บทที่ 956 ไม่กล้าพูด

บทที่ 956 ไม่กล้าพูด

กล่าวคือ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หอหนังสืออวี้ได้เปิดขึ้นและฮูหยินสวีก็ไม่มีโอกาสออกไปไหน

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้หญิงโบราณคนอื่น ๆ ชีวิตของฮูหยินสวีอาจกล่าวได้ว่ามีสีสัน

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกอิจฉาจริง ๆ

ครั้นเห็นใบหน้าเจือความอิจฉาของกู้เสี่ยวหวาน ฮูหยินสวีก็ถามว่า “เสี่ยวหวาน เราเป็นสตรี ยามอยู่บ้านก็ต้องเชื่อฟังพ่อ และเมื่อเราแต่งงานก็ต้องเชื่อฟังสามี ทั้งชีวิตของเราผูกติดอยู่กับบุรุษ ท้องฟ้าของเราใหญ่เพียงลานบ้าน ชีวิตของเรายาวเพียงจากหน้าบ้านไปถึงหลังบ้านก็เท่านั้น เฮ้อ บางทีก็คิดว่าเวลาที่ผู้หญิงจะอยู่เพื่อตัวเองในชีวิตนี้ได้ไม่นานหรอก”

กู้เสี่ยวหวานไม่คาดคิดว่าฮูหยินสวีจะพูดคุยเรื่องนี้กับตัวเอง ดังนั้นได้แต่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

ด้วยความคิดของฮูหยินสวีในขณะนี้ หากผู้อื่นได้ยินก็อาจได้แต่ตกตะลึง แต่ในมุมมองของกู้เสี่ยวหวานนั้นเป็นเรื่องปกติ

ดังนั้นจึงเกิดความสับสนอยู่ครู่หนึ่ง

ฮูหยินสวีเห็นพฤติกรรมแปลกประหลาดของกู้เสี่ยวหวานก็เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เสี่ยวหวาน คำพูดของข้าทำให้เจ้าตกใจใช่หรือไม่?”

กู้เสี่ยวหวานกลับมารู้สึกตัว คำพูดของฮูหยินสวีกระแทกแทรกซึมเข้าไปในหัวใจ จากนั้นนางก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “สตรีทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ ทำเพื่อตัวเองน้อยเกินไป”

ฮูหยินสวีไม่ใช่สตรีหัวโบราณ และมักคิดเสมอว่าถ้ามีลูกสะใภ้ในอนาคตก็คงไม่อยากตั้งกฎเกณฑ์ และไม่ต้องการให้ลูกสะใภ้มองตนเองภายในสายตาที่ยอมจำนนไปตลอดชีวิต

นางหวังเพียงให้ลูกชายและลูกสะใภ้ของตนเองรักกันก็เพียงพอแล้ว

ชนรุ่นหลังย่อมมีหนทางของตัวเอง และนางก็ไม่ต้องการเอาตนเอาไปเป็นตัวขัดขวาง

เด็ก ๆ ก็มีวิถีชีวิตแบบเด็ก ๆ ในรูปแบบของตน

ในขณะนี้ กู้เสี่ยวหวานก็เข้าใจฮูหยินสวีอย่างลึกซึ้ง

นางเป็นคนหัวสมัยใหม่ และแนวคิดสตรีนิยมนั้นล้ำหน้ากว่าผู้หญิงในยุคนี้ ผู้หญิงยุคนี้ถ่อมตัวจนนั่งโต๊ะกินข้าวไม่ได้ ผู้หญิงเป็นเพียงเครื่องประดับของพ่อและสามี

ถ้าครอบครัวไม่มีเงินก็ขายลูกสาวออกไป

ลูกสาวดูเหมือนเกิดมาเป็นสิ่งของและจะถูกขายออกไปในที่สุด

กู้เสี่ยวหวานเป็นคนรักอิสระ ชะตากรรมของนาง นางจะต้องเป็นคนกำหนดเองเสมอ

ในขณะนี้ เมื่อได้ยินคำพูดที่จริงใจของฮูหยินสวี คำพูดเหล่านี้มาจากหัวใจและสะท้อนกับอารมณ์ของกู้เสี่ยวหวาน

ครั้นเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานเห็นด้วยกับมุมมองของนาง ฮูหยินสวีจึงเปลี่ยนเรื่องและพูดว่า “เสี่ยวหวาน เจ้าจะถึงวัยแต่งงานแล้วใช่หรือไม่? วางแผนในอนาคตไว้ว่าอย่างไรหรือ?”

เมื่อถึงวัยแต่งงานก็หมายความว่ากู้เสี่ยวหวานบรรลุนิติภาวะแล้ว

ในวัยเพียงเท่านี้ก็สามารถแต่งงานได้

กู้เสี่ยวหวานตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตอนนี้ข้าไม่มีแผนอื่น ข้าแค่อยากให้น้องทั้งสามคนของข้าโตขึ้น ถึงเวลานั้นข้าจะพักผ่อนได้”

“เจ้าไม่ได้คิดถึงตัวเองบ้างหรือ? น้อง ๆ ของเจ้าสักวันหนึ่งก็จะจากเจ้าไป” ฮูหยินสวีพูดอย่างจริงใจ “ดังคำโบราณที่ว่า พี่สาวก็เหมือนแม่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าเฝ้าดูเจ้ามาตลอด เจ้าลำบากมามากแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “ข้าเคยคิดว่ามันยาก แต่ข้าได้ผ่านชีวิตจุดนี้ไปแล้ว เมื่อมองย้อนกลับไป ทุกความยากลำบากคือการทดสอบ เราอยู่ในการทดสอบนี้ และเมื่อเราทุกคนเติบโตขึ้น ตราบใดที่ทุกคนมีความเชื่อมั่นที่แข็งแกร่ง ชีวิตก็จะมีแต่ดีขึ้นเรื่อย ๆ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับงานหมั้นของเจ้า เจ้ายังสามารถหมั้นและมองดูพวกเขาเติบโตไปด้วยได้” ฮูหยินสวีพูดอย่างกระตือรือร้น การที่ฮูหยินสวีมาที่นี่วันนี้นั้นก็เพื่อเป็นการเกลี้ยกล่อมกู้เสี่ยวหวาน

ลูกชายของตนเองรอมาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ นางก็ต้องทำใจให้สบาย

นางคุ้นเคยกับนิสัยใจคอของลูกชายตัวเองมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

“แต่ข้ายังเด็กอยู่” กู้เสี่ยวหวานไม่เข้าใจว่าฮูหยินสวีกำลังจะพูดอะไรจึงเอ่ยอย่างสับสน

ฮูหยินสวีจึงพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้นทันที “เสี่ยวหวาน วันนี้ข้าจะไม่พูดอ้อมค้อม ข้ามีเรื่องอยากจะบอกเจ้า…”

ก่อนที่จะพูดจบ เสียงกระวนกระวายก็ดังขึ้นขัดจังหวะ “ท่านแม่ เสี่ยวหวาน อาหารพร้อมแล้ว”

นั้นคือเสียงของสวีเฉิงเจ๋อ

กู้เสี่ยวหวานยังแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ และคลี่ยิ้มส่งให้ฮูหยินสวี นางกระโดดลงจากเก้าอี้แล้วเดินไปเปิดประตู “พี่เฉิงเจ๋อ ท่านมาแล้ว”

กู้เสี่ยวหวานเปิดประตูออกไปก็พบกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเขินอายของสวีเฉิงเจ๋อ “เสี่ยวหวาน อาหารพร้อมแล้ว ได้เวลากินข้าวแล้ว”

ฮูหยินสวีก้าวเท้าเดินออกมาจากในห้อง นางชำเลืองมองไปที่ลูกชายอย่างไม่สบอารมณ์ “รีบร้อนอะไรกัน? ข้าเพิ่งได้คุยกับเสี่ยวหวานเอง”

คำพูดจากปากมารดาทำให้สวีเฉิงเจ๋อเป็งกังวล “ท่านแม่ กินข้าวก่อนเถอะ”

ฮูหยินสวีมีมองลูกชายที่ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างชายและหญิงด้วยสายตาขุ่นเคือง

การจะปล่อยให้ผู้หญิงที่ดีเช่นนี้หลุดมือ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายที่ไม่ยอมทำตามความคาดหวัง ทำไมไม่เอ่ยออกมาสักที

กู้เสี่ยวหวานเดินนำไปยังห้องอาหาร ระหว่างทางก็หันไปพูดคุยกับฮูหยินสวีและสวีเฉิงเจ๋อเป็นระยะ ๆ เมื่อมาถึงห้องอาหารก็เห็นฉินเย่จือยืนกอดอกรอที่ประตูด้วยสีหน้าไม่มีความสุข

เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานกำลังมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

ท่าทีเย็นเยือกเมื่อครู่ได้มลายหายไป ตอนนี้เขาทำตัวราวกับเป็นเตาหลอมอบอุ่นกำลังรอต้อนรับนางอยู่

“เมื่อเช้านี้เจ้าทำอะไร?” ฉินเย่จือคุยกับกู้เสี่ยวหวานด้วยท่าทีสบาย ๆ

นอกจากการตอบคำถามของฉินเย่จือแล้ว กู้เสี่ยวหวานก็ยังพูดคุยกับสองแม่ลูกเป็นครั้งคราวเพื่อไม่ให้พวกเขารู้สึกว่านางละเลย

เมื่อเข้ามาในห้องอาหารก็เห็นว่าทุกคนมากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว

พูดคุย จัดโต๊ะ ตะเกียบ ยกอาหารมาวาง รินชา ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยบรรยากาศที่มีความสุข

กู้เสี่ยวหวานเตรียมอาหารคืนนี้อย่างระมัดระวัง

อาหารแบบดั้งเดิมจับคู่กับหม้อไฟ สามารถกินอะไรก็ได้ที่ต้องการ

อย่างแรกมีอาหารเรียกน้ำย่อยสี่จาน

เต้าหู้ยี้ หัวไชเท้าดอง ถั่วลิสงทอด และยังมีตีนไก่ดอง

พริกดองเป็นพริกที่กู้เสี่ยวหวานซื้อมาดองเอง

รสชาติคล้ายกับที่ซื้อในซูเปอร์มาร์เก็ตในชีวิตที่แล้ว

——————————————-