจเสียจนไม่รู้หายไปอยู่ที่ใดตั้งแต่คืนแรกนั่นน่ะหรือ”

ผู้อาวุโสใหญ่ยกมือขึ้น “โหราจารย์เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่ไข่มุกจันทร์กระจ่างปรากฏขึ้นในชนเผ่าถ่าน่าอีกครั้ง การสืบทอดของเขาก็จะได้รับการสืบต่อ ชนเผ่าถ่าน่าของพวกเราไม่มีโหราจารย์มาหลายร้อยปีแล้ว ครานี้นางนำความหวังกลับมาให้ชนเผ่าถ่าน่า นางเป็นเด็กที่ได้รับการปกป้องจากองค์เทพ ประมุขตระกูลปี้หลัว ท่านโปรดเคารพนางด้วย”

ประมุขตระกูลปี้หลัว “ผู้อาวุโสใหญ่!”

ผู้อาวุโสใหญ่เดินเข้าไปหาเฉียวเวย ยื่นมือแก่ชราออกไป น้ำเสียงอ่อนนุ่ม “เด็กน้อย ตามข้ามา”

ประมุขตระกูลปี้หลัวก้าวเข้าไปขวาง “ผู้อาวุโสใหญ่!”

ผู้อาวุโสใหญ่ไม่แม้แต่จะหันมอง คว้าข้อมือเฉียวเวยแล้วพานางเดินออกจากห้องโถงหารือ ขึ้นไปบนประตูปราสาทเฮ่อหลันโดยมีสายตาทุกคนคอยจับจ้อง ด้านนอกกำแพง ฝูงชนออกันเต็มพื้นที่ทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา

มีคนเห็นผู้อาวุโสใหญ่ จึงตะโกนขึ้นว่า “ผู้อาวุโสใหญ่มาแล้ว!”

ทุกคนพากันเงยหน้าขึ้น

พวกเขาเห็นผู้อาวุโสใหญ่แล้ว และเห็นเฉียวเวยที่อยู่ข้างกายเขาจึงอดหันไปกระซิบกระซาบกันไม่ได้ หากพวกเขาจำไม่ผิด จั๋วหม่าน้อยทั้งสองไปตามหามรดกของโหราจารย์กันที่หุบเหวร้อยผี แต่ระยะเวลาไม่ใช่สามวันหรือ นี่ยังไม่ทันถึงสองวันเลย เหตุใดถึงมีคนหนึ่งกลับมาแล้ว

ผู้อาวุโสใหญ่ยกไข่มุกจันทร์กระจ่างในมือขึ้น “องค์เทพคุ้มครอง มรดกของโหราจารย์ หาพบแล้ว!”

ฝูงชน…ส่งเสียงโห่ร้อง

เฉียวเวยเบิกตากลมโต ไม่ใช่แค่ไข่มุกเม็ดหนึ่งหรอกหรือ ต้องถึงขนาดนี้เชียว

เฉียวเวยเติบโตอยู่ในจงหยวนตั้งแต่เล็กๆ ย่อมไม่เข้าใจว่ามรดกของโหราจารย์มีความหมายเช่นไรต่อชนเผ่าโบราณเช่นนี้ ธิดาเทพถึงแม้จะดี แต่โหราจารย์ต่างหากที่เป็นสิ่งเลื่อมใสสูงสุดของชนเผ่าถ่าน่า

ผู้อาวุโสใหญ่มองเฉียวเวยด้วยสายตาอ่อนโยน “เด็กน้อย เจ้าทำได้ดีมาก เหอจั๋วรอวันนี้มานานมากแล้ว ตามข้าไปพบเขาเถิด”

ต้องไปเจอเหอจั๋วอีกแล้ว ในใจเฉียวเวยเกิดความรู้สึกยากจะอธิบาย ตั้งแต่วันแรกที่นางมาถึงชนเผ่าถ่าน่า ก็รู้ว่าตนต้องได้พบเหอจั๋ว แต่ด้วยเพราะเหตุเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้นางไม่เคยได้พบ ได้พบก็ไม่เคยได้แสดงตัว ความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า หากบอกว่าไม่ขุ่นเคืองเลยก็คงเป็นการโกหก แต่ที่น่าแปลกก็คือ ทั้งๆ ที่ขุ่นเคืองเพียงนี้ แต่ระหว่างทางไปพบเขา นางกลับเกิดความยินดีขึ้นในใจ

ต้องเป็นเพราะนางอยากได้ผลสองภพกับท่านแม่จนเกินไปแน่ๆ ใช่ ต้องเป็นเช่นนั้นแน่

หัวหน้าพรรคเฉียวที่หาทางลงให้ตนเองเจอแล้วกลับมามีสีหน้าปกติได้เสียที นางเดินผ่านสนามหญ้าไปพร้อมกับผู้อาวุโสใหญ่ ผ่านส่วนดอกไม้ อ้อมสระน้ำ จนมาถึงตำหนักของเหอจั๋ว

สาวใช้นำทั้งสองเข้าไปข้างใน ด้านนอกห้องเหอจั๋ว ผู้อาวุโสใหญ่หยุดฝีเท้า ส่งกล่องผ้าไหมไปให้เฉียวเวย “เด็กน้อย เข้าไปเถิด”

เฉียวเวยถือกล่องไม้เย็นๆ แต่ความรู้สึกคล้ายถือเผือกร้อน นางกะพริบตาเอ่ยว่า “ข้า…เข้าไปเอง?”

ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มพลางพยักหน้า “เอาไปเถิด”

เฉียวเวยไม่มีทางยอมรับว่าจู่ๆ ตนก็เกิดตื่นเต้นขึ้นมา ไปพบแม่สามียังไม่ตื่นเต้นเพียงนี้!

“ด้วยกันเถิด ผู้อาวุโสใหญ่ เอ๊ะ? ผู้อาวุโสใหญ่? ผู้อาวุโสใหญ่!”

ผู้อาวุโสใหญ่หมุนตัวเดินไปแล้ว

สาวใช้ค่อยๆ เลิกผ้าม่านขึ้น “เชิญ”

ใจเฉียวเวยเต้นระรัวอย่างนัก ก็แค่ไปเจอท่านตาไม่ใช่หรือ ไม่ได้พบครอบครัวสามีเสียหน่อย จะตื่นเต้นเพียงนี้ไปไย เฉียวเวยสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามให้ท่าทีของตนปกติมากที่สุด ก่อนจะใช้สองมือถือกล่องเข้าไปในห้อง

นางเห็นเจ้าตัวปลอมแต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามสดใส เฉียวเวยยังคิดว่าท่านตาของนางเป็นประมุขที่ลุ่มหลงในเงินทองสักเท่าไรเสียอีก แต่กระนั้นดูการตกแต่งให้ห้องนี้แล้ว นางถึงได้รู้ว่า ความเป็นอยู่ของท่านตาเรียบง่ายเสียยิ่งกว่าอะไร

ภายในห้องมีกลิ่นยาอวลอยู่อ่อนๆ บนโต๊ะกลมมีถาดผลไม้สดวางอยู่ แต่ปริมาณยังไม่มากเท่าที่นางกินในปราสาทไซน่า เข้าห้องไปทางด้านขวาเป็นชั้นหนังสือที่วางอยู่อย่างเป็นระเบียบ บนโต๊ะข้างชั้นหนังสือนั้น เป็นกองหนังสือตั้งใหญ่ ถึงแม้จะป่วยหนักอยู่บนเตียง เขาก็ไม่เคยละเลยภารกิจของชนเผ่าเลย

ด้านหลังม่านไข่มุกมีเสียงไอหนักๆ ดังออกมา เฉียวเวยดวงตาสั่นไหว เลิกผ้าม่านขึ้นก็เห็นเหอจั๋วแต่งกายเรียบร้อยนั่งพิงอยู่ตรงหัวเตียง เส้นผมไม่มีหลุดลุ่ยสักเส้น แต่สีหน้าซีดขาว ดูอ่อนหล้า เฉียวเวยอดคิดถึงตอนที่นางโดนนกอินทรีทองจู่โจมไม่ได้ เขาดึงนางออกไปโดยแรง คล้ายว่าอาการไม่ดีขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น

เหอจั๋วเห็นเงาที่พื้นจึงเงยหน้ามอง เขาเห็นเฉียวเวยที่ยืนนิ่งอยู่ตรงผ้าม่านก็อึ้งไป ก่อนจะระบายยิ้มมีเมตตา “ไม่เข้ามาหรือ”

เฉียวเวยเบ้ปาก ท่านยังไม่ยอมรับข้าเลย ข้าจะเข้าไปทำไม

เหอจั๋วมองถาดผลไม้บนโต๊ะ “มีผลไม้ที่เจ้าชอบอยู่”

เฉียวเวยทำเสียงหึ เบือนหน้าหนีไป ตอนนี้รู้จักเอาใจนางแล้วหรือ ก่อนหน้านี้มัวทำอะไรอยู่ ผลไม้นี้ใช่ที่นางชอบกินตั้งแต่เมื่อไร บางทีเจ้าตัวปลอมนั้นอาจจะชอบเหมือนกันก็ได้ เอาของที่เตรียมให้เจ้าตัวปลอมมาเอาใจนาง ฝันไปเถอะ!

เหอจั๋วยิ้มมีเมตตา “ไม่เข้ามาเยี่ยมตาหน่อยหรือ”

เฉียวเวยจับเม็ดไข่มุกของผ้าม่านด้วยความประดักประเดิด ใครอยากเยี่ยมท่านกัน

เหอจั๋วยิ้มอย่างเอ็นดู “มานี่ ให้ตาดูเจ้าให้ดีหน่อย”

ไม่ไป

เฉียวเวยเบี่ยงตัวหนีไปอีกครั้ง หน้าบูดบึ้งของนางแทบจะจมอยู่ในผ้าม่าน

เหอจั๋วอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “ท่าทางเช่นนี้ของเจ้า ช่างเหมือนแม่เจ้านัก”

ตอนนี้ถึงมาบอกว่าเหมือน ก่อนหน้านี้เล่า

ไม่ใช่เพราะหาไข่มุกจันทร์กระจ่างกลับมาได้ ท่านถึงยอมรับข้าหรือ

เฉียวเวยดูขุ่นเคืองไม่หาย ไม่อยากสนใจท่านตาผู้นี้สักนิด!

เหอจั๋วยิ้มกว้างขึ้น “ยังโกรธตาอยู่หรือ”

ท่านไม่ใช่ท่านตาข้าเสียหน่อย!

เหอจั๋วเอ่ยด้วยน้ำเสียงมากเมตตายากจะปกปิด “ข้าได้ยินว่าเจ้าตามหาของที่โหราจารย์ทิ้งไว้เจอแล้ว”

ดูเข้าๆ นางบอกว่าอย่างไร ก็เพราะนางหาไข่มุกบ้าๆ เม็ดนั้นได้ใช่หรือไม่ เขาไม่สนใจหรอกว่าตนจะเป็นหลานสาวของเขาหรือไม่ ขอเพียงหาไข่มุกเม็ดนั้นเจอ หามรดกที่โหราจารย์ทิ้งไว้เจอก็พอแล้ว วันนี้หากเปลี่ยนเป็นเจ้าตัวปลอมที่หาเจอ น่ากลัวว่าเขาจะดีใจยิ่งกว่านี้เสียอีก!

“เจ้าหาเจอแล้วจริงๆ หรือ”

ไข่มุกบ้าๆ เม็ดหนึ่ง ยังมีจริงมีหลอกด้วยหรือ

เฉียวเวยเปิดกล่องออกด้วยความไม่พอใจ หยิบไข่มุกจันทร์กระจ่างขึ้นมาโยนให้เขาบนเตียง

เหอจั๋วหยิบไข่มุกขึ้นมาเพ่งมองอยู่พักหนึ่ง “เป็นไข่มุกจันทร์กระจ่างจริงๆ ไม่ผิดแน่”

ต้องใช่แน่ล่ะ หัวหน้าพรรคอย่างข้าออกโรงเอง ยังจะหาของปลอมมาให้ท่านหรือ

ตาของเฉียวเวยเหลือบมองบนเสียยกใหญ่

เหอจั๋วหันมองมาที่เฉียวเวย “เจ้าหาเจอได้อย่างไร”

เจ้าลิงน้อยของหัวหน้าพรรคอย่างข้าเป็นคนหาพบ อย่างไรเล่า โชคของข้าดีหรือไม่ ของที่คนของชนเผ่าท่านทุ่มเทตามหาเท่าไรก็ไม่พบ ลิงตัวหนึ่งของข้ากลับหาพบได้! ท่านว่าน่าโมโหหรือไม่ น่าโมโหหรือไม่ น่าโมโหหรือไม่!

เหอจั๋วหัวเราะเบาๆ “เจ้ายืนอยู่ตรงนั้น ตามองไม่เห็นเจ้า”

ก็เพราะไม่อยากให้เห็นน่ะสิ!

เฉียวเวยเลยเอาผ้าม่านคลุมหน้าบึ้งๆ ของตนไว้เสียเลย

เหอจั๋วเลยหัวเราะจนแทบขาดอากาศหายใจ